เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
นิวยอร์ก 21swichmink
นิวยอร์ก21 - 2 : Oh man, your culture
  • ถ้าพูดถึงวัฒนธรรมของนิวยอร์กซึ่งเป็นศูนย์รวมของคนทั้งโลก คงเป็นสิ่งที่บอกไม่ได้ว่ามันคืออะไรกันแน่ แต่มันเป็นการผสมผสานของคนที่นั่นทุก ๆ คนจนมันกลายเป็นแบบนั้น
    .
    .
    สิ่งที่หลาย ๆ คนคงจะรู้สึกตอนไปอยู่ประเทศที่มีวัฒนธรรมต่างไปจากที่ที่เราเคยอยู่จะเป็นอะไรไม่ได้เลย นอกจากความช็อคนั่นเอ๊งงง
    .
    .
    .
    เอาจริงไม่อยากเรียกว่าคัลเจอร์ช็อคเท่าไหร่เลย เพราะจริง ๆ แล้วเราว่านิวยอร์กกับกรุงเทพไม่ได้แตกต่างอะไรกันมากขนาดนั้น ไม่ได้ถึงกับ Totally different แค่แตกต่างกันบางเรื่องเท่านั้นเอง
    .
    .
    อาจจะเป็นเพราะด้วยความที่เป็นเมืองใหญ่เหมือนกัน คนเยอะเหมือนกัน เลยรู้สึกว่าการมาอยู่ที่นี่ไม่ได้ทำให้เราต้องปรับตัวอะไรมากมาย หรืออาจจะเป็นเพราะตอนอยู่กรุงเทพเราก็อยู่แต่ในตัวเมืองตลอดด้วย
    .
    ช่วงแรก ๆ มีแต่คนถามว่า เป็นยังไงมั่ง ปรับตัวได้รึยัง? แต่เราก็มาคิด ๆ ดูแล้ว ก็ไม่ได้ปรับตัวอะไรนี่ 5555 แค่มีบ้างที่เจอเรื่องที่รู้สึกมันแปลก ๆ เหมือนกัน
    .
    .
    .

    ห้องน้ำ
    ทุกคนคงรู้กันอยู่แล้วว่าไทยแลนด์บ้านเรานั้นมีนวัตกรรมอันล้ำค่าของมวลมนุษยชาติอยู่ นั่นก็คือ คุณพี่สายชำระนั่นเอง เมื่อไหร่ก็ตามที่เราได้ก้าวเท้าออกนอกประเทศ มันจะมีความไม่สบายใจอยู่เล็ก ๆ อย่างนึง ด้วยความเคยชินของพวกเราชาวไทยคนดีคนเดิม ขาดสิ่งนี้มันเหมือนขาดอะไรไปซักอย่าง มันเหมือนแบบ.. เออมันไม่ใช่อะ 5555 การต้องอยู่ที่นู่นเป็นเวลานาน ๆ มากกว่า 7 วัน มันเป็นเรื่องอึดอัดใจมากค่ะ ซีเรียสมากด้วยค่ะ ณ จุดจุดนี้



    เท่านี้ยังไม่พอ นอกจากความอึดอัดเรื่องสายชำระแล้ว ยังมีอีกเรื่องที่เราค่อนข้างต้องปรับตัวพอสมควรเลยก็คือ จำนวนห้องน้ำสาธารณะน้อยมากกกกกกค่ะ ซึ่งค่อนข้างต่างจากที่ไทย ที่เราไม่ต้องกังวลเรื่องนี้เลยเวลาออกนอกบ้าน เดินเล่นอยู่ถ้าเราอยากเข้าห้องน้ำก็เข้าห้าง จบ สวยๆปูไปรยาอีกแล้ว แต่ที่นิวยอร์กนั้นห้างเป็นสิ่งแรร์มาก ดังนั้นห้องน้ำเป็นสิ่งแรร์ที่สุด ห้องน้ำร้านกาแฟบางทีก็ไม่ให้เข้าอีก
    .
    .
    มีครั้งนึงตอนเดินเที่ยวอยู่กับเพื่อนจากช่วงกลาง ๆ เกาะแมนฮัตตัน เดินไปก็หาห้องน้ำไป ตั้งแต่เที่ยงยันมืด จนมันถึงจุดที่เพื่อนไม่ไหวแล้ว สุดท้ายได้เข้าห้องน้ำที่ท่าเรือข้ามเกาะที่ล่างสุดของแมนฮัตตัน สงสาร 555
    .
    .

    ยังไม่พอกับเรื่องห้องน้ำ เวลาเราเข้าห้องน้ำ เราก็คาดหวังว่าจะได้ทำธุระส่วนตัว แต่อย่าหวังว่าเราจะได้ทำธุระอย่างส่วนตัวที่นิวยอร์ก เนื่องจากส่วนมากแล้วห้องน้ำที่เราเจอที่นี่จะมีช่องอยู่ตรงประตู แย่กว่านั้นคือประตูลอยสูงมากช่วยด้วย ให้ความรู้สึกเสมือนเราไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว เรามีคนคอยให้กำลังใจอยู่ข้างนอกเสมอ น่ารักจังเล้ย (..)



     

    อาหาร
    ก่อนมานิวยอร์กปกติเรากินข้าวมื้อนึงน้อยมากก็อิ่มมากแล้ว พอมาที่นี่เลยค่อนข้างช็อคกับปริมาณอาหารต่อ 1 มื้อ เนื่องจากจานนึงเราสามารถแบ่งกินได้อีก 3-4 มื้อ แต่อยู่ไปซักพักเราก็เริ่มปรับตัวได้! 55555 หลัง ๆ มานี้กินหมดบ่อยมาก โธ่ไม่น่าเลย 5555 กลับไทยมาเจอเพื่อนเจอญาติก็ต่างช็อคกับความเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักที่เกิดขึ้น พร้อมด้วยคำปลอบใจประมาณว่าตัวสูงไม่แย่หรอก (แต่ใช้คำว่า ไม่เป็นไรหรอกสูงใหญ่ หนูรู้สึกแย่กว่าเดิมอีกค่ะ ฮือ สูงเฉย ๆ ก็ได้ 555555)



    สิ่งที่ช็อคกว่าก็คีือเวลาเปิดกระเป๋าตัง โอ้โห เต็มเลยยยยย ใบเสร็จเต็มเลยย เงินอยู่ไหน

    เป็นที่รู้กันว่าค่าครองชีพในนิวยอร์กนั้นถือว่าเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ค่าอาหารที่แพงกว่าประเทศเรานั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องยอมรับแต่โดยดี
    แม้แต่มื้อธรรมดาอย่างข้าวกล่องที่ซื้อจาก Food truck ข้างทาง ก็ราคาประมาณ $5 - $9 หรือสองร้อยกว่าบาท ซึ่งถือว่าถูกมากแล้ว

    .
    .
    .





    อีกอย่างคือในความรู้สึกเรา เราว่ารสชาติอาหารที่นี่เทียบกับร้านอาหารในไทยแล้วสู้ไม่ได้เลย อาจจะเป็นเพราะร้านอาหารในไทยอาจจะมีการปรับเปลี่ยนรสชาติให้เข้ากับคนไทยด้วยมั้ง ทั้งร้านอาหารอิตาเลียน ร้านอาหารญี่ปุ่น หรืออะไรก็ตาม ในความเห็นเรา เราว่าไม่ว่าร้านอาหารชาติไหน ในไทยอร่อยกว่าทั้งนั้นเลย 55




    เวลา
    ย้อนกลับไปในคืนวันเสาร์แรกของเดือนเมษายนของปีนี้ เรากับเพื่อน ๆ ออกไป Night out ไปนั่งเมาท์กันในบาร์เล็ก ๆ แถว Lower East side คุยกันหลายเรื่องไปหมดตั้งแต่เรื่องไร้สาระอย่างการถกเถียงว่าใครมีเหนียงเยอะที่สุด ยันเบื้องลึกการเมืองประธานาธิบดีเกาหลีใต้ 5555 คุยกันเยอะมากจนเข้าวันอาทิตย์ พอดูนาฬิกาอีกทีทุกคนก็ช็อคมาก เพราะมันเกือบตีสามครึ่งแล้ว เลยออกไปกินเครปที่ร้านแถวนั้น (ยังจะกินอีก 5555) ก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน

    .

    .

    จริง ๆ แล้วคืนนั้นเป็นคืนที่เค้าปรับเวลา +1 ชั่วโมงจากเวลาปกติพอดี เราก็พอรู้ว่าเค้าจะมีการปรับเวลาบวกหรือลบตามฤดูกาล ( เพื่อให้มีช่วงเวลาตอนเช้าที่เริ่มมีแสงอาทิตย์ช้าลง และเวลาที่มีแสงอาทิตย์ช่วงเย็นยาวขึ้น ) แต่พอมาเจอแบบไม่ตั้งตัวก็แอบงงและกะเวลาไม่ค่อยถูกอยู่นิดนึงเหมือนกัน



    เสียง
    นิวยอร์กซิตี้นั้นมีเพลงประจำตัวนั่นก็คือเสียงรถหวอ ได้ยินตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน ได้ยินจนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
    .

    .
    คุณลุงเล่าให้ฟังว่าสมัยก่อนเวลาพ่อโทรมาหาลุงซึ่งอยู่นิวยอร์กจะได้ยินเสียงแบ็คกราวนด์เป็นเสียงหวอตลอด เมื่อก่อนพ่อเลยไม่กล้ามานิวยอร์ก 5555 ให้ฟีลเหมือนมีคนยิงกันตลอดเวลาเหมือนในหนัง แต่ไม่ใช่หรอก อยู่ไปซักพักก็ชินเอง

    .

    .

    นอกจากนี้บางทีตอนกลางคืนจะได้ยินเสียงคนตะโกนอยู่ตามถนน โดยเฉพาะ Friday & Saturday night จะได้ยินบ่อยเป็นพิเศษ แต่อยู่ไปก็ชินเช่นกัน 5555



    คนแปลก
    จริง ๆ แล้วคนแปลก ๆ มันก็มีทุกที่แหละ แต่เราว่าที่นิวยอร์กคนพวกนี้ค่อนข้างเยอะ และค่อนข้าง Approach หรือเข้าหาคนที่เดินผ่านไปมามากกว่าที่อื่น ๆ ที่เราเคยเจอ สิ่งที่ต้องทำคือเมินไป ช่วงแรก ๆ เรากลัวมากเลย 555 อย่างที่บอกคือระแวงมาก แต่อยู่ไปซักพักก็ชินอีกแล้ว 55555 ไม่ต้องสนใจ ไม่ต้องคุย ไม่ต้องทำท่ากลัว ทำหน้าเฉย ๆ แล้วเดินผ่านไป


    แต่บางครั้งเค้าก็ Approach มากและค่อนข้างอันตรายด้วย มีอยู่ครั้งนึงตอนเรากำลังเดินเข้าประตูอพาร์ตเมนต์ตอนกลางคืนพร้อมรูมเมท พอกำลังปิดประตูก็มีคนนึงจับประตูไว้ไม่ให้มันปิด จะเข้ามาด้วย ตอนนั้นเราเอ๋อมาก 5555 แต่รูมเมทก็ทำหน้าแบบ กุไม่เล่น!!! 555 เค้าคงเห็นว่าเราไม่กลัว เลยปล่อย
    .
    .
    จริง ๆ แล้วช่วงที่อยู่ที่นู่นตัวเราเองเจอคนแปลกเยอะมากเลย แต่เดี๋ยวไว้เล่าอีกตอนดีกว่า เยอะ 5555


    ชนชาติ 
    ก่อนมาที่นี่เราเข้าใจว่าการเหยียดผิวหรือการเหยียดชนชาติในประเทศนี้นั้นได้น้อยลงไปมากแล้ว ซึ่งก็คงเป็นอย่างนั้น เราไม่รู้หรอกว่าก่อนหน้านี้มันรุนแรงกว่านี้แค่ไหน แต่ที่เรารับรู้คือจริง ๆ แล้วมันไม่ได้น้อยมากอย่างที่เราคิดไว้เลย ระดับความ Racist ยังอยู่ในระดับที่คนที่ไปอยู่ไม่นานอย่างเรายังสามารถรับรู้ได้ (แต่ก็ไม่ได้มากมายขนาดนั้น) มันน้อยในระดับที่คนทั่วไปไม่ได้พูดออกมา แต่เรายังรู้สึกว่าชนชาติพี่คนขาวและพี่คนดำยังคงแยก ๆ กันอยู่ ส่วนฝั่งน้องจากเอเชียก็ยังรู้สึกโดนแบ่งบ้างเล็กน้อย

    .

    .

    ไม่รู้หรอกว่าจริง ๆ แล้วมันเป็นยังไง แต่สิ่งที่เรารู้สึกมันเป็นอย่างนั้น

    .

    .

    สำหรับเราก่อนไปนั้น พูดตรง ๆ คือเรารู้สึกกลางมาก ๆ เราไม่เคยรู้สึกว่าใครดีกว่าใคร หรือใครจะเป็นคนไม่ดีหรือน่ากลัวตามชนชาติหรือสีผิวของเค้า
    .
    ดังนั้น ช่วงที่เราไปถึงแรก ๆ เวลามีคนบอกว่าอย่าไปเดินแถวนี้นะ ถิ่นคนดำ ถิ่นคนขาว ถิ่นนู้นถิ่นนี้ เราเลยค่อนข้างสับสนและไม่เข้าใจเล็กน้อย
    เราได้ยินคำแนะนำมาตลอดว่าอย่าพยายามขึ้นไปสูงกว่า Central Park นะ เพราะเลยเซนทรัลพาร์คขึ้นไปจะเป็นย่าน Harlem และ The Bronx ถิ่นพี่คนดำเค้า ถึงแม้เราจะไม่ได้คิดอะไร แต่เราก็ไม่รู้ใครเป็นใครบ้าง ก็ระวังไว้ก่อน (แต่จริง ๆ แล้วเราชอบ Vibe ของเดอะบร๊องซ์มาก ๆ เลย ฮือว 555)
    .

    จริง ๆ แล้วไม่ได้ชนชาติไหนดีหรือไม่ดีหรอก บางทีแค่เป็นเพราะสังคมที่แตกต่าง หรือสังคมกล่าวไว้ว่าอย่าทำอย่างนู้นอย่างนี้ คนเราเลยคงเลือกอยู่กับอะไรที่สบายใจคือสิ่งที่เหมือน ๆ กับเรา เลยกลายเป็นว่าเราพยายามป้องกันตัวเองจากสิ่งที่แตกต่าง
    .
    .
    ยกตัวอย่างเรื่อง (ที่อาจไม่เกี่ยว 555) ที่เราเจอกับตัว ใน College ที่เราไป จะมีกลุ่มเด็ก Exchange Students อยู่ประมาณราว ๆ 50 คนได้ โดยจะมีทั้งเด็กที่มาจากประเทศฝั่งยุโรปและเอเชีย รวมถึงอเมริกาใต้ด้วยบ้างเล็กน้อย
    .
    ทั้ง ๆ ที่ทุกคนก็ทำความรู้จักพร้อม ๆ กัน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในภาพรวมคือ คนยุโรปจะอยู่กับยุโรป และเอเชียจะอยู่ด้วยกัน เอาจริง ๆ มันก็ไม่ใช่ความผิดของใครหรอก มันแค่เหมือนเป็นความสบายใจตามธรรมชาติมั้งที่เราจะเลือกอยู่กับคนที่เหมือนหรือคล้าย ๆ กันก่อน
    .
    .
    บางคนก็หนักถึงกับเราพยายามชวนคุยด้วยแล้ว หลายครั้งแล้ว แต่สิ่งที่เค้าทำคือพยายามที่จะไม่คุยด้วยเลย ถึงกับพยายามเมินด้วย อย่างงี้ก็ไม่โอเค ( หรืออาจจะผิดที่เราน่ากลัวเอง555555 ยัง ยังไม่รู้ตัวอีก)
    .
    .
    สิ่งที่แย่กว่านั้นนิดนึงสำหรับเราคือด้วยความที่เราหน้าแปลก ๆ (...) ด้วยความที่เราเป็น Mixed ยุโรปจะมองว่าเราเอเชีย และเอเชียบางคนจะมองว่าเราไม่เอเชียแต่มาจากไหนก็ไม่รู้ ช่วงแรก ๆ พอมีคนถามว่ามาจากไหน พอบอกว่าคนไทยจ้าจะมีคนบอก You don't look Thai หลายครั้งมาก พอถามกลับว่า อั๊วไม่ลุคไทยแล้วอั๊วลุคอาไล เค้าจะตอบว่า I don't know แค่หน้าแปลก (เอ้า)
    .
    .
    ไม่ใช่ว่าแต่ละฝ่ายถึงกับเหยียดกันอะไรขนาดนั้น จริง ๆ แล้วก็มีคุยกันบ้าง แต่แค่เป็นส่วนน้อย แต่ก็นั่นแหละ ไม่ใช่ความผิดใคร ไม่มีใครผิด แค่เป็นความสบายใจของแต่ละคน
    ไม่เรียกว่า Racism แล้วกัน แค่ Discrimination (ดีขึ้นมั้ยอะ 555)

    .

    .

    .

    .

    .

    แต่ไม่ใช่ว่าเรื่องที่ทำให้เราช็อคจะมีแต่เรื่องไม่ดี ๆ บางทีคนเราก็ช็อคกับสิ่งที่ดีกว่าสิ่งที่เคยเจอก็ได้ หรือเรียกให้ถูกคือ เซอร์ไพรซ์!
    .

    .

    สิ่งที่เราเซอร์ไพรซ์มาก ๆ คือความไนซ์ของคนที่นี่ในการเปิดประตูค้างให้คนที่จะเข้าคนถัดไปเสมอ น่ารักมาก เป็นอีกเรื่องดี ๆ ของเมืองนี้ (หรือของประเทศนี้) รู้สึกแปลกมากเวลากลับมาแล้วใครจะเข้าก็เข้า คนต่อไปก็เปิดเอง (ซึ่งมันก็เป็นปกติอยู่แล้ว) นับเป็นคัลเจอร์ดี ๆ ของเค้าที่เราประทับใจ <3

    .

    .

    อีกอย่างที่เราไม่เคยใช้เลยก่อนไปและรู้สึกว่ามันแปลกคือการพูด Bless you เวลามีใครจามออกมา ไม่ว่าเราจะรู้จักหรือไม่รู้จัก 

    .

    จำได้ว่าเคยเรียนตอนเด็ก ๆ ว่าฝรั่งเค้าจะพูดอย่างนี้กัน คล้าย ๆ เป็นการอวยพรให้หายไว ๆ ไม่คิดว่าเค้าจะใช้กันทั่วไปแบบนี้ 555 แต่ทุกวันนี้คงเป็นเรื่องของมารยาทมากกว่า ถ้าไม่พูดอาจเป็นการเสียมารยาท (มั้ง) ถ้ามีใครซักคนจาม คนที่ได้ยินจะพูดว่า Bless you และคนจามจะตอบกลับว่า Thank you!

    .

    ใครที่อยู่ต่างประเทศมาตั้งแต่เด็กคงมองว่า แปลกยังไง 5555 แต่มันเป็นเรื่องแปลกมากเลยสำหรับเรา

    .

    .

    เวลามีคนจามในห้องเรียน คนข้าง ๆ หรือคนที่ได้ยิน แม้แต่อาจารย์ก็จะพูด หรือแม้กระทั่งตอนสอบ ห้องเงียบ ๆ อยู่ ถ้ามีคนจามขึ้นมา แม้ห้องสอบจะเงียบมากก็จะมีเพื่อนพูด Bless you กันทั้งห้อง แบบกระหึ่มอะ 55555 สอบครั้งแรกเราแบบเห้ยมันต้องอะไรกันขนาดนี้เลยหรอ 55555555 บางทีคนจามอยู่หน้าสุดของ Hall ก็ยังมีคนตะโกนมาจากหลังสุด น้องตกใจแรงมาก

    .
    .
    .
    .

    .
    .
    .
    สำหรับเราในฐานะคนที่อยู่ในประเทศกำลังพัฒนามาตลอด พอได้มาลองอยู่ในประเทศพัฒนาแล้วก็รู้สึกได้เลยว่าเค้าพัฒนาแล้วจริง ๆ ไม่ได้พูดถึงเรื่องความเจริญทางด้านวัตถุ แต่หมายถึงความคิดที่ลึกซึ้งและการเปิดรับสิ่งที่แตกต่าง พูดในภาพรวมแล้ว เราว่าคนที่นี่ค่อนข้าง Open-minded กว่ามาก และเราว่าความคิดและเหตุผลของคนส่วนมากที่เราเจอไม่ Shallow เลย ( หรือ เค้าไม่คิดตื้น ๆ ไม่ judge คนทั้งที่ไม่รู้ / แต่พอเราไปพูดความรู้สึกเราอย่างนี้ให้เพื่อนที่เป็น New Yorker ฟัง เค้าตอบเรากลับมาว่า หรอ? 555)
    .
    .
    แต่ยังไงนี่ก็แค่เป็นภาพรวม ไม่ได้หมายความว่าทุกคนหรือทุกสิ่งจะเป็นอย่างนั้น ทุกอย่างมีข้อดีและข้อเสียกันทั้งนั้น
    นี่ก็เป็นเรื่องคร่าว ๆ จากสิ่งที่เราเจอและรู้สึก ของสิ่งที่เราคิดว่าแปลกหรือแตกต่างจากชีวิตที่กรุงเทพ บางทีเราก็ว่ามันตลกดีที่ได้เจออะไรใหม่ ๆ อะไรดีเราก็ปรับมาใช้ได้ อะไรไม่ดีก็ลีฟเอาไว้
    .
    .
    .
    .
    ถึงประเทศเราจะยังอยู่ในเฟส Developing (กำลังพัฒนา) แต่เราก็สามารถเป็นคนที่มีความคิดอย่าง Developed (พัฒนาแล้ว) ได้ อยู่ที่เรา เย่


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in