อาหาร
ก่อนมานิวยอร์กปกติเรากินข้าวมื้อนึงน้อยมากก็อิ่มมากแล้ว พอมาที่นี่เลยค่อนข้างช็อคกับปริมาณอาหารต่อ 1 มื้อ เนื่องจากจานนึงเราสามารถแบ่งกินได้อีก 3-4 มื้อ แต่อยู่ไปซักพักเราก็เริ่มปรับตัวได้! 55555 หลัง ๆ มานี้กินหมดบ่อยมาก โธ่ไม่น่าเลย 5555 กลับไทยมาเจอเพื่อนเจอญาติก็ต่างช็อคกับความเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักที่เกิดขึ้น พร้อมด้วยคำปลอบใจประมาณว่าตัวสูงไม่แย่หรอก (แต่ใช้คำว่า ไม่เป็นไรหรอกสูงใหญ่ หนูรู้สึกแย่กว่าเดิมอีกค่ะ ฮือ สูงเฉย ๆ ก็ได้ 555555)
สิ่งที่ช็อคกว่าก็คีือเวลาเปิดกระเป๋าตัง โอ้โห เต็มเลยยยยย ใบเสร็จเต็มเลยย เงินอยู่ไหน
เป็นที่รู้กันว่าค่าครองชีพในนิวยอร์กนั้นถือว่าเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ค่าอาหารที่แพงกว่าประเทศเรานั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องยอมรับแต่โดยดี
แม้แต่มื้อธรรมดาอย่างข้าวกล่องที่ซื้อจาก Food truck ข้างทาง ก็ราคาประมาณ $5 - $9 หรือสองร้อยกว่าบาท ซึ่งถือว่าถูกมากแล้ว
.
.
.
อีกอย่างคือในความรู้สึกเรา เราว่ารสชาติอาหารที่นี่เทียบกับร้านอาหารในไทยแล้วสู้ไม่ได้เลย อาจจะเป็นเพราะร้านอาหารในไทยอาจจะมีการปรับเปลี่ยนรสชาติให้เข้ากับคนไทยด้วยมั้ง ทั้งร้านอาหารอิตาเลียน ร้านอาหารญี่ปุ่น หรืออะไรก็ตาม ในความเห็นเรา เราว่าไม่ว่าร้านอาหารชาติไหน ในไทยอร่อยกว่าทั้งนั้นเลย 55
เวลา
ย้อนกลับไปในคืนวันเสาร์แรกของเดือนเมษายนของปีนี้ เรากับเพื่อน ๆ ออกไป Night out ไปนั่งเมาท์กันในบาร์เล็ก ๆ แถว Lower East side คุยกันหลายเรื่องไปหมดตั้งแต่เรื่องไร้สาระอย่างการถกเถียงว่าใครมีเหนียงเยอะที่สุด ยันเบื้องลึกการเมืองประธานาธิบดีเกาหลีใต้ 5555 คุยกันเยอะมากจนเข้าวันอาทิตย์ พอดูนาฬิกาอีกทีทุกคนก็ช็อคมาก เพราะมันเกือบตีสามครึ่งแล้ว เลยออกไปกินเครปที่ร้านแถวนั้น (ยังจะกินอีก 5555) ก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน
.
.
จริง ๆ แล้วคืนนั้นเป็นคืนที่เค้าปรับเวลา +1 ชั่วโมงจากเวลาปกติพอดี เราก็พอรู้ว่าเค้าจะมีการปรับเวลาบวกหรือลบตามฤดูกาล ( เพื่อให้มีช่วงเวลาตอนเช้าที่เริ่มมีแสงอาทิตย์ช้าลง และเวลาที่มีแสงอาทิตย์ช่วงเย็นยาวขึ้น ) แต่พอมาเจอแบบไม่ตั้งตัวก็แอบงงและกะเวลาไม่ค่อยถูกอยู่นิดนึงเหมือนกัน
เสียง
นิวยอร์กซิตี้นั้นมีเพลงประจำตัวนั่นก็คือเสียงรถหวอ ได้ยินตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน ได้ยินจนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
.
.
คุณลุงเล่าให้ฟังว่าสมัยก่อนเวลาพ่อโทรมาหาลุงซึ่งอยู่นิวยอร์กจะได้ยินเสียงแบ็คกราวนด์เป็นเสียงหวอตลอด เมื่อก่อนพ่อเลยไม่กล้ามานิวยอร์ก 5555 ให้ฟีลเหมือนมีคนยิงกันตลอดเวลาเหมือนในหนัง แต่ไม่ใช่หรอก อยู่ไปซักพักก็ชินเอง
.
.
นอกจากนี้บางทีตอนกลางคืนจะได้ยินเสียงคนตะโกนอยู่ตามถนน โดยเฉพาะ Friday & Saturday night จะได้ยินบ่อยเป็นพิเศษ แต่อยู่ไปก็ชินเช่นกัน 5555
คนแปลก
จริง ๆ แล้วคนแปลก ๆ มันก็มีทุกที่แหละ แต่เราว่าที่นิวยอร์กคนพวกนี้ค่อนข้างเยอะ และค่อนข้าง Approach หรือเข้าหาคนที่เดินผ่านไปมามากกว่าที่อื่น ๆ ที่เราเคยเจอ สิ่งที่ต้องทำคือเมินไป ช่วงแรก ๆ เรากลัวมากเลย 555 อย่างที่บอกคือระแวงมาก แต่อยู่ไปซักพักก็ชินอีกแล้ว 55555 ไม่ต้องสนใจ ไม่ต้องคุย ไม่ต้องทำท่ากลัว ทำหน้าเฉย ๆ แล้วเดินผ่านไป
แต่บางครั้งเค้าก็ Approach มากและค่อนข้างอันตรายด้วย มีอยู่ครั้งนึงตอนเรากำลังเดินเข้าประตูอพาร์ตเมนต์ตอนกลางคืนพร้อมรูมเมท พอกำลังปิดประตูก็มีคนนึงจับประตูไว้ไม่ให้มันปิด จะเข้ามาด้วย ตอนนั้นเราเอ๋อมาก 5555 แต่รูมเมทก็ทำหน้าแบบ กุไม่เล่น!!! 555 เค้าคงเห็นว่าเราไม่กลัว เลยปล่อย
.
.
จริง ๆ แล้วช่วงที่อยู่ที่นู่นตัวเราเองเจอคนแปลกเยอะมากเลย แต่เดี๋ยวไว้เล่าอีกตอนดีกว่า เยอะ 5555
ชนชาติ
ก่อนมาที่นี่เราเข้าใจว่าการเหยียดผิวหรือการเหยียดชนชาติในประเทศนี้นั้นได้น้อยลงไปมากแล้ว ซึ่งก็คงเป็นอย่างนั้น เราไม่รู้หรอกว่าก่อนหน้านี้มันรุนแรงกว่านี้แค่ไหน แต่ที่เรารับรู้คือจริง ๆ แล้วมันไม่ได้น้อยมากอย่างที่เราคิดไว้เลย ระดับความ Racist ยังอยู่ในระดับที่คนที่ไปอยู่ไม่นานอย่างเรายังสามารถรับรู้ได้ (แต่ก็ไม่ได้มากมายขนาดนั้น) มันน้อยในระดับที่คนทั่วไปไม่ได้พูดออกมา แต่เรายังรู้สึกว่าชนชาติพี่คนขาวและพี่คนดำยังคงแยก ๆ กันอยู่ ส่วนฝั่งน้องจากเอเชียก็ยังรู้สึกโดนแบ่งบ้างเล็กน้อย
.
.
ไม่รู้หรอกว่าจริง ๆ แล้วมันเป็นยังไง แต่สิ่งที่เรารู้สึกมันเป็นอย่างนั้น
.
.
สำหรับเราก่อนไปนั้น พูดตรง ๆ คือเรารู้สึกกลางมาก ๆ เราไม่เคยรู้สึกว่าใครดีกว่าใคร หรือใครจะเป็นคนไม่ดีหรือน่ากลัวตามชนชาติหรือสีผิวของเค้า
.
ดังนั้น ช่วงที่เราไปถึงแรก ๆ เวลามีคนบอกว่าอย่าไปเดินแถวนี้นะ ถิ่นคนดำ ถิ่นคนขาว ถิ่นนู้นถิ่นนี้ เราเลยค่อนข้างสับสนและไม่เข้าใจเล็กน้อย
เราได้ยินคำแนะนำมาตลอดว่าอย่าพยายามขึ้นไปสูงกว่า Central Park นะ เพราะเลยเซนทรัลพาร์คขึ้นไปจะเป็นย่าน Harlem และ The Bronx ถิ่นพี่คนดำเค้า ถึงแม้เราจะไม่ได้คิดอะไร แต่เราก็ไม่รู้ใครเป็นใครบ้าง ก็ระวังไว้ก่อน (แต่จริง ๆ แล้วเราชอบ Vibe ของเดอะบร๊องซ์มาก ๆ เลย ฮือว 555)
.
จริง ๆ แล้วไม่ได้ชนชาติไหนดีหรือไม่ดีหรอก บางทีแค่เป็นเพราะสังคมที่แตกต่าง หรือสังคมกล่าวไว้ว่าอย่าทำอย่างนู้นอย่างนี้ คนเราเลยคงเลือกอยู่กับอะไรที่สบายใจคือสิ่งที่เหมือน ๆ กับเรา เลยกลายเป็นว่าเราพยายามป้องกันตัวเองจากสิ่งที่แตกต่าง
.
.
ยกตัวอย่างเรื่อง (ที่อาจไม่เกี่ยว 555) ที่เราเจอกับตัว ใน College ที่เราไป จะมีกลุ่มเด็ก Exchange Students อยู่ประมาณราว ๆ 50 คนได้ โดยจะมีทั้งเด็กที่มาจากประเทศฝั่งยุโรปและเอเชีย รวมถึงอเมริกาใต้ด้วยบ้างเล็กน้อย
.
ทั้ง ๆ ที่ทุกคนก็ทำความรู้จักพร้อม ๆ กัน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในภาพรวมคือ คนยุโรปจะอยู่กับยุโรป และเอเชียจะอยู่ด้วยกัน เอาจริง ๆ มันก็ไม่ใช่ความผิดของใครหรอก มันแค่เหมือนเป็นความสบายใจตามธรรมชาติมั้งที่เราจะเลือกอยู่กับคนที่เหมือนหรือคล้าย ๆ กันก่อน
.
.
บางคนก็หนักถึงกับเราพยายามชวนคุยด้วยแล้ว หลายครั้งแล้ว แต่สิ่งที่เค้าทำคือพยายามที่จะไม่คุยด้วยเลย ถึงกับพยายามเมินด้วย อย่างงี้ก็ไม่โอเค ( หรืออาจจะผิดที่เราน่ากลัวเอง555555 ยัง ยังไม่รู้ตัวอีก)
.
.
สิ่งที่แย่กว่านั้นนิดนึงสำหรับเราคือด้วยความที่เราหน้าแปลก ๆ (...) ด้วยความที่เราเป็น Mixed ยุโรปจะมองว่าเราเอเชีย และเอเชียบางคนจะมองว่าเราไม่เอเชียแต่มาจากไหนก็ไม่รู้ ช่วงแรก ๆ พอมีคนถามว่ามาจากไหน พอบอกว่าคนไทยจ้าจะมีคนบอก You don't look Thai หลายครั้งมาก พอถามกลับว่า อั๊วไม่ลุคไทยแล้วอั๊วลุคอาไล เค้าจะตอบว่า I don't know แค่หน้าแปลก (เอ้า)
.
.
ไม่ใช่ว่าแต่ละฝ่ายถึงกับเหยียดกันอะไรขนาดนั้น จริง ๆ แล้วก็มีคุยกันบ้าง แต่แค่เป็นส่วนน้อย แต่ก็นั่นแหละ ไม่ใช่ความผิดใคร ไม่มีใครผิด แค่เป็นความสบายใจของแต่ละคน
ไม่เรียกว่า Racism แล้วกัน แค่ Discrimination (ดีขึ้นมั้ยอะ 555)
.
.
.
.
.
แต่ไม่ใช่ว่าเรื่องที่ทำให้เราช็อคจะมีแต่เรื่องไม่ดี ๆ บางทีคนเราก็ช็อคกับสิ่งที่ดีกว่าสิ่งที่เคยเจอก็ได้ หรือเรียกให้ถูกคือ เซอร์ไพรซ์!
.
.
สิ่งที่เราเซอร์ไพรซ์มาก ๆ คือความไนซ์ของคนที่นี่ในการเปิดประตูค้างให้คนที่จะเข้าคนถัดไปเสมอ น่ารักมาก เป็นอีกเรื่องดี ๆ ของเมืองนี้ (หรือของประเทศนี้) รู้สึกแปลกมากเวลากลับมาแล้วใครจะเข้าก็เข้า คนต่อไปก็เปิดเอง (ซึ่งมันก็เป็นปกติอยู่แล้ว) นับเป็นคัลเจอร์ดี ๆ ของเค้าที่เราประทับใจ <3
.
.
อีกอย่างที่เราไม่เคยใช้เลยก่อนไปและรู้สึกว่ามันแปลกคือการพูด Bless you เวลามีใครจามออกมา ไม่ว่าเราจะรู้จักหรือไม่รู้จัก
.
จำได้ว่าเคยเรียนตอนเด็ก ๆ ว่าฝรั่งเค้าจะพูดอย่างนี้กัน คล้าย ๆ เป็นการอวยพรให้หายไว ๆ ไม่คิดว่าเค้าจะใช้กันทั่วไปแบบนี้ 555 แต่ทุกวันนี้คงเป็นเรื่องของมารยาทมากกว่า ถ้าไม่พูดอาจเป็นการเสียมารยาท (มั้ง) ถ้ามีใครซักคนจาม คนที่ได้ยินจะพูดว่า Bless you และคนจามจะตอบกลับว่า Thank you!
.
ใครที่อยู่ต่างประเทศมาตั้งแต่เด็กคงมองว่า แปลกยังไง 5555 แต่มันเป็นเรื่องแปลกมากเลยสำหรับเรา
.
.
เวลามีคนจามในห้องเรียน คนข้าง ๆ หรือคนที่ได้ยิน แม้แต่อาจารย์ก็จะพูด หรือแม้กระทั่งตอนสอบ ห้องเงียบ ๆ อยู่ ถ้ามีคนจามขึ้นมา แม้ห้องสอบจะเงียบมากก็จะมีเพื่อนพูด Bless you กันทั้งห้อง แบบกระหึ่มอะ 55555 สอบครั้งแรกเราแบบเห้ยมันต้องอะไรกันขนาดนี้เลยหรอ 55555555 บางทีคนจามอยู่หน้าสุดของ Hall ก็ยังมีคนตะโกนมาจากหลังสุด น้องตกใจแรงมาก
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in