ไม่รู้ว่ามีใครอยากอ่านหรือเปล่า เราไม่ได้หวังเรตติ้ง เพียงแค่อยากลองเขียนไดอารี่ดูบ้าง ต้องบอกก่อนว่าปัจจุบันเราก็ยังรักษาโรคซึมเศร้าอยู่ ยังไม่ได้หายดี อาการของแต่ละคนก็อาจจะไม่เหมือนกัน จุดประสงค์ของเราคืออยากให้ทุกคนเข้าใจกับโรคซึมเศร้าไปพร้อมกับเรา ตอนนี้เราก็ยังไม่เข้าใจร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก คิดซะว่าใช้ตัวเราเป็นกรณีศึกษาก็ได้ และอยากบอกว่าการที่เราไม่สบายเราก็ควรไปหาหมอนะ ตัวเราตั้งแต่เด็กเราจะได้ยินคำพูดพวกนี้เสมอ "อะไรกันเป็นเด็กอยู่แท้ๆ ป่วยได้ไง" "วัยรุ่นต้องแข็งแรง เดี๋ยวก็หาย" "ไปซื้อยาร้านขายยา กินแล้วนอนพักเดี๋ยวก็หาย" จนเราเองก็ไม่กล้าไปหาหมอตอนเด็กๆ สิ่งที่ผู้ใหญ่บอกกับเราแบบนี้เป็นเพราะการไปโรงพยาบาลเป็นเรื่องที่เสียเวลา เสียงาน และเสียอารมณ์ โดยเฉพาะกับชนชั้นกลางและล่าง ต้องยอมรับว่าโรงพยาบาลของรัฐในแต่ละวันมีคนไข้จำนวนมาก การจะไปหาหมอโรงพยาบาลรัฐคุณต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งวัน โดยต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปรับคิวการรักษาโดยที่คุณไปตั้งแต่หกโมงเช้า คุณอาจจะได้พบหมอช่วงบ่ายก็ได้ ปัจจัยขึ้นกับคนไข้อื่นๆ เคสหนัก เคสผู้สูงอายุที่อาจแซงคิวเราไปก่อน ก็ต้องทำใจไป แต่การไปโรงพยาบาลเอกชนก็ไม่ได้เร็วกว่าซักเท่าไหร่นัก แค่ดูไม่แออัดเท่าโรงพยาบาลของรัฐ การไปโรงพยาบาลเอกชนโดยปกติจะใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง มันจะวุ่นวายตรงที่พยาบาลจะมาดูแลเยอะมาก(ซึ่งมีค่าพยาบาลนะครับ) และต้องมานั่งรอหมอ โดยที่พยาบาลจะโทรไปตามหมอลงมาตรวจก็ใช้เวลาประมาณ 15 นาที ตรวจอีกประมาณ 15 นาที ถ้ามีส่งตรวจก็ไปตรวจ กลับมาพบหมอ รับใบยา จ่ายเงิน รวมๆนะ โรงพยาบาลเอกชนสะดวกกว่าที่ไม่ต้องมาจองคิวแค่นั้นแหละ เหมือนเอาเงินมาซื้อเวลาส่วนนั้น การตรวจก็ใช้เวลาเท่ากับโรงพยาบาลรัฐปกติ
เอาล่ะเดี๋ยวจะยาวเกินไป เข้าเรื่อง!! เราเป็นคนขี้หงุดหงิดมาก จะจิ๊จ๊ะก่อนเลย และมีคำถามเสมอว่าทำไม? เราทำงานอยู่ฝ่าย IT เวลามีโทรศัพท์เข้ามาเราจะไม่อยากรับสาย เพราะรู้ว่ามีปัญหาแน่ๆ แต่เราก็รับแล้วแก้ปัญหาให้เขานะ แต่ก็คิดในใจทำไมไม่หาข้อมูลแล้วแก้ไขเองบ้างวะ ข้างนอกเราดูยินดีให้บริการนะ แต่ลึกๆแล้วเราไม่อยากยุ่งเลย เราเป็นคนคิดถึงคนอื่นมากคิดว่าจะทำยังไงให้คนนี้พอใจและอยู่ด้วยกันได้ แต่ถ้าต้องทำให้เยอะไปเราก็พร้อมที่จะตัดและไม่พูดด้วย เราไม่แฮปปี้กับการทำงาน มีหัวหน้าเจ้าอารมณ์ วันๆจะต้องมีเสียงดังด่าใส่กัน จนเสียงานเสียการเพราะเอาเวลาแต่มานั่งด่านั่งว่ากัน จะเอาอะไรต้องได้ แต่เขาก็ไม่ค่อยอะไรกับเราเนื่องจากเราเข้ามาทีหลัง แต่เราก็ไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้มันทำให้หงุดหงิดใจ
กับครอบครัวเราไม่คุยกับแม่และไม่ค่อยคุยกับน้องสาว แม่ชอบทะเลาะกับเราโดยใช้คำหยาบกับทบกระทั่งสิ่งของ เช่น เรากิินข้าวแต่ยังไม่ล้างจานวางไว้ก่อนเพราะกินอย่างอื่นอยู่ ถ้าแม่มาเห็นแล้วไม่ถูกใจ ก็จะบ่นด้วยคำหยาบและโครมครามที่อ่างล้างจาน จนวันนึงเราบอกตัดขาดแม่ลูกเลย เพราะเราไม่อยากเครียดกับเรื่องนี้ เพราะจากที่ทำงานเราก็เหนื่อยมามากพอแล้ว จนถึงวันนี้ผ่านมาเป็นปีเราก็ยังไม่ได้คุยด้วยอีกเลย เราไม่กินข้าวกับครอบครัว เพราะไม่อยากให้แม่คิดว่าเรามาเกาะพ่อกิน ในบ้านเราคุยแต่กับพ่อเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้คุยอะไรเยอะมาก โดยเมื่อเลิกงานเราก็แวะซื้อกับข้าว เทใส่จาน หากไม่มีใครในครัวก็จะรีบนั่งกินแล้วขึ้นห้องตัวเอง หากครอบครัวนั่งกินข้าวกันอยู่เราก็จะถือขึ้นมากินที่ห้องตัวเอง..
เหนื่อยแล้ว,,, ครั้งหน้าเราจะมาบอกเหตุผลที่เราต้องตัดสินใจไปหาหมอ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in