หนังบางเรื่องนี่ให้ความรู้สึกแห่งการรอคอยจริงๆ นะครับ บางเรื่องออกตัวอย่างหนังมาแต่ละตัว จับจิตจับใจเหลือเกิน ยิ่งกลายเป็นหนังล่ารางวัล มีข่าวเข้าชิงบ้าง ได้รางวัลบ้าง จากที่โน่นที่นี่ ยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกอยากจะได้ชมด้วยตาตัวเองมากเข้าไปใหญ่ ตอนนี้มีหนังเพลงเรื่องหนึ่งครับที่เตรียมจ่อจะเข้าฉายในไทยแต่กำลังไปได้สวยบนเวทีรางวัลต่างๆ หนังเรื่องนั้นคือ ‘La La Land นครดารา’ หนังจากผู้ที่เคยกำกับฯ ‘Whiplash’ ที่ได้รับกระแสชื่นชมท้วมท้นมาแล้ว
และครานี้ เขากลับมาอีกครั้งกับหนังเพลงสไตล์มิวสิคัลที่รวบรวมกลิ่นอายของทุกสไตล์มาไว้ในหนังเรื่องเดียวกัน กลายเป็นที่กล่าวขวัญว่าเป็นหนึ่งในหนังที่ดีที่สุดของปี 2016
ได้เข้าชิง 7 รางวัลลูกโลกทองคำ และหนึ่งในตัวเต็งออสการ์
เรื่องย่อง่ายๆ ของหนังเรื่องนี้ คือ มีอา (Emma Stone) หญิงสาวผู้หลงใหลในการแสดง เธอเฝ้าเพียรไปคัดตัวนักแสดงตามที่ต่างๆ ซึ่งก็ไม่เคยประสบความสำเร็จ แต่เธอมีบางสิ่งที่เก็บซ่อนมันไว้กับตัวเองไม่ยอมจะบอกกับใคร
นั่นคือ บทละครที่เธอเขียนเอง
ตัวอย่างหนัง ‘La La Land นครดารา’ [ซับไทย]
วันหนึ่ง เธอก็ต้องมนต์สะกดเข้ากับเสียงเปียโนของชายคนหนึ่งในบาร์แห่งหนึ่ง ชายคนนั้น คือ เซบ หรือเซบาสเตียน (Ryan Gosling) เธอเชื่อว่าเขามีพรสวรรค์ แต่เพราะความเชื่อมั่นในดนตรีแจ๊สแบบดั้งเดิม เขาจึงไม่เคยไปไหนได้ไกลกว่าการเล่นคีย์บอร์ดเพื่อหาเลี้ยงชีพไปวันๆ
ความสัมพันธ์ที่เติบโตและพอกพูนขึ้นอย่างฉับพลัน พวกเขาต่างพยายามที่จะผลักดันกันและกัน เพื่อให้ต่างเดินไปยังจุดที่ฝันให้จงได้
ถือเป็นหนังที่มีผู้ชมกลุ่มนักวิจารณ์และคอหนังรางวัลต่างเฝ้ารอคอย มากพอกับการที่มันเป็นหนังมีนักแสดงนำระดับแม่เหล็กดึงดูดผู้ชมให้หันมาสนใจ แต่ด้วยความที่มันเป็นหนังสไตล์มิวสิคัลที่เลือกใช้ดนตรีแจ๊ส นั่นอาจเป็นกำแพงหนาประมาณนึงเช่นกันที่ทำให้คนไทยบางกลุ่มเลือกจะไม่เข้าไปชมมัน
แม้เราจะนิยามว่า ‘La La Land’ เป็นหนังเพลง แต่ถ้าลองพิจารณาจากสิ่งที่ได้เห็นในหนังแล้ว ก็จะพบว่า Damien Chazelle (ผู้กำกับฯ ที่สร้างชื่อมาจาก ‘Whiplash’) เลือกที่จะหยิบชิ้นเล็กชิ้นน้อยจากหนังในตำนานหลายๆ เรื่อง จับมาคลุกเคล้าให้มันผสานและจัดวางให้อยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน
ถ้าดูเฉพาะฉากและสิ่งของในหนัง มันมีทั้งความสมัยใหม่และสมัยเก่าที่ปะปนอยู่ด้วยกัน บ้านเรือนดูจะมีความเป็นสมัยเก่าอยู่มาก ผสานไปกับการใช้สีที่ค่อนข้างจะฉูดฉาด ขณะเดียวกันก็มีของใช้หลายสิ่งที่เป็นสมัยปัจจุบัน ไม่ว่าจะรถยนต์พริอุสที่นางเอกใช้ แม้แต่ไอโฟนหน้าจอแตกๆ นั่นก็เป็นของสมัยนี้
จริงๆ มันดูขัดแย้งกันแต่มันกลับอยู่ร่วมกันได้อย่างเก๋ๆ เลยแหละ
เป็นหนังเพลงที่หยิบฉากแห่งความทรงจำจากหนังเพลงยุคเก่าๆ อย่างพวก Singin’ in the Rain, The Umbrellas of Cherbourg, Top Hat, An American in Paris และ Sweet Charity มาใส่ไว้ในหนังเพลงยุคใหม่ ผสานเคล้าเข้ากันได้อย่างกลมกลืน
ฉากส่วนใหญ่ใช้วิธีการถ่ายในแบบลองเทค ทุกอย่างจึงต้องใช้การเล่นจริงและเล่นสดที่ซ้อมกันมาอย่างดี หนังต้อนรับเราสู่โลกของความฝันในแบบ ‘La La Land’ ตั้งแต่ฉากเริ่มต้นเรื่องกันเลยทีเดียว ดูแล้วต้องทึ่งว่าเขาเซ็ตและถ่ายกันได้อย่างไร
และการดำเนินเรื่องนั้นไหลลื่นอย่างมากจนหาที่จะติมิได้เลย
นักแสดงทุกคนต่างเล่นดนตรีเองสดๆ นักแสดงนำต่างก็ร้องและเล่นเปียโนสดๆ (ได้รับการยืนยันมาแล้วจากนักดนตรีตัวจริง) การจัดแสงก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยม เล่นกับแสงสีที่แต่งแต้มให้กลายเป็นหนังที่มีสีสันฉูดฉาดแต่เอาอยู่ทุกอณู การถ่ายทำที่เล่นลองเทคตลอดเวลาทำให้ยิ่งน่าทึ่งไปกับงานเบื้องหลัง เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ฉาก และมุมกล้อง ต่างทำหน้าที่ร่วมกันได้อย่างไร้ที่ติ
จนทำให้นี่คือหนังเพลงในดวงใจไปเรียบร้อยแล้ว
ในหนังโรแมนติกมิวสิคัลอย่าง ‘ลาลาแลนด์’ นั้นใส่เพลงแจ๊สไปแทบจะเต็มเรื่อง และในนั้นบอกเล่าถึงความอนิจจังของสิ่งที่เรียกว่า “แจ๊ส” ไว้อย่างมีประเด็น
วิถีดั้งเดิมที่ไม่เป็นที่นิยมและกำลังจะสูญสลายไป หนังกำลังบอกหนทางให้เราเลือก จะเลือกตั้งหน้าตั้งตาอนุรักษ์มันไว้ไม่เปลี่ยนแปลง หรือปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยเพื่อให้มันยังคงอยู่
ก็อาจจะเหมือนกับหลายๆ สิ่งบนโลกนี้ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ไม่มีสิ่งใดยั่งยืน มีแต่ว่าจะเกิดมาแล้วอยู่ได้นานแค่ไหนก็เท่านั้น ถ้าอยากจะอยู่นานๆ ก็อาจต้องยอมปรับเปลี่ยนตัวเองไปบ้าง
หรือถ้าอยากจะอยู่โดยคิดว่าตนนั้นดีแล้ว ก็อาจเดิมพันด้วยการเป็นตำนานที่คนจดจำ
หรือกลายเป็นสิ่งที่ทุกคนลืมเลือน
เชื่อไหมว่า ผมเฝ้าฟังเพลงที่ประกอบอยู่ในหนังซ้ำๆ แล้วน้ำตาก็ไหลซึมออกมา นึกภาพในหนังแล้วก็เหมือนพบตัวเองเห็นภาพเดิมอีกครั้ง หนังเพลงมันย่อมไม่ได้มีเนื้อเรื่องมากมายซับซ้อนนัก แต่เรื่องนี้มันทำให้ภาพฝันซ้อนทับกับความรู้สึก “จริง” ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
Emma Stone และ Ryan Gosling ทั้งสองต่างทำหน้าที่ได้ดีอย่างเหลือล้นที่จะทำให้ผู้ชมมีทั้งรอยยิ้มในช่วงเวลาที่เขาหรือเธอมีความสุข ทำให้ผู้ชมเสียน้ำตาในช่วงเวลาที่พวกเขาเจ็บปวด ทุกอย่างผ่านออกมาทางสีหน้า สายตา
และน้ำเสียงที่ถ่ายทอดความรู้สึกออกมาในเพลง
คนสองคนที่มีความฝัน คนหนึ่งฝันอยากจะเจิดจ้าในงานการแสดง อีกคนก็เฝ้าฝันจะส่องแสงในฐานะมือเปียโนแจ๊ส พวกเขาพยายามเหลือเกินที่จะไล่ตามความฝัน พลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนทดท้อ แต่ต่างก็ให้กำลังใจแก่กัน
โลกในหนังก็เหมือนโลกแห่งฝัน ที่สดใสสวยงามตามที่มันยังมีความหวัง ภาพในหนังพาเราล่องลอยอยู่ใน ‘นครดารา’ ที่ดวงดาวพร่างพรายอิ่มเอมเปี่ยมสุขยิ้มละไม แต่นานวันเข้า ความฝันที่ยิ่งเดินก็ยิ่งเหมือนยังไกลก็ยิ่งทำให้หม่นเศร้าเพราะไม่อาจจะเป็นไปได้อย่างใจหวังและต้องการ
โลกแห่งความเป็นจริง แต่ละคนต่างก็มีฝัน และมุ่งมั่นจะทำให้เป็นจริง ล้มลุกคลุกคลานแต่ไม่เคยเป็นจริงก็หลายคน ทดท้อจนล้มเลิกกลางคันก็มากอยู่ หลายคนก็หันเหไปทำอย่างอื่นเพื่อชีวิตที่ต้องอยู่รอด ที่สำคัญกว่านั้น คือ คนที่สำเร็จได้ดังฝันไม่มีใครไม่เคยล้มไม่เคยทดท้อมาก่อน…
หนังจบลง ไฟเปิด ยังเห็นตัวเองเช็ดน้ำตาป้อยๆ อยู่เลย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in