วันเสาร์ 00:48, ฟลอริด้า สหรัฐอเมริกา
เป็นเวลากว่าสองชั่วโมงแล้วที่มาร์คัสและชาร์ลต้องติดแหง็กอยู่บนเศษขยะเคลื่อนที่ (ชาร์ลเรียกมันว่าอย่างนั้น) ระหว่างการเดินทางไปจอร์เจีย อาจเพราะสภาพเก่าเก็บของรถที่ตกทอดมารุ่นสู่รุ่น หรือเพราะพวกเขาใช้งานมันหนักเกินไปเจ้าหนูนี่ถึงได้ประท้วงด้วยการดับไปเสียดื้อ ๆ
"เหอะ ไหนล่ะช่างซ่อมรถ 24 ชั่วโมงของนาย ไม่เห็นจะมีโผล่หัวมาสักคน" มาร์คัสว่า
ก่อนชาร์ลจะตอบ เขากลอกตาอย่างคนที่เริ่มไม่สบอารมณ์ทีหนึ่ง "โทษทีนะ แต่รู้ใช่ไหมว่าเราอยู่ห่างจากตัวเมืองเป็นร้อยกิโล"
หากจะพูดกันตามจริงคงไม่มีร้านซ่อมรถที่ไหนถ่อมาไกลถึงที่นี่เพื่อซ่อมรถเก่าคร่ำคร่าคันเดียวในเวลากลางดึกเช่นนี้ นอกเสียจากว่าเจ้าของร้านจะเป็นคนใจบุญสุนทานเสียจนทนเห็นคนเดือดร้อนไม่ได้
"แล้วถ้าคืนนี้ไม่มีคนมาล่ะ"
"เดี๋ยวพรุ่งนี้โคลก็มารับเองน่ะแหละ" ชาร์ลว่าพร้อมกับล้วงเอาบางอย่างออกมาจากกระเป๋า นับว่ายังเป็นโชคดีในโชคร้ายที่เขามักจะพกลูกกวาดหรือของหวานชิ้นเล็ก ๆ ติดตัวไว้เสมอ เชอร์รี่แคนดี้สองสามเม็ดถูกยื่นไปตรงหน้ามาร์คัส นัยน์ตาสีเขียวมะกอกเหลือบมองเจ้าของลูกกวาดสีแดงสดตรงหน้าทีหนึ่งก่อนจะหยิบมันมาเพียงเม็ดเดียว
มาร์คัสรู้ดีว่าเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเข้มที่นั่งทำหน้าเฉยชาอยู่ข้าง ๆ เขาแท้จริงแล้วในใจกระวนกระวายแค่ไหน หากเป็นสถานการณ์ปกติเขาคงไม่มีแม้แต่โอกาสได้ตัดสินใจว่าจะกินหรือไม่กินลูกกวาดพวกนี้ เพราะเพียงพริบตาเดียวมันคงหายวับเข้าไปอยู่ในแก้มขาวนวลสองข้างนั้นเสียหมด แต่ที่เด็กอ้วนหวงของกินอย่างชาร์ลยอมแบ่งลูกกวาดให้เขาคงเป็นเพราะเจ้าตัวรู้สึกผิดอยู่ไม่มากก็น้อย
"กินแค่นั้นจะอิ่มหรือไงน่ะ"
มาร์คัสตอบ "ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย" พลางหันกลับมาจ้องมองใบหน้าด้านข้างของเพื่อนสนิท เขาคลายเกลียวห่อลูกกวาดออกช้า ๆ ขณะที่กำลังจะโยนเชอร์รี่แคนดี้เม็ดนั้นเข้าปากก็สังเกตเห็นความกังวลบนใบหน้าเฉยเมยนั้น
"ทำไมไม่ยอมกิน"
"จะเก็บไว้กินตอนที่หิวกว่านี้"
ได้ยินคำพูดประโยคนั้นมาร์คัสก็หลุดหัวเราะออมกมาเสียงดัง ชาร์ลชักสีหน้าใส่คนข้างกายที่นอนขดตัวเป็นกุ้งพร้อมกับเอามือกุมท้อง
"ถ้าจะขนาดนั้นก็เอาคืนไปเลยไป ฉันไม่อยากแย่งขนมเจ้าหนูชิลลี่หรอกนะ"
เชอร์รี่แคนดี้สีแดงสดเม็ดนั้นถูกยื่นไปตรงหน้าชารืลที่ทำหน้างอง้ำ สองแก้มแดงปลั่งราวลูกแอปเปิ้ลสุกงอมด้วยอารมณ์โกรธ ถึงอย่างนั้นริมฝีปากสีระเรื่อก็ค่อย ๆ เปิดออกก่อนจะงับเข้าที่ข้อนิ้วเรียวแทนที่จะเป็นลูกกวาดสีหวาน ฝากรอยกัดสีจางไว้บนผิวขาวซีดของหนุ่มออสตินที่นั่งทำหน้าระรื่นอยู่
"โอ๊ย เจ็บจังเลย" มาร์คัสกล่าวด้วยน้ำเสียงยียวน ก่อนจะแสร้งขมวดคิ้วราวกับเจ็บปวดเสียเต็มประดา
"ฉันไม่ใช่เด็กอมมือแล้วนะโว้ย"
"โตแล้วจริงเหรอ"
ชั่วขณะนั้นนัยน์ตาสีมะกอกก็สอดประสานเข้ากับดวงตาปรือปรอยด้วยความง่วงงุนของคนข้าง ๆ เชอร์รี่แคนดี้สีแดงสดแตะลงแผ่วเบาที่ริมฝีปากอวบอิ่มก่อนจะถอนออกคล้ายหยอกเย้า ไม่ทันที่ชาร์ลจะได้ทักท้วงเชอร์รี่แคนดี้เม็ดนั้นก็เข้าไปอยู่ในปากมาร์คัสเสียแล้ว
"คนที่โตแล้วเขาไม่โดนแกล้งง่าย ๆ แบบนี้หรอกมั้ง"
ถูกยียวนกวนประสาทอยู่ไม่ทันไรชาร์ลก็เริ่มมีน้ำโห เด็กหนุ่มขยับตัวเข้าหาเพื่อนตัวสูงที่ยักคิ้วหลิ่วตาให้เขาอยู่ สองมือเล็ก ๆ ประกบเข้าที่แก้มซ้ายขวาของหนุ่มออสตินแสนกวนประสาท ออกแรงบีบเล็กน้อยเพื่อให้เขาเปิดริมฝีปาก เชอร์รี่แคนดี้วาววับถูกฉกฉวยไปจากปากมาร์คัสทันทีที่ชาร์ลทาบทับริมฝีปากลงมาหลังการกระทำป่าเถื่อน
ทว่าจุมพิตนั้นกลับแผ่วเบาราวผีเสื้อเกาะดอกไม้
สัมผัสที่ถูกส่งมอบมาให้คละเคล้าไปด้วยความวาบหวามอุ่นซ่าน รสหวานหอมและกลิ่นอายจาง ๆ ของวานิลลา
ไม่มีใครสนแล้วว่าเชอร์รี่แคนดี้ที่เหลืออยู่จะเป็นของใคร หรือช่างซ่อมรถจะมาตามที่ตกลงไว้หรือไม่ ไม่สนแม้กระทั่งอาภรณ์ทีกำลังร่วงหล่นและกระจัดกระจายไปทั่วรถที่แสนอบอ้าวคันนี้
นานแสนนาน
เริ่มตั้งแต่รสหวานของลูกกวาดยังคงเคล้าอยู่ในปากกระทั่งมันค่อย ๆ จืดจางไป
กายเปลือยเปล่าที่เบียดเสียดเข้าหากันยังคงแนบชิดกันอยู่อย่างนั้น จวบจนตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า...เชอร์รี่แคนดี้เม็ดที่สองจึงได้ถูกลิ้มรสอีกคราหนึ่ง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in