เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
กฎหมายน่ารู้Fayathi Sorap
ทายาทโดยธรรม
  •      สวัสดีค่ะ

         ช่วงนี้ถ้าใครตามข่าวคุณแตงโม (ซึ่งก็ไม่รู้จะตีข่าวอะไรกันมากมาย สงสารคนตายบ้างเถอะ) คงจะผ่านๆหูกับคำว่า "ทายาท" หรือ "ทายาทโดยธรรม" กันบ้าง ไม่มากก็น้อย 

         วันนี้ เลยจะมากล่าวถึงหลักกฎหมายว่าด้วยเรื่อง ทายาทโดยธรรม ให้อ่านกัน 



         คนเราเนี่ย ตอนมีชีวิตอยู่ ก็สามารถสร้างโน่นนี่ได้มากมายนะคะ และสองสิ่งที่หลายคนสร้างไว้ครั้งมีชีวิต นั่นคือ
         ทรัพย์สิน - ก็คือสิ่งต่างๆที่หามาได้ตอนมีชีวิต ทั้งสังหาริมทรัพย์(ทรัพย์ที่เคลื่อนที่ได้) เช่น รถ เงิน สมุด ดินสอ โทรศัพท์มือถือ หมา แมว(สิ่งมีชีวิตจำพวกสัตว์และพืชก็ถือเป็น ทรัพย์ เช่นกัน) ฯลฯ และอสังหาริมทรัพย์(ทรัพย์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้) เช่น บ้าน ที่ดิน ต้นไทรต้นมหึมาหลังบ้าน ฯลฯ 
         หนี้สิน - ก็คือหนี้ ก็เช่นคุณไปยืมเงินเขามาแล้วไม่คืน ก็เช่นคุณรูดบัตรเครดิตแล้วไม่ชำระ ก็เช่นคุณซื้อบ้านแล้วไม่จ่ายตังค์ ฯลฯ จนอีกฝ่ายหนึ่งเขาต้องมาเรียกร้องให้คุณจ่ายตังค์ให้เขา (จริงๆหนี้ให้กระทำการอย่างอื่นนอกจากจ่ายเงินก็มีนะ แต่ถ้ากล่าวถึงเดี๋ยวจะยาว)

         ทีนี้ ทั้งทรัพย์สินและหนี้สิน มันไม่ใช่กรรม มันไม่สามารถตามติดเราไปทุกภพทุกชาติได้ พอเราตายปุ๊บ ทั้งทรัพย์และหนี้(บางอย่าง)มันก็ยังค้างอยู่บนโลกนี้ รอส่งให้คนอื่นต่อไป ซึ่งทรัพย์และหนี้นี้ เราเรียกรวมกันว่า "มรดก" 
         กล่าวถึงตรงนี้อาจมีหลายคนสงสัย ใช่ค่ะ หนี้สินก็เป็นสิ่งที่ตกถึงทายาทด้วยเช่นกัน เมื่อกล่าวถึงมรดก หลายคนอาจคิดว่า มีแต่ได้ ได้บ้าน ได้เงิน ได้รถ ฯลฯ ความจริงคือ นอกจาก "ได้" แล้ว กรณีคนตายเคยเป็นหนี้เขาไว้(ตามตัวอย่างข้างต้น) เจ้าหนี้ก็มาฟ้องลูกหลานคนตายให้จ่ายเงินแทนคนตายได้เช่นกัน ภายใต้ข้อแม้ที่ว่า ต้องชำระหนี้แทนคนตายเพียงไม่เกินทรัพย์มรดกที่ได้รับ
         สมมติคนตายมีบ้าน 1 หลัง มีเงินสองแสน และเป็นหนี้ธนาคารอยู่สองล้าน พอตายไป ธนาคารก็มาฟ้องให้ผู้มีสิทธิรับมรดกให้จ่ายหนี้ แต่เรียกร้องได้แค่เงินสองแสน และบ้านคนตาย(เอาขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้) เท่านั้น จะมายึดบ้านหรือทรัพย์สินอื่นๆของผู้มีสิทธิรับมรดกไม่ได้
         อย่าเพิ่งตีโพยตีพายว่าชีวิตจะต้องเป็นแบบนางเอกละครน้ำเน่า(ซึ่งไม่เคยสร้างได้ตรงตามกฎหมายและความจริงสักที) ที่ต้องทำทุกอย่างเพื่อใช้หนี้ให้เจ้าคุณพ่อเป็นล้านๆ ชีวิตจริงคือเราสามารถพูดใส่หน้าเจ้าหนี้เลยว่า ได้ทรัพย์มรดกมาแค่นี้แหละ จะเอาหรือไม่เอา? หรือกรณีคนตายไม่ได้ทิ้งทรัพย์สินอะไรไว้ให้เลย ก็สามารถบอกเจ้าหนี้ไปเลยว่า "ไม่จ่าย(โว้ย) คนตายไม่ทิ้งอะไรให้สักอย่าง"

         และคนที่จะมารับช่วงต่อในทรัพย์และหนี้ของคนแต่ละคนนั้น กฎหมายได้กำหนดไว้แล้วว่า คนที่จะรับไปนั้น

         เรียกว่า "ทายาท"

         แล้ว "ทายาท" คือใครบ้าง? 



         ทายาทมีสองประเภทค่ะ หนึ่งคือทายาทโดยพินัยกรรม คือใครก็ได้ที่คนตายเขียนพินัยกรรมไว้ให้ได้รับทรัพย์หรือหนี้ของคนตาย อย่างที่บอก ทายาทประเภทนี้จะเป็นใครก็ได้ ไม่จำเป็นต้องข้องเกี่ยวใดๆกับผู้ตายก็ได้ เพราะงั้น เราจะไม่พูดถึงทายาทประเภทนี้

         และประเภทที่สองก็คือ ทายาทโดยธรรม 

         "ทายาทโดยธรรม" ต้องเป็นคนในครอบครัว คนที่เกี่ยวพันกันทางสายเลือดหรือการแต่งงาน(ที่ถูกต้องตามกฎหมาย) เท่านั้น 



         ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 ทายาทโดยธรรม ตามกฎหมาย มี 6 + 1 ประเภท ด้วยกัน เรียงตามลำดับได้ ดังนี้

         1. ผู้สืบสันดาน ก็คือ ลูก (ลูกแท้ๆหรือบุตรบุญธรรมที่รับโดยชอบด้วยกฎหมาย)
         2. บิดามารดา 
         3. พี่น้องร่วมบิดามารดา แปลง่ายๆว่า พี่น้องพ่อแม่เดียวกัน
         4. พี่น้องร่วมบิดาหรือมารดา แปลว่า พี่น้องที่พ่อเดียวกันหรือแม่เดียวกัน
         5. ปู่ ย่า ตา ยาย (เฉพาะที่เป็นพ่อและแม่แท้ๆของพ่อ และ พ่อและแม่แท้ๆของแม่ ส่วนญาติโกโหติกาที่เรียกเอาเองว่าปู่ย่าตายาย ไม่นับเป็นทายาท)
         6. ลุง ป้า น้า อา (เช่นเดียวกับข้อข้างบน เฉพาะที่เป็นพี่หรือน้องแท้ๆของพ่อกับแม่ ญาติอื่นๆไม่นับ) 
         และ + 1 ก็คือ คู่สมรสที่จดทะเบียนสมรสกันโดยถูกต้องตามกฎหมาย

         และหลักในการรับมรดกก็คือ 
         ก. ทายาทลำดับเดียวกัน มีสิทธิได้มรดกเท่าๆกัน เช่น สมมติคนตายมีเงินสองล้าน มีลูกสองคน ลูกแต่ละคนจะได้คนละล้าน ลูกคนใดคนหนึ่งจะมาบอกว่า ฉันเอาหนึ่งล้านเก้าแสน เธอเอาแสนเดียว ไม่ได้

         ข. ทายาทลำดับก่อนจะตัดสิทธิทายาทลำดับหลัง เช่น คนตายมีลูก(ลำดับ 1) และมีพี่สาวพ่อแม่เดียวกันหนึ่งคน(ลำดับ 3) ทรัพย์และหนี้ทุกอย่างของคนตาย ตกกับลูกหมด พี่สาวคนตายไม่มีสิทธิได้อะไรเลย 
         แต่ทุกกฎย่อมมีข้อยกเว้น และข้อยกเว้นกรณีทายาทโดยธรรมก็คือ

         ข้อยกเว้น
         ค. ทายาทลำดับ 1 และ 2 ไม่ตัดสิทธิซึ่งกันและกัน แปลว่า ถ้าคนตายมีทั้งพ่อแม่และลูก ทั้งพ่อแม่และลูก ต่างเป็นทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกทั้งสิ้น และได้เท่าๆกันด้วย เช่น คนตายมีลูก 1 คน มีแม่ 1 คน มีเงินที่เหลือไว้ 2 ล้าน กรณีนี้ คุณหลาน(ลูกคนตาย)กับคุณยาย(แม่คนตาย)ก็ได้มรดกคนละล้าน
         เราว่าปรัชญากฎหมายข้อนี้คือ (คนร่าง)กฎหมายเห็นว่าพ่อแม่นั้นเป็นผู้มีพระคุณของลูก จึงสมควรได้รับทรัพย์สินของลูกเมื่อลูกตายก่อนตัวเอง 

         ง. คู่สมรสมีสิทธิรับมรดกทุกกรณี แปลว่า ถ้าคนตายได้จดทะเบียนสมรสกับใครแล้ว คนๆนั้นถือเป็นทายาททันที แม้ว่าญาติโกโหติกาของคนตายจะมีเยอะแยะมากมาย และบางคนก็ไม่ได้มรดก แต่มรดกส่วนหนึ่ง จะตกแก่สามี/ภริยา คนตายเสมอ 
         คงไม่แปลกใจใช่ไหม ถ้านักเรียนกฎหมายจะคิดมากก่อนเลือกคู่ จดทะเบียนสมรสไปนี่ เขามีสิทธิในทรัพย์เราครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว แถมมันยังมีสิทธิในทรัพย์ตรูถ้าตรูตายก่อนมันอีกตะหาก 

         จ. ถ้าคนตายเขียนพินัยกรรมยกทรัพย์ให้ใครคนใดคนหนึ่ง(อาจเป็นทายาทโดยธรรมหรือไม่ก็ได้)ให้ได้รับทรัพย์ทั้งหมดที่ตัวเองมี ทายาทโดยธรรมจะไม่ได้อะไรเลย เพราะถือว่ายกทรัพย์ให้คนอื่นไปหมดแล้ว
         จากเรื่องจริงที่เจอก็มีบางเคสที่คนตายสนิทกับญาติอื่นมากกว่าทายาทโดยธรรม เลยยกทรัพย์ส่วนใหญ่ให้ญาติอื่นไป จนต้องมาฟ้องร้องเป็นความกันก็มี

         ฉ. บิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่ถือเป็นทายาทโดยธรรมของบุตร 
         จะเรียกข้อยกเว้นได้เต็มปากหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ ที่แน่ๆคือ นักเรียนกฎหมายได้รับการสั่งสอนกันมาแต่อ้อนแต่ออกว่า จะมีสิทธิรับมรดกต้องเป็นบิดามารดาที่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น
         ทีนี้ มารดาน่ะ ชอบด้วยกฎหมายแน่ ตราบใดที่สืบได้/มีหลักฐานว่าเป็นคนตั้งท้องและคลอดคนๆนึงออกมา (อย่างน้อยก็จนกว่ากฎหมายอุ้มบุญจะออก ถึงตอนนั้นคงต้องสืบกันวุ่นอยู่ไม่น้อย) ส่วนพ่อน่ะ ไม่ชัวร์ไง หลักฐานไม่ชัดว่าเด็กคนนึงตกลงแล้วเป็นลูกใครกันแน่ เพื่อกันความปวดหัว(ซึ่งก็ใช่ว่ามีแล้วจะหายปวดหัวได้ถาวร) กฎหมายเลยบอกว่า จะเป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายของคนๆหนึ่งได้ ต้องทำอย่างใดอย่างหนึ่งในต่อไปนี้
         - จดทะเบียนสมรสกับแม่ของคนๆนั้น 
         - ได้จดทะเบียนรับรองคนๆนั้นเป็นบุตร 
         - ศาลพิพากษาว่าเป็นพ่อของคนๆนั้น 
         ผู้ชายทั้งหลายโปรดทราบ ถ้าไปอยู่กินกับใครจนมีลูกด้วยกัน หากคุณไม่ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งในสามอย่างข้างต้น แล้วลูกคุณดั๊น ตายก่อนคุณ ต่อให้ลูกคุณทิ้งเงินไว้เป็นร้อยล้านพันล้าน ในทางกฎหมายเนี่ย คุณก็ไม่มีสิทธิได้เลยสักแดงนะฮะ 
         
         อ่านมาถึงตรงนี้ คุณผู้อ่านคิดออกหรือยังคะ ว่าใครบ้างมีสิทธิได้รับมรดกของคุณผู้อ่านเมื่อคุณผู้อ่านจากโลกนี้ไป 


         และในกรณีที่คนตายไม่ได้แต่งงาน ไม่มีลูก เหลือแต่แม่กับพี่ชาย(ต่างบิดา) แม่ก็จะเป็นทายาทโดยธรรมเพียงคนเดียว ที่มีสิทธิในทรัพย์สินและหนี้สินทุกอย่างของคนตาย (แม่เป็นทายาทลำดับที่ 2 พี่ชายเป็นทายาทลำดับที่ 4 แม่ก็ตัดสิทธิพี่ชายไปเรียบร้อย)



         นอกจากข่าวคนดังตกน้ำตาย ตอนนี้ก็มีการแชร์ข่าวกฎหมายของประเทศเกาหลีใต้ ที่ว่า ต่อให้เป็นพ่อแม่ ถ้าไม่เคยเลี้ยง ไม่เคยดูแลเลย ก็ไม่มีสิทธิรับมรดกของลูก

         เป็นข่าวที่เปิดหูเปิดตามาก ไม่เคยรู้เลยว่ามีกฎหมายแบบนี้อยู่ในโลกด้วย 
         ...ซึ่งที่ไทยไม่มีกฎหมายตัวนี้...

         แต่ถ้าถามว่า เห็นด้วยไหม จริงๆก็แอบเห็นด้วย 

         เคยได้ยินคนบางคนลั่นวาจาไว้ว่า "ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่ไม่รักลูก" ซึ่ง...จากข่าวคราว และความเป็นไปของโลกที่ได้รับนั้น ก็ทำให้ประจักษ์แล้วว่า สิ่งที่คนๆนั้นพูด 
         ....บางครั้งก็ไม่จริง 
         ....และมันก็เป็นสิ่งที่เราๆท่านๆ ผู้โชคดีมากพอที่เกิดมาในครอบครัวซึ่งมีพ่อแม่คอยประคบประหงม/ทะนุถนอม..ไม่เข้าใจ

         เพราะสำหรับบางคน ผู้ให้กำเนิดนั้นเป็นแค่เพียงผู้ให้กำเนิด แต่ไร้จิตวิญญาณแห่งความเป็นพ่อเป็นแม่ 
         ....หากผู้ให้กำเนิดประเภทนี้ จะถูกตัดสิทธิการได้รับประโยชน์จากลูกของตัวเอง 
         คงไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ แต่อย่างใด 
        


         นี่คือหลักการคร่าวๆเกี่ยวกับความเป็นทายาท จากทั้งกฎหมายไทย และเพิ่มกฎหมายเกาหลีใต้มาให้ได้เป็นความรู้รอบตัวกัน เผื่อจะเป็นประโยชน์ได้บ้างไม่มากก็น้อย  
         ถ้าใครอยากได้ข้อมูลโดยละเอียด แนะนำให้เข้าไปอ่านตามเพจอาจารย์สอนกฎหมาย เช่น อาจารย์คณะพล จันทร์หอม(อาจารย์คณะเค้าเอง) หรือจะหาหนังสือกฎหมายว่าด้วยเรื่อง มรดก มาอ่านเพิ่มพูนความรู้ ก็ได้ค่ะ  

         ส่วนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับข่าวคนดังจะเป็นอย่างไรนั้น 

         คงต้องติดตามกันต่อไป...


         ..ขอให้คุณแตงโมไปสู่สุขคติ..


         ก่อนจบ ขออนุญาตประชาสัมพันธ์ เนื่องจากตั้งแต่ประมาณ 2 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นมา ทาง minimore เปลี่ยนรูปแบบเว็บใหม่ ผลที่เกิดขึ้นคือ งานเขียนเรา...ไม่มีคนอ่านเลย (คาดว่าหาเจอยาก)ตั้งแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นไป เราจึงตัดสินใจกลับไปเขียนเรื่องราวในบล็อกเดิมของเราแทน คุณผู้อ่านที่ถูกจริตในงานเขียนของเรา สามารถติดตามไปอ่านได้ที่
         https://alwaysfay.blogspot.com/2023/02/blog-post.html
         ขอบพระคุณสำหรับการติดตาม และขอบคุณทาง minimore ที่ให้พื้นที่เราได้ขีดๆเขียนๆเรื่องราวตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้
         จนกว่าจะพบกันใหม่
         สวัสดีค่ะ
     
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
lisalinda (@lisalinda)
https://www.gevezeyeri.com/istanbul-sohbet.html

https://www.gevezeyeri.com/ankara-sohbet.html

https://www.gevezeyeri.com/izmir-sohbet.html

https://www.gevezeyeri.com/bursa-sohbet.html

https://www.gevezeyeri.com/diyarbakir-sohbet.html

https://www.gevezeyeri.com/ucretsiz-sohbet.html

https://www.gevezeyeri.com/chat.html

https://www.gevezeyeri.com/sohbet.html

https://www.gevezeyeri.com/mobil-sohbet.html

https://www.gevezeyeri.com/sohbetodalari.html

https://www.gevezeyeri.com/seviyeli-sohbet.html

https://www.gevezeyeri.com/bedava-sohbet.html

https://www.gevezeyeri.com/uyeliksiz-sohbet.html

https://www.gevezeyeri.com/mobil-chat.html

https://www.gevezeyeri.com/sohbetchat.html
Fayathi Sorap (@fb3171626636213)
@lisalinda ????