เรื่องราวเริิ่มต้นที่ลอนดอนในช่วงปี 1961 ของ Jenny Mellor เด็กสาวไฮสคูลวัย 16 ปี เธอตืื่นเต้นที่อีกไม่นานใกล้จะถึงวันเกิิดครบรอบ 17 ปี และเธอยังคลั่งไคล้ศิลปะและวัฒนธรรมฝรั่งเศส ซึ่งพ่อของเธอไม่ค่อยชอบเวลาที่เธอฟังเพลงฝรั่งเศสเท่าไหร่นัก ยังไม่นับเรืื่องที่พ่อเป็นผู้บงการชีวิตทุกอย่างโดยเฉพาะเรื่องเรียน เขาพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ Jenny ได้เข้ามหาลัย Oxford ซึ่งนั่นก็เป็นสิิ่งที่เธอต้องการเหมือนกัน
อยู่มาวันหนึ่ง หลังจากที่ Jenny เหน็ดเหนื่อยจากการซ้อมวงออร์เคสตรา เธอยืนอยู่ข้างป้ายรถเมล์ท่ามกลางสายฝน อยู่ๆก็มีชายปริศนาประมาณวัยกลางคนเห็นเด็กสาวยื่นตัวเปียกอยู่ ได้ขับรถเข้ามาจอดข้างๆเธอ เขากังวลว่าเชลโลของเธอจะเปียกซะก่อน Jenny ทำตัวไม่ค่อยถูกแต่เนื่ืองจากสภาวะฟ้าฝนที่ดูไม่เต็มใจ เธอจึงขึ้นรถไปกับเขาและทั้งสองก็ได้พูดคุยทำความรู้จักกัน ในขณะที่ David กำลังพาเธอกลับบ้าน เขาได้พูดเกี่ยวกับรถ Bristol 405 ซึ่งเป็นรถที่หายากมากบวกกับรสนิยมเพลงที่ทำให้ Jenny ค่อนข้างประทับใจ
เช้าวันต่อมา David ได้นำตระกร้าดอกไม้มาวางไว้ที่หน้าประตูบ้านของครอบครัว Jenny และบังเอิญตอนที่ Jenny กับเพื่อนๆกำลังเดินไปโรงเรียนอยู่นั้นเธอก็ได้เจอกับ David ในเมืองพอดี เธอขอบคุณเขาสำหรับตระกร้าดอกไม้ที่ส่งมาให้ จากนั้น David บอกว่าเขาอยากชวนเธอไปคอนเสิร์ตเย็นวันศุกร์ Jenny เองไม่แน่ใจว่าจะขอพ่อแม่ได้มั้ย ซึ่งตอนแรกพ่อเกือบจะคัดค้านเธอด้วยซ้ำจนกระทั่ง David เข้ามาแนะนำตัวกับที่บ้าน เขานั้นมีวาทศิลป์ในการพูดโน้มน้าวผู้ใหญ่ อาจจะด้วยที่ว่าตัวเขาก็เป็นผู้ใหญ่เช่นกัน และยังบอกว่าจะมาส่ง Jenny ช้ากว่าเวลาที่พ่อแม่เธอกำหนดตอนแรก (ตรงกับเวลาปกติที่ Jenny เข้านอนพอดี) แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ควรไม่ดึกมากเกินไป นั่นจึงทำให้พ่อแม่ของ Jenny วางใจในตัวเขาระดับหนึ่ง
ในช่วงเวลาค่ำ Jenny ตื่นเต้นที่ได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศในร้านที่รายล้อมไปได้พวกคนชั้นสูง David ได้พาเธอมานั่งโต๊ะร่วมวงกับเพื่อนของเขา (Danny และ Helen) Jenny ดูแฮปปี้ที่ได้สนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับเรื่องศิลปะ อุดมคติต่างๆนานา และเธอก็เต็มไปด้วยแพชชั่นนั่นจึงทำให้เพื่อนของ David รู้สึกถูกคอกับเด็กสาวเป็นพิเศษ พวกเขาได้ชวนเธอเข้าร่วมงานประมูลภาพวาดที่วาดโดย Edward Burne-Jones และไปที่บ้านของ Danny หลังจากนั้น
ในงานประมูลแข่งขันกันอย่างดุเดือดไม่มีใครยอมใครทั้งนั้นโดย David ให้ Jenny เป็นคนออกหน้าทั้งๆที่เธอไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน ผ่านไปสักพักมีแค่คุณป้ากับฝั่งของ Jenny ที่กำลังสูสีกัน สุดท้ายภาพวาดก็ได้ตกเป็นของฝั่ง Jenny ด้วยการปิดราคาประมูลที่ 200 กินี
จากนั้น David พา Jenny ไปที่บ้านของ Danny และทุกคนก็ได้พูดคุยเกี่ยวกับทริปต่อไป David เลยเสนอว่า Oxford ดีมั้ย ซึ่ง Danny ก็เห็นด้วยและยังเสริมอีกว่าอาทิตย์หน้าเลยมั้ย แต่ตัวเด็กสาวกลับคิดว่าพ่อแม่เธอต้องไม่อนุญาตแน่เลย ทำเอาเพื่ือนเขา Helen ถึงกับหันขวับมามองเธอเลยทีเดียว ตัว David นั้นไม่รู้สึกกังวลกับคำพูดของ Jenny เลย แถมบอกว่าเดี๋ยวเขาช่วยคุยกับพวกท่านให้ เด็กสาวเลยติดตลกว่าจะพาเธอหนีเที่ยวทั้งทียังต้องขออนุญาตพ่อแม่อย่างงั้นหรอ
การเจรจากับพ่อแม่ของ Jenny ผ่านไปด้วยดี เพราะ David โกหกพวกเขาว่าเคยเรียนที่ Oxford และยังรู้จักกับนักเขียนชื่อดัง C.S. Lewis ซึ่ง Jenny ก็เล่นตามเกมไปกับเขา
ทริปเริ่มต้นด้วยทุกคนตรงไปยังผับเป็นที่แรก โดยก่อนหน้านั้น Helen ช่วย Jenny แต่งหน้าทำผมให้ดูโตขึ้นและยังยกเสื้อผ้าให้อีก ระหว่างที่กำลังเลือกชุด Helen ได้ถามเด็กสาวว่าตอนนอนคืนนี้มีชุดอะไรเก๋ๆยัง เด็กสาวก็ยังคงคิดว่ายังไงคืนนี้เธอต้องได้นอนห้องเดียวกับ Helen แต่กลับไม่ใช่แบบนั้น Helen นอนกับ Danny ซึ่งนั่นก็หมายความว่า.. คืนนี้เธอต้องร่วมห้องกับ David สองต่อสอง
Helen ได้ใส่ชุดนอนวาบหวิิวมาให้ Jenny และตัวเด็กสาวยังเปรียบเทียบว่ามันเหมือนกับผ้าม่านโรงแรมเลย David พิจารณาความงามของเด็กสาวอยู่ครู่หนึ่ง เด็กสาวสารภาพความจริงออกมาว่าเธออยากคงความบริสุทธิ์เอาไว้จนอายุครบ 17 ปี ซึ่ง David ก็โอเคกับการตัดสินใจของเธอและยังหยอกเรียกเธออีกว่า มินนี่ เม้าส์
ถึง David ไม่ได้มีอะไรกับ Jenny แต่เขาพยายามเกลี้ยกล่อมขอดูสิิ่งที่อยู่ใต้ร่มผ้า เด็กสาวค่อยๆถอดสายสีดำอย่างช้าๆด้วยความตื้นเขิน เพราะนี่เป็นครั้งแรกของเธอที่เผยหน้าอกให้คนอื่นเห็น David ตะลึงกับความงามที่อยู่ตรงหน้าและเขาก็พึงพอใจกับการได้มองแค่ไม่กี่นาที จากนั้นเขาจึงค่อยๆดึงสายชุดกลับแล้วทั้งคู่ก็จบเพียงแค่การกอดกัน
วันต่อมาพวกเขาได้แวะไปที่บ้านหลังเล็กแห่งหนึ่ง Jenny คิดจะลงจากรถและตาม David กับ Danny ไป แต่พวกเขาหันกลับมาพูดจาห้วนๆว่าขึ้นรถไปจะดีกว่า สองคนนั้นกำชับเด็กสาวด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยดีนัก Helen เลยชวน Jenny ออกไปเดินเล่นในระแวกนั้นแทน พอฝั่งพวกผู้ชายเสร็จธุระเรียบร้อยแล้ว ทั้งคู่รีบก้าวฝีเท้าออกมาจากบ้านหลังเล็กโดยที่ไม่คิดจะหันกลับไปมองอีก พวกเขาไม่ได้ออกมาตัวเปล่าเพียงอย่างเดียวแต่ยังนำแผนที่ขนาดใหญ่ออกมาด้วย แล้วตะโกนเรียก Helen กับ Jenny ขึ้นรถทันที
ตอนขากลับ Helen ได้เล่นกับเด็กสาวเพื่อให้เธอสบายใจขึ้น แต่ดูเหมือน Jenny กลับรู้สึกไม่พอใจกับการกระทำของพวกเขาครั้งนี้ เพราะเธอคิดว่าพวกเขาเป็นหัวขโมย เธอทำได้แค่ตึงใส่พวกเขาก็เท่านั้น David เห็นเด็กสาวเงียบผิดปกติิ เขาไม่รีรอช้าเดินไปสารภาพกับเด็กสาวว่าที่พวกเขาขโมยแผนที่ไปขาย เพราะมันเป็นของเก่าที่มีค่าแต่ตัวเจ้าของไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร มันควรอยู่กับพวกเขามากกว่าซึ่งพวกเขารู้วิธีดูแลเป็นอย่างดี ทั้งยังให้อิสระกับมัน และยอมรับว่าเหตุใดตัวเขาถึงช่วยกลุ่มคนผิวสีเมื่อคราวก่อนที่พวกเขาจะมาขอเช่าที่พัก เขาได้ย้ายหญิงชราออกไปแล้วให้กลุ่มคนผิิวสีเข้ามาแทนแถมคนกลุ่มนั้นยังได้เช่าในราคาถูกด้วย David อ้างว่าตัวเขากับเพื่อนๆเขาไม่ได้หัวดีเหมือน Jenny ดังนั้นพวกเขาจึงต้องหากินกันแบบนี้ เด็กสาวค่อยๆใจอ่อนกับเหตุผลต่างๆที่เขาให้ สุดท้ายทั้งคู่ก็กลับมาเข้าใจกันเหมือนเดิม
ไม่นานหลังจากนั้น Jenny บอกเพื่อนที่โรงเรียนว่า David กำลังวางแผนจะพาเธอไปปารีสฉลองวันเกิดครบรอบ 17 ปี (เป็นสถานที่ที่ Jenny อยากไปสักครั้งของชีวิต) เพื่อนๆตื่นเต้นกับทริปปารีสไม่ต่างจากเธอและคะยั้นคะยอให้เธอซื้อของมาฝาก ด้วยความที่นิสัยเด็กผูู้หญิิงส่วนใหญ่ชอบเรื่อง gossip และเป็นที่เอามากๆโดยเฉพาะเรื่องชีวิตคู่ของคนอื่น ปากส่งเรื่องนี้ต่อๆกันจนไปถึงหูครูของเธอ Miss Stubbs รวมไปถึงอาจารย์ใหญ่ด้วย พวกเขาได้ตักเตือน Jenny เกี่ยวกับสิ่งที่เธอกำลังจะทำ แต่อย่างไรก็ตาม Jenny ยังคงตั้งใจที่จะไปอยู่ดี
ในคืนวันเกิดอายุ 17 ปีของเด็กสาว David มาถึงพร้อมของขวัญและขอพ่อแม่ของ Jenny ว่าเธอไปปารีสกับเขาได้มั้ย พ่อแม่ของ Jenny ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ แต่ในไม่ช้า David ก็จัดการหว่านล้อมด้วยคำพูดของเขาสำเร็จ
ในกรุงปารีสพวกเขาได้ไปสถานที่ต่างๆยังมากมาย ทั้งสองเต้นรำ ถ่ายรูป และในทีี่สุด Jenny ก็เสียพรหมจรรย์ให้กับ David
เมื่อกลับมาจากทริปปารีส Jenny หิ้วของฝากน้ำหอม Chanel No.5 มาให้ครูเพื่อเป็นการติดสินบนเรื่องคะแนนของเธอ ซึ่ง Miss Stubbs ก็ได้ปฏิเสธน้ำหอมของเธอไป และพยายามพูดด้วยเหตุผลทั้งกังวลและไม่เห็นด้วยกับความสัมพันธ์ของเธอกับ David แต่เด็กสาวเถียงกลับและมองว่าที่ Miss Stubbs ไม่เห็นด้วย เพราะเห็นว่าชีวิตของนักเรียนดีกว่าเธอที่ทำงานเป็นครูอยู่ตอนนี้ และเด็กสาวยังบอกการได้ใช้ชีวิตกับ David นั้นเต็มไปด้วยสีสันและไม่จำเจซ้ำซากเหมือนคนทั่วๆไป
(อันนี้เราแอบฉุนแทน Miss Stubbs นะเอาจริิง)
สองสามคืนต่อมา.. David กับ Jenny และเพื่อนๆเข้าร่วมดูการแข่งขันสุนัข ซึ่งในลานจอดรถ David ได้ขอ Jenny แต่งงานกับเขา เด็กสาวไม่สามารถให้คำตอบได้ในทันทีและขอปรึกษาพ่อแม่ของเธอก่อน ใครจะไปคิดว่าพ่อของเธอที่เป็นคนขี้จุกจิกจะยอมอนุมัติให้พวกเขาแต่งงานกัน เพราะพ่อยังคงเชื่อเรื่องที่ David จบจาก Oxford เมื่อเคลียร์กับฝั่งครอบครัวเด็กสาวเรียบร้อยแล้ว ตัดมาที่ฝั่งของโรงเรียนกันบ้าง Jenny ทำเอาเพื่อนๆของเธอช็อคตามๆกันเมื่อพวกเขาเห็นแหวนหมั้นในคลาสเรียน Jenny ตั้งใจที่จะดึงดูดสายตาให้ Miss Stubbs เห็น จนเป็นเรื่องราวใหญ่โตไปถึงครูใหญ่อีกครั้ง คราวนี้เธอลงทุนถึงขั้นยอมทิิ้งการเรียนไม่ว่าทางฝั่งครูใหญ่จะพูดด้วยเหตุผลหลายประการมากแค่ไหน เธอก็ยังคงดื้อรั้นที่จะทำตามเสียงหัวใจตนเอง สุดท้ายเธอได้ตัดสิินใจทำเรื่องลาออกจากโรงเรียนทันที
Headmistress: Nobody does anything worth doing without a degree.
Jenny: Nobody does anything worth doing WITH a degree. No woman anyway.
Headmistress: So what I do isn't worth doing? Or what Miss Stubbs does, or Mrs. Wilson,
or any of us here? Because none of us would be here without a degree. You
do realize that, don't you? And yes, of course studying is hard and boring...
Jenny: Boring!
(โหไอ้เด็กนี่ต่อยกันสักยกมั้ย5555555)
Headmistress: I'm sorry?
Jenny: Studying is hard and boring. Teaching is hard and boring. So, what you're
telling me is to be bored, and then bored, and finally bored again, but this
time for the rest of my life? This whole stupid country is bored! There's no
life in it, or color, or fun! It's probably just as well the Russians are going to
drop a nuclear bomb on us any day now. So my choice is to do something
hard and boring, or to marry my... Jew, and go to Paris and Rome and listen
to jazz, and read, and eat good food in nice restaurants, and have fun! It's
not enough to educate us anymore Ms. Walters. You've got to tell us why
you're doing it.
David ได้ชวนพ่อแม่ของ Jenny ไปทานมื้อค่ำด้วยกัน ระหว่างเส้นทางที่จะไปร้านอาหารเขาได้แวะปั๊มน้ำมันข้างทาง ในขณะที่พ่อแม่รวมถึงตัว Jenny กำลังรอ David เติมน้ำมันอยู่ เด็กสาวเกิดเบื่อๆเลยเปิดลิ้นชักรถหาบุหรี่ดูด เธอค้นไปค้นมาดันไปเจอจดหมายหลายฉบับและพบความจริงว่า David แต่งงานแล้ว! เมืื่อ David ขึ้นรถ Jenny สั่งให้เขาพาพ่อแม่กลับบ้านทันทีโดยไม่มีข้อแม้ใดๆทั้งสิ้น ขากลับพ่อแม่ถามพวกเขาว่าเกิิดอะไรขึ้น Jenny เลยตอบพวกเขาไปว่า David กำลังรวบรวมความกล้าก่อนที่จะเข้าไปบอกความจริงกับพวกเขาที่บ้าน เมื่อ Jenny เห็นพ่อแม่เข้าไปในบ้านแล้ว เธอจึงไต่สวน David ทันทีและต่อว่าด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองว่าเธอยอมทิ้งการเรียนเพื่อมาแต่งงานกับเขา ความฝันที่จะเข้า Oxford ก็เช่นกัน David ไม่มีข้อแก้ตัวที่จะมาแย้งเด็กสาวได้เลย เขาเพียงได้แค่บอกว่าตัวเขากำลังจะหย่าและกำลังจะไปบอกความจริงกับพ่อแม่เธอ แต่เขาขอรวบรวมความคิดก่อน เธอจึงให้เวลาเขาอยู่กับตัวเองสักพัก Jenny เข้ามาในบ้านและมองเขาจากทางหน้าต่าง ปรากฏว่าเขาเลือกที่จะจากไปโดยที่ไม่บอกอะไรสักคำ.... ไม่ว่าสถานการณ์จะแย่แค่ไหนเธอต้องเผชิญความจริงกับพ่อแม่ของเธออยู่ดี
เมื่อเด็กสาวรู้ที่อยู่ของผู้หญิงที่อยู่ในจดหมาย และพบว่าอยู่ไม่ไกลจากบ้านตัวเองมากนัก เธอจึงไปเยี่ยมบ้านของผู้หญิิงคนนั้น เมื่อผู้หญิงคนนั้นออกมาจากบ้านพร้อมกับลูกชายของเธอและมองมาที่ Jenny ด้วยความแปลกใจพร้อมกับอุทานที่เห็นเธอยังเด็กอยู่เลย ผู้หญิิงคนนั้นยังพูดอีกว่า Jenny ไม่ใช่ผู้หญิงคนแรกที่โดน David ล่อลวง เพราะมันเคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้วและโชคดีที่เด็กสาวนั้นไม่ท้อง
ในไม่ช้า Jenny ก็กลับมาที่บ้าน เมื่อพ่อของเธอรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วและบอกจะไปจัดการ David ทันที Jenny ได้ห้ามพ่อตัวเองไว้แถมยังพูดจาหยาบคายใส่พ่อแม่ของเธอว่าพวกเขาดูมีความสุขเมื่อเห็นเธอกำลังจะมีชีวิตคู่ ในเมื่อพวกเขาอาบน้ำร้อนมาก่อนก็น่าจะรู้ดีว่าผู้ใหญ่จากที่ไหนไม่รู้จะมาล่อลวงเด็ก ทำไมพวกเขาถึงไม่ห้ามเธอ และเธอยังยกประเด็นเรื่องเรียนขึ้นมาพูดในเชิิงที่ว่าโรงเรียนมันก็สำคัญเหมือนกันนะ แล้วเด็กสาวก็ขึ้นห้องไป ผ่านไปสักพักพ่อของเธอก็ได้มาขอโทษลูกสาวสำหรับการกระทำที่ผ่านมา
Jenny กลับไปที่โรงเรียนและขอโทษครูใหญ่สำหรับเหตุการณ์ครั้งก่อนโดยเธอขอโอกาสเรียนซ้ำในปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามครูใหญ่ปฏิเสธเธออยู่ดี เธอจึงไปพบ Miss Stubbs เพื่อขอความช่วยเหลือเรื่องเรียนว่าเธอพลาดอะไรไปในปีสุดท้าย Miss Stubbs ดีใจที่เห็น Jenny ไม่อยากทิ้งสิ่งที่เธอทุ่มเทมาตลอดและมุ่งมั่นจะกลับมาทำตามเป้าหมายเดิมอีกครั้ง Miss Stubbs ได้ให้อภัยเธออีกทั้งจะพยายามช่วยเธออย่างเต็มที่
ตลอดคืนที่ผ่านมา Jenny ได้พยายามอ่านหนังสืออย่างหนักเพื่อชดเชยเวลาที่เสียไปครั้งก่อน จนในที่สุดเธอก็สามารถเข้ามหาลัย Oxford ได้ตามที่เธอตั้งใจเอาไว้
____________________________________________
"So, I went to read English books, and did my best to avoid the speccy, spotty fate that Helen had predicted for me. I probably looked as wide-eyed, fresh, and artless as any other student... but I wasn't. One of the boys I went out with, and they really were boys, once asked me to go to Paris with him. And I told him I'd love to, I was dying to see Paris... as if I'd never been"
____________________________________________
.....
เราจำความได้ว่าตอนเด็กๆ ช่อง True Film HD เอามาฉายบ่อยพอๆกับเรื่อง The Devil Wears Prada เราเปิดมากลางเรื่องพอดีแล้วก็ดูต่อจนจบ เราว่าเรื่องนี้สอนดีอยู่นะและทำให้เราตั้งคำถามกับตัวเองในตอนนั้นว่าเราเรียนหนังสือไปเพื่ออะไร อย่างบางวิชาจบมาแล้วเอาไปทำอะไรได้บ้างจริงมั้ย.. เราไม่สามารถเหมารวมว่าทุกวิชานั้นไร้ประโยชน์ อย่างการวาดรูป ว่ายน้ำ แม้แต่ภาษาอังกฤษ จำเป็นทั้งนั้นแต่จำเป็นในที่นี้คือต้องขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละคนว่าจะเอาไปใช้อย่างไร พอเราโตขึ้นเรายิ่งเห็นความสำคัญของการเรียนมากขึ้นตามไปด้วย เพราะยังไงมันเป็นข้อบังคับของสังคมอยู่แล้วตอนเวลายื่นสมัครงาน ต้องมีใบรับรองจากสถาบันว่าเราจบจากที่ไหนมา ส่วนตัวเราไม่มีปัญหาอุปสรรคเรื่องความรักในวัยเรียนเลยเพราะไม่มีจริงๆ (ความจริงที่โหดร้าย5555555) เราเลยไม่สามารถพูดในฐานะการมีแฟนในช่วงวัยเรียนได้ แต่เราจะพูดในมุมของคนโสดว่ามันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น เพราะเราสามารถเอาเวลาไปทุ่มกับการเรียนได้เต็มที่และใช้เวลากับเพื่อนได้อย่างสบายใจ
สำหรับเราคิดว่าผู้หญิงก็ต้องมีบ้างแหละที่ใฝ่ฝันอยากมีชีวิตคู่ การเริ่มต้นอาจไปได้สวย แต่ก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าความฉิบหายจะมาเยือนเมื่อไหร่
.....
"If you want something said, ask a man; if you want something done, ask a woman"
─── Magaret Thatcher
ภาพยนตร์เรื่อง An Education ดัดแปลงโดย Nick Hornby จากไดอารี่ของนักข่าว Lynn Barber ที่เขียนในช่วงสมัยเรียนของเธอในปี 1960
เรื่องตลกคือตัวนักข่าว Lynn Barber กลับรู้สึกแฮปปี้ด้วยซ้ำที่เห็นเรืื่องราวของตัวเองถูกดัดแปลงซะส่วนใหญ่ แต่สิิ่งหนึ่งที่เธอแอบเสียใจคือ Nick Hornby เปลี่ยนชื่อคนรักของเธอจาก Simon เป็น David ซึ่งเป็นชื่อสามีที่แท้จริงของเธอ
ทีมงานครีเอทีฟเป็นกังวัลเกี่ยวกับการคัดเลือกนักแสดงที่มาเล่นเป็น Jenny Mellor ซึ่งตอนนั้น Carey Mulligan อยู่ในวัย 22 ปี ต้องมารับบทเป็นเด็กสาวไฮสคูลในวัย 16 ปี แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาเพราะตัวนักแสดงรู้สึกมั่นใจเวลาออกกล้อง เราว่าการแสดงของ Carey คือเนียนจริงเหมือนเด็กวัยรุ่นอายุราวๆนั้นเลย ด้วยความที่เธอหน้าเด็กด้วย เธอสามารถส่งอารมณ์ถึงคนดูให้รับรู้ได้ว่าคาแรคเตอร์ที่สดใสและฉลาดทำให้ Jenny นั่นดูมีเสน่ห์ท่ามกลางเด็กสาวคนอื่นๆ
Carey Mulligan ได้ให้สัมภาษณ์ที่งาน Sundance Film Festival ว่าช่วงเวลาที่สนุกมากที่สุดในการถ่ายทำคือช่วงที่เธอได้เข้าฉากกับ Sally Hawkins และ Emma Thompson (Emma อยู่ที่ไหนที่นั่นจะต้องมีเสียงหัวเราะตามไปด้วย55555555 ถ้าไม่เชื่อไปดูเบื้องหลังเรื่อง Cruella ได้เลย)
ตัวละครอย่าง Helen ที่ดูเหมือนไม่ค่อยแคร์เรื่องการเรียน มีอุปนิสัยรักสวยรักงาม รักความสบาย เห็นอย่างนั้นตัดมาที่นักแสดงตัวจริงคุณ Rosamund Pike จบ Oxford University สาขา English Language and Literature (เอกภาษาและวรรณกรรมอังกฤษ) ซึ่งเหมือนกับตัวละคร Jenny Mellor ทีี่ตั้งเป้าไว้
คุณ Pike กับ Carey เคยร่วมงานกันมาก่อนในเรื่อง Pride & Prejudice (2005) โดยคุณ Pike รับบทเป็น Jane Bennet ส่วน Carey รับบทเป็น Kitty Bennet ซึ่งในเรื่องสองคนนี้เล่นเป็นพี่น้องกัน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in