- เรื่องเล่าจากสมุดเล่มเล็กๆและความทรงจำสั้นๆของเราในแต่ละวันเอง
- รีวิวทุกสิ่งอย่างที่ขวางหน้าโดยไม่แยกประเภทใดๆ
30/3/2017
วันนี้เราออกจากโรงแรมตอนสิบโมง สถานที่ท่องเที่ยวก็เริ่มที่หน้าโรงแรมนี่แหละค่ะ.. หลังจากที่ตื่นสายจนพลาดรอบทัวร์ที่จะพาไปภูเขาไฟซากุระจิมะ แผนทั้งหมดของวันก็ถูกรื้อ ยืนงงอยู่ที่หน้าโรงแรมแทนเสียอย่างนั้น
สุดท้ายครอบครัวก็เลยลงความเห็นกันว่า ก็แค่เดินตามทางรถรางไปเรื่อยๆจนกว่าจะถึงสถานีก็พอ
นั่นแหละค่ะ การเดินเที่ยวที่แท้จริง
แม่น้ำโควสึกิ
แม่น้ำโควสึกิเป็นที่แรกที่เราเห็นว่ามันพอจะมีมุมสวยๆให้ถ่ายรูปเก็บเอาไปโพสลงไอจีหลังจากที่เดินจากโรงแรมมาประมาณสองถึงสามสี่แยก ถนนช่วงสายของคาโงชิม่าแทบไม่มีคนเลยค่ะ อาจเพราะคนญี่ปุ่นเข้าไปทำงานในบริษัทกันหมดแล้ว รถก็เลยไม่ติด อากาศก็เย็นสบายเหมือนเมื่อวานไม่มีผิด ถ้าจำไม่ผิดน่าจะอยู่ที่ 15-18 องศานะคะ สำหรับช่วงเช้า
ตรงกันข้ามกับแม่น้ำโควสึกิมีอนุเสาวรีย์บุคคลสำคัญ แต่เราไม่ได้ข้ามไปดูได้แต่ถ่ายรูปในฝั่งแม่น้ำเท่านั้น วันนี้มีการตั้งเต้นท์เทศกาลซากุระแถวแม่น้ำด้วยค่ะ.. มีบันไดให้เดินลงไปนั่งริมแม่น้ำได้ มีทางเดินเล็กๆริมแม่น้ำให้ คิดว่าน่าจะกว้างพอให้ขี่จักรยาน และเราก็คิดว่าคงไม่มีใครแบกลงไปขี่แน่นอน
การค่อยๆเดินแบบไม่เร่งรีบในช่วงเช้าหลังมื้ออาหารก็ดีเหมือนกันนะคะ เมืองคาโงชิม่าไม่ใช่เมืองที่วุ่นวาย คนไม่ได้เดินตามท้องถนนเยอะเหมือนโตเกียว อากาศก็ดี แต่ต้องระวังจักรยานที่ขี่ขึ้นมาบนฟุตบาทบ้าง
เราว่านี่แหละคือการพักผ่อน ดีนะ พอเราลดความตั้งใจหรือเป้าหมายที่จะไปที่สักที่นึงสักหน่อย เราจะเห็นอะไรระหว่างทางมากขึ้นตั้งเยอะแยะ
จริงๆแล้วก็พูดให้ดูดีไปงั้นแหละค่ะ เราตื่นสายจนไม่รู้จะไปไหนดีต่างหาก #หัวเราะ
ระหว่างทางก็เห็นทั้งดอกไม้ริมถนนที่มีคนมาปลูกเอาไว้เรียงกันเป็นระเบียบ เป็นดอกไม้สีเหลือง เราไม่แน่ใจว่าเป็นดอกไม้อะไรนะ แต่มันจะบานเมื่อเจอแสงอาทิตย์ ส่วนช่วงเช้าจะยังเป็นดอกตูม นอกจากดอกไม้ รถรางสีเหลืองเขียวสวยๆก็ช่วยทำให้เมืองดูคลาสสิคขึ้นมาอีกหน่อย
ค่อยเดินๆมาจนถึงห้าง Amu ที่อยู่ติดสถานีจนได้ค่ะ ห้างนี้มีชิงช้าสวรรค์อยู่ข้างบน ไม่แน่ใจว่ายังเปิดให้ขึ้นอยู่หรือเปล่า แต่มีร้านอาหารหลายร้านอยู่ด้านล่าง แถมยังมี uniqlo กับ muji ที่เหมือนจะมีพลังงานบางอย่างให้เราเดินเข้าไปอย่างไว
ราคาเสื้อผ้ายูนิโคล่ที่นี่ไม่ต่างจากที่ไทยมากค่ะ แต่คอลเลคชั่นเสื้อผ้าเหมือนจะมีมากกว่า ส่วนเรื่องสีก็ยังคงเป็นสีเรียบๆในแบบที่คนญี่ปุ่นทั่วไปใส่ตามท้องถนน เป็นสีที่ดูสุภาพจริงๆ
มูจิตั้งอยู่ข้างๆร้านยูนิโคล่ มีขายอุปกรณ์จำเป็นในบ้านบางประเภท เสื้อผ้าที่จะเน้นไปทางเสื้อผ้าผู้ชาย เครื่องครัว ไปจนถึงเครื่องปรุงรสอาหาร และเครื่องเขียน.. ที่เราชอบมากๆคือคอลเลคชั่นตะเกียบที่วางเรียงกันบนชั้นกับผงปรุงรสข้าวผัด ส่วนเรื่องราคานั้นไม่ต่างจากที่ไทยมากเท่าไหร่ เทียบกับค่าครองชีพของประเทศเขาเเล้วเราก็ว่าหลายอย่างมันกลายเป็นราคาปกติไปเลยค่ะ
หลังจากเดินออกจากมูจิก็รีบเดินเข้าซุปเปอร์ทันทีเพราะโดนสตรอเบอร์รี่แพ็คเล็กๆดูดจากข้างหน้า.. เดินสำรวจราคาของอยู่สักพักเผื่อจะง่ายขึ้นในการเลือกซื้อของในอีกสี่เดือนข้างหน้า เส้นบะหมี่ราคาค่อนข้างถูกค่ะ ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 10-20 บาทเท่านั้น ไข่ก็ไม่แพง ส่วนราคาสตรอเบอร์รี่นี่แจ่มสุดเลย
สุดท้ายก็ได้ของติดมือมากินแค่สองอย่างด้วยความเป็น strawberry lover คือสตรอเบอร์รี่แพ็คกับโยเกิร์ตสตรอเบอร์รี่ที่หยิบสุ่มยี่ห้อมานี่เอง
สตรอเบอร์รี่ลูกใหญ่ดีค่ะ ไม่หวานมากแต่ก็อร่อยอยู่ดีแพ็คเล็กมีประมาณสิบลูกจะอยู่ที่ 480 เยน (ราคาอาจปรับเปลี่ยนไปในแต่ละร้าน) คุ้มค่าเกินราคาสุดๆ ส่วนโยเกิร์ตรสสตรอเบอร์รี่ยี่ห้อ Ohayo ก็ให้รสสตรอเบอร์รี่จริงๆค่ะ ไม่ค่อยมีรสหวานปรุงแต่ง ออกรสสตรอเบอร์รี่อย่างเดียวเลย เหมาะสำหรับคนชอบทานรสสตรอเบอร์รี่ธรรมชาติ ราคา 128 เยน
และ Finally เราก็มาถึงสถานี Kagoshima Chuo สักที หลังจากเถลไถลแวะนู่นแวะนี่ อย่างแรกที่เราทำหลังถึงสถานีคือซื้อบัตร sugoca ค่ะ
หลายคนคงคุ้นชินกับบัตร suica ที่หลายๆคนมักจะใช้เวลาไปเที่ยวโตเกียว บัตร sugoca ก็เหมือนกันกับเจ้าเพนกวิ้น suica แหละค่ะ เพียงแค่พื้นที่ๆสามารถใช้ได้นั้นต่างกันเท่านั้นเอง บัตรตัวนี้สามารถใช้จ่ายในมินิมาร์ททั้งหลายได้ รวมไปถึงร้านอาหาร และร้านขายของในห้างสรรพสินค้า นอกจากบัตร sugoca ก็มีบัตรอื่นอีกหลายยี่ห้อที่ใช้ในพื้นที่เกาะคิวชูนี้ได้ค่ะ
ออพชั่นที่สำคัญที่สุดเลยของบัตร sugoca คือการใช้แตะตอนขึ้นรถไฟนี่แหละ มีตู้เติมเงินอยู่ในสถานี Kagoshima chuo ข้าง Travel information ต้องเสียค่าธรรมเนียมเปิดบัตร 500 เยน และต้องใส่เงินครั้งแรก 1500 เยนค่ะ เราสามารถใส่ชื่อของเราไปได้ด้วย พนักงานขายจะถามเราก่อนจะจ่ายตังค์ว่าต้องการพิมพ์ชื่อลงไปบนบัตรหรือไม่
แต่ถ้าเทียบกับบัตร suica ที่เป็นไอเท็ม must have เวลาเที่ยวโตเกียว บัตร sugoca มันก็ไม่ใช่ไอเท็มที่ must have ขนาดนั้นค่ะ อาจเป็นเพราะมีทางเลือกหลายทางเลือกในการเดินทาง เช่นรถราง เเท็กซี่ที่ค่อนข้างสะดวกเนื่องจากรถไม่ค่อยติด รถบัสที่ใช้บัตร sugoca ไม่ได้.. แต่คิดว่ามีติดไว้ในกระเป๋าดีที่สุดเวลาไปเที่ยวค่ะ เพราะเวลาที่เราเที่ยวกันไปสักพักกระเป๋าตังค์จะเริ่มหนัก เนื่องจากแบงค์กลายสภาพเป็นเหรียญไปหมด
Kagoshima Aquarium
การเดินทางจากสถานี Kagoshima Chuo ไปอควาเรียมไม่ยากเลยค่ะ ให้เดินไปที่ป้ายรถบัสเบอร์ห้า รถจะมาทุก 15 นาที หรือเร็วกว่าตามความซิ่งของคุณลุงแต่ละคน รถจะวนไปสุดสถานีปลายทางที่ความเรียม และจะวนกลับไปอีกฝั่งของถนนกลับมาที่สถานี Kagoshima Chuo ค่ารถเมล์คนละ 160 เยนตลอดสาย (ผู้ใหญ่) บัตรที่ใช้กับรถบัสที่นี่จะชื่อบัตร Sun Q Pass ซึ่งเราไม่ได้ซื้อเพราะไม่ได้เห็นว่าเป็นไอเท็มจำเป็นเท่าไหร่นัก
รถเมล์จะมาจอดตรงบริเวณท่าเรือเฟอร์รี่ จากตรงนี้สามารถนั่งเรือข้ามไปภูเขาไฟซากุระชิม่าได้เลยค่ะ เรือก็จะวนมาทุกสิบถึงสิบห้านาที เดินไปทางขวาก็จะถึงอควาเรี่ยมตึกหน้าตาคล้ายสามเหลี่ยมแท่งๆ
อัตราราคาค่าเข้า ถ้าต่ำกว่า 4 ขวบสามารถเข้าได้ฟรีค่ะ ส่วนผู้ใหญ่และนักเรียนม.ปลายขึ้นไปต้องจ่ายประมาณคนละ 1500 เยน ตกประมาณคนละ 500 บาท ส่วนราคาที่เหลือก็จะลดหลั่นกันไปตามอายุ
วันนี้เด็กเยอะมากๆ จนต้องแปลกใจเพราะนึกได้ว่าวันนี้เป็นวันทำงาน มีครอบครัวคนญี่ปุ่นที่พาลูกตัวเล็กๆมาเดินเล่นดูพวกปลา บางครอบครัวก็พาคุณตามาเล่นกับหลานด้วย น่ารักมากๆเลย อควาเรี่ยมนี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับครอบครัวจริงๆ
โชคดีที่เรามาทันโชว์ปลาโลมาตอนบ่ายโมงครึ่งพอดี โชว์นี้กินเวลาประมาณ 20 นาที เราจะรู้รอบโชว์ได้จากแผ่นพับที่คนขายตั๋วแจกให้ตอนเราเดินเข้ามาค่ะ ก่อนทางเข้าไปดูโชว์โลมาจะมีตู้แมวน้ำอยู่ด้านหน้า น่ารักมากๆ
ระหว่างโชว์ก็มีโชว์กระโดดของโลมา โชว์การบังคับโลมา มีโลมาแม่ลูกอยู่ประมาณเกือบสิบตัวเลยค่ะ ทำเอาคนที่รักโลมามากกว่าสัตว์โลกใดๆอย่างเราแทบมือหงิกมืองออยากกระโดดลงไปเล่นน้ำด้วย.. น้ำในบ่อโลมาใสมากจนเห็นข้างล่าง มีสาธิตการใช้คลื่นเสียงสั่งโลมาให้ลอดห่วงกับโชว์กระโดดสูงโลมาด้วย ดีใจมากจริงๆค่ะที่ได้มาดู
หลังโชว์จบเราก็เดินกลับมาขึ้นบันไดเลื่อนในฮอล์ลหลัก พอขึ้นบันไดเลื่อนมาสูงพอสมควรจะเจอตู้ปลาขนาดใหญ่มาก และปลาขนาดยักษ์ที่ทำให้ทุกคนตื่นตาตื่นใจนั่นคือ ฉลามวาฬนั่นเอง
พอมันเป็นตู้ปลาใหญ่ๆในห้องมืดๆ ก็มีปลาหลายชนิดว่ายวนกันเป็นภาพที่สวยงามมากๆ แต่เขาห้ามถ่ายรูปด้วยแฟลชนะคะระวังกันด้วยล่ะ
เดินเข้ามาเรื่อยๆจะมีจุดขายของอัติโนมัติ มีไอศกรีม น้ำอัดลม เครื่องดื่นร้อนเย็น น้ำปั่น เราเลือกซื้อไอศกรีมโลมาที่มีพนักงานขายยืนอยู่ตรงตู้ เป็นไอศกรีมรสเมล่อนเชอร์เบท แพกเกจเป็นเจ้าโลมาน้อย รสชาติก็ออกเมล่อนเข้มข้นดี ไม่หวานเลี่ยน ราคา 160 เยนค่ะ นอกจากรสนี้จะมีรสวานิลลา รสชาเขียว แล้วก็รสมันม่วงที่ราคา 200 เยน
Sakurajima
การไปเกาะที่ตั้งของภูเขาไฟนี้ สามารถขึ้นเรือเฟอร์รี่ใกล้ๆอควาเรี่ยมได้เลย บนเรือจะมีสี่ชั้น เรานั่งได้สามชั้น ส่วนชั้นล่างสุดจะเป็นชั้นของรถยนต์ที่จะข้ามฟาก มีเครื่องขายอัตโนมัติบนเรือ ชั้นสามก็มีร้านราเมน ส่วนชั้นสี่ ถ้าเป็นช่วงเช้าถึงช่วงบ่ายลมจะดีมากๆถ้านั่งกลับตอนเย็นด้านนอกของเรือทั้งหมดจะหนาวค่ะ แนะนำให้นั่งด้านในเรือดีกว่า ค่าโดยสารเรือ 170 บาทต่อหนึ่งรอบค่ะ
ในร้านราเมนจะมีโซบะ กับอุด้ง เราเลือกได้ว่าจะทานเป็น Tsukimi ramen (ใส่ใข่) 500 เยน หรือ Kake Ramen 450 เยน มีโอนิกิริ ที่เป็นข้าวปั้น กับอินาริ หรือซูชิเต้าหู้ทอดขายในร้านด้วย
นี่คือ Tsukimi Soba หรือ โซบะที่เขาตอกไข่ดิบใส่แล้วเติมน้ำซุปนี่เองค่ะ
เป็นราเม็นน้ำใส รสชาติดีเลย เราสามารถเพลิดเพลินกับวิวด้านนอกได้เต็มที่ จะยืนทานหน้าร้านหรือนั่งทานริมกระจกเรือก็ได้ โต๊ะที่เป็นโซฟาหันหน้าเข้าหากันก็มี ทานเสร็จแล้วก็เอาไปคืนที่คนดูแลร้านได้เลย ชั้นสี่จะมีโต๊ะด้านนอกด้วย เลือกนั่งทานได้ตามสะดวก
เกาะภูเขาไฟซากุระจิมะนี้จะมีถนนรอบๆเกาะ Route ของนักท่องเที่ยวสามารถเลือกเป็นเส้นทางรอบในหรือรอบนอก ซึ่งรอบระยะทางจะสั้นกว่าเยอะ บนเกาะนี้มีโรงเรียนกับ observatory ด้วยค่ะ
การเดินทางบนเกาะนี้มีหลายวิธี วิธีที่ง่ายที่สุดที่เราเลือกใช้คือการเดินนี่เอง
อย่างที่บอกว่าการเดินเที่ยวนี้ทำให้เราสามารถสังเกตุหลายๆอย่างรอบตัวได้อย่างละเอียดมากขึ้น เราสามารถซึมซับบรรยากาศดีๆได้อย่างเต็มที่ รถบนเกาะนี้น้อยมากๆ ถ้ามีโอกาสก็อยากให้ลองเดินไปเรื่อยๆดูค่ะ
วิธีที่สองคือรถบัสรอบเกาะ จะวนมาเป็นรอบๆ แต่ละป้ายจะค่อนข้างห่างกันมาก วิธีที่สามคือการเช่าจักรยาน ร้านเช่าจักรยานจะอยู่หน้าบันไดหลังจากเราเดินลงมาจากท่าเรือคิดเป็นชั่วโมง ส่วนวิธีสุดท้ายคือเช่ารถ มีในร้านเดียวกันเลย ถ้าจำไม่ผิดน่าจะให้เช่าเป็นวัน แต่ราคาก็ค่อนข้างสูงนะคะ
ศาลเจ้า Tsukiyomi
ศาลเจ้านี้เป็นศาลเจ้าทางชินโต จากป้ายตรงทางเข้าเขียนไว้ว่าถูกสร้างครั้งแรกเมื่อประมาณ 1300 ปีก่อน แต่ภูเขาไฟซากุระจิมะเกิดระเบิดขึ้นมาในปี 1914 ศาลเจ้าเก่าก็เลยโดนลาวาพังไปหมดก่อนที่จะถูกสร้างขึ้นใหม่หลังจากนั้น
ทางเข้าจะเห็นได้ง่ายๆเลยจากประตูไม้ใหญ่ๆบนบันได หลังจากที่เราเดินขึ้นไปก็ยิ้มออกมาเลยทั้งที่ยังไม่ทันเห็นตัวศาล ซากุระเอง ซากุระ!
มีต้นซากุระแบบบานเต็มต้นปลูกอยู่ข้างหน้าศาลค่ะ ใต้ต้นไม้มีม้านั่งสีขาวกับโคมไฟสีส้มของศาลเจ้าด้วย เหมาะเป็นฉากถ่ายรูปมากๆเลย.. ในที่สุดก็ได้เห็นซากุระสักที
เคยลองเสิร์ชเล่นๆในเน็ต ว่าซากุระที่ญี่ปุ่นนี่มันพิเศษยังไงเหรอ? เกาหลีก็มีนี่นา
คำตอบคือ ซากุระประเทศญี่ปุ่นเป็นซากุระประเทศเดียวเท่านั้นที่มีกลิ่นค่ะ เราก็เลยลองดมๆดู กลิ่นมันก็ออกเย็นๆหอมๆ ถ้ามีโอกาสมาชมซากุระที่ญี่ปุ่นก็อย่าลืมลองดมดูนะคะ สำหรับลำดับการบาน ซากุระจะบานจากจังหวัดด้านล่างของประเทศขึ้นไปด้านบน สามารถเช็คพยากรณ์อากาศซากุระได้จากหลายๆเว็บ ส่วนเราใช้ Japan Guide ค่ะ
ก่อนจะเข้าเขตศาลเจ้า เราก็ต้องทำการทำความสะอาดเหมือนที่ศาลอื่นๆ คือต้องล้างมือซ้าย ตามด้วยมือขวา เอาน้ำลูบๆปาก หรือให้บ้วน อันนี้เราไม่ค่อยแน่ใจ แล้วค่อยเข้าเขตศาลได้ ตรงกันข้ามกับศาลมีศาลาขายเครื่องรางเล็กๆที่ไม่มีคนอยู่
ศาลมีขนาดไม่ใหญ่มากแต่ก็มีคนเข้ามาอธิษฐานขอพรอยู่เรื่อยๆค่ะ ยิ่งช่วงเย็นก็จะเห็นทั้งนักท่องเที่ยว (โดยมากจะเป็นฝรั่งผมทอง) พนักงานบริษัท หรือเเม้กระทั่งเด็กมัธยมเดินเข้ามากันเป็นกลุ่มๆ สถานที่แบบนี้เป็นศูนย์รวมจริงๆนะ
เดินเข้าไปอีกจะมีบันไดหินให้เดินขึ้นบนจุดชมวิวขนาดย่อม ด้านบนมีต้นไม้ต้นเล็กๆที่ถูกผูกเซียมซีเอาไว้ที่กิ่งตามความเชื่อของคนญี่ปุ่นเพื่อให้ได้รับการคุ้มครอง ตรงนี้เป็นจุดถ่ายรูปที่ดีค่ะ เพราะเราสามารถเห็นภูเขาไฟซากุระจิมะได้ชัดเจนเนื่องจากเป็นมุมที่ไม่มีป่าเขาต้นไม้มาบัง ยิ่งในวันที่ฟ้าโปร่งจะยิ่งเห็นได้ชัด สวยงามมากๆ
Kirishima-Kinkowan National Park
สวนคิริชิมะเป็นอีกสถานที่นึงที่อยู่ริมทะเล สามารถเดินเข้ามาได้ง่ายๆ และอยู่ในเส้นทางระยะสั้นด้วยค่ะ ที่เกาะนี่จะเจอนักท่องเที่ยวที่เป็นชาวต่างชาติได้เยอะมาก เพราะมีโรงแรมตั้งอยู่ด้วย นอกจากนี้ในสวนนี้ยังมีกิจกรรมให้ทำได้หลายอย่างเลย
อย่างแรกคือการตกปลาค่ะ
ในสวนนี้จะมีทางเข้าสะพานที่ยื่นออกไปในทะเลเพื่อเป็นพื้นที่ตกปลาได้ เสียค่าบริการคนละ 200 เยนสำหรับผู้ใหญ่และ 100 เยน สำหรับเด็ก เเละเพราะสะพานไม้ที่ยื่นไปในทะเล เวลาที่เราถ่ายรูปแล้วมองผ่านโขดหินริมเกาะออกไปทำให้เป็นทิวทัศน์ที่สวยงาม น่าถ่ายภาพเก็บเอาไว้มากๆ
อย่างที่สองคือการเดินเล่นเฉยๆนี่แหละค่ะ
อากาศค่อนข้างดีอยู่เเล้ว สวนนี้ก็เป็นเหมือนสนามหญ้ากว้างๆ มีศาลาให้นั่ง มีเครื่องขายอัตโนมัติและห้องน้ำ เราว่าการนั่งรับลมเย็นๆจากทะเลตรงม้านั่งริมเกาะก็เป็นการพักผ่อนที่ไม่เลวเลยนะ
อย่างที่สามคือการนั่งแช่เท้ากับน้ำแร่จากภูเขาไฟ
ส่วนตรงนี้เรียกว่า Yogan-Nagisa Foot Spa ในสวนสาธารณะตรงนี้จะมีม้านั่งหินกับทางน้ำที่สร้างเอาไว้เพื่อให้น้ำภูเขาไฟไหลผ่าน ทางน้ำจะวางตัวยาวจากทิศภูเขาไฟไปถึงทะเลเลยค่ะ น้ำค่อนข้างร้อน แต่พอแช่ลงไปให้ชินแล้วค่อนข้างผ่อนคลาย คล้ายๆออนเซ็นเท้า เราสามารถกดน้ำจากตู้ขายอัตโนมัติที่อยู่ใกล้ๆมานั่งดื่มไปแช่ไปก็ได้
ค่าบริการในการแช่ฟรีค่ะ ไม่เสียตังค์เลยสักเยนเดียว สามารถแช่ได้ตั้งแต่เก้าโมงเช้าจนกว่าพระอาทิตย์จะตกดินและไม่ควรแช่เกินครึ่งชั่วโมง ได้นั่งแช่เท้าสบายๆกับลมเย็นๆช่วงบนก็ฟินลืมแล้วค่ะ
เราใช้เวลาอยู่ที่เกาะนั้นนานมาก กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ 4 โมง 5 โมงเข้าไปแล้ว เลยซื้อโดรายากิขึ้นไปกินบนเรือก่อนกลับสักหน่อย
ขอพื้นที่รีวิวโดรายากิสักนิด โดรายากิไส้ถั่วแดงชิ้นนี้ยี่ห้อ Uchi cafe sweet ไส้ถั่วแดง ที่แตกต่างจากที่เคยทานที่ไทยคงเพราะมันมีนมผสมอยู่ด้วยคะ คล้ายถั่วแดงผสมนม อร่อยดี
สุดท้ายเราก็กลับมาตั้งตัวที่ AMU Plaza ที่อยู่ใกล้ๆสถานี Kagoshima Chuo อีกครั้ง
บอกเลยว่าถ้ามาเที่ยวคาโงชิม่า ที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดแล้วค่ะ เพราะเป็นสถานีใหญ่มีรถผ่านเยอะ เป็นศูนย์รวมป้ายรถบัส มีห้าง กินข้าวได้อีก
เราตัดสินใจจบมื้อเย็นที่ร้านซูชิหมุนร้านนึงที่อยู่ในมุมของห้าง amu ค่ะ จำชื่อร้านไม่ได้ แต่ถ้าใครอยากมาก็เข้าประตูชั้นใต้ดินที่เชื่อมกับสถานีรถไฟใต้ดิน เดินเข้ามาแแล้วเลี้ยวขวาไปโซนร้านอาหาร เดินไปจนสุดก็จะเห็น
ซูชิปลาแซลม่อนอร่อยดีค่ะ โทโร่ก็ใช้ได้ ปลาไหลดีต่อใจมาก ส่วนปลาอื่นๆไม่ค่อยโอเค ทุกชิ้นที่เป็นปลาดิบจะมีวาซาบิป้ายมาหลังแผ่นปลา เราสามารถเขียนในใบว่าไม่เอาวาซาบิก็ได้ ส่วนชาเขียวก็ตักเเค่ช้อนเล็กๆของเขาก็พอแล้วเพราะมันขมมาก
ที่ติดใจเรามากที่สุดคงจะเป็นซูชิมะเขือม่วงค่ะ
บางคนอาจจะแบบ เฮ้ย มันมีซูชิประเภทนี้อยู่ด้วยเหรอวะ
แต่บอกเลยว่าอร่อยมาก ราคา 110 เยนเท่านั้น ฟังจากชื่อมันดูเหมือนจะไม่อร่อยใช่มั้ยคะ? ยอมรับเลย ว่าทีแรกสั่งเพราะมองรูปผิดเป็นปลาไหลเลยชี้ผิดให้เขาไป พอได้ลองแล้วก็ติดใจต้องใส่มาเพิ่มอีกห้าหกคำ.. มันเป็นมะเขือม่วงฝานมาอบจนเปลือกกรอบวางบนข้าวปั้น ราดซอส อาจจะฟังดูแปลกๆแต่เราชอบนะ สำหรับเรามันอร่อยมาก
ลองเปลี่ยนดูบ้างบางทีก็ไม่เสียหายเลย
ร้าน Kinokuniya
เราชอบร้านหนังสือมากค่ะ ยิ่งร้านใหญ่ยิ่งชอบ เป็นคนชอบอ่านหนังสือพอเจอร้านหนังสือทีไรก็ต้องเดินเข้าไปหาหนังสือที่ตามอ่านอยู่ทุกครั้ง สำหรับ คิโนะ ที่ไทยเราไม่ค่อยได้ไปเพราะบ้านอยู่ค่อนข้างไกลจาก central world แต่ก็เคยไป และมันก็ใหญ่มากๆ
คิโนะที่นี่ก็ใหญ่พอๆกันค่ะทำให้เราตื่นตาตื่นใจมาก ร้านลึกมากๆ มีหนังสือแทบทุกประเภทรวมถึงหนังสือเรียนที่เราต้องใช้ในอีกไม่กี่อาทิตย์หน้าด้วย
ร้านแบ่งโซนดี แคชเชียร์อยู่กลางร้านสามารถมองเห็นได้จากประตู ด้านในสุดจะเป็นหนังสือเรียน ด้านนอกเป็นนิตยสาร สำหรับราคาหนังสือ เรารู้แค่ราคาหนังสือเรียนภาษาญี่ปุ่นที่เราจะซื้อเท่านั้น มันก็ไม่ได้ถูกกว่าในเว็บเลยนะคะ ราคาพอๆกัน
ที่สุดท้ายที่เราเดินเข้าไปก่อนจะเข้าโรงแรมคือร้านขายส่งค่ะ
จำชื่อร้านไม่ได้ แต่เป็นร้านขายส่งขนมของกินเครื่องดื่ม ราคาขายจะถูกกว่า Lawson หรือซุปเปอร์ มีทั้งสินค้าเป็นแพ็กกับซื้อแยกเดี่ยวๆ ร้านนี้มีผงโรยข้าวเยอะมาก ใครที่มาแล้วอยากจะซื้อกลับไปก็แนะนำร้านนี้ หันหน้าออกจากโรงแรม Green Rich อยู่ถัดจากโรงแรม Green Rich Kagoshima เดินไปทางซ้ายประมาณสองช่วงตึก หน้าร้านเต็มไปด้วยก่ลองกระดาษลัง หาไม่ยากเลย
วันที่สองนี้เที่ยวได้หลายที่มาก เพราะวันแรกไม่ได้เที่ยวเท่าไหร่เราเลยยังคงตื่นเต้นอยู่ ยังตื่นตาตื่นใจกับสังคมวัฒนธรรมที่แตกต่างของที่นี่ สภาพเมืองที่ต่างจากกรุงเทพ ความอุ่นในรถรางที่ทำให้เราไม่อยากจะเดินออกไปไหน หรือจะเป็นอนุเสาวรีย์ที่ถูกไฟส่องเฉิดฉายยามดึกบนท้องถนน
เราใช้เวลากับสถานที่หลายสถานที่ไปเยอะมากๆ แถมยังตื่นสายจนแผนเที่ยวไม่เป็นไปตามแผน แต่สำหรับเรามันไม่มีผลหรอกในเมื่อมันเป็นการพักผ่อน บางสถานที่ๆเราไป หรือเราไม่ได้เขียนเอาไว้ในนี้ไม่มีในหนังสือทัวร์เสียด้วยซ้ำ
จริงๆแล้วแค่คิดจะไปเที่ยว ที่ไหนๆก็เป็นที่เที่ยวทั้งนั้นแหละ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in