* ผมไม่รู้เลยว่าลืมเรื่องนี้ไปได้ยังไง แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องน่ากลัวที่สุดเรื่องหนึ่งที่เคยเกิดขึ้นกับผมเลย ผมว่ามันคงเป็นเพราะผมพยายามมานานที่จะลืมเรื่องนี้ไปให้ได้ เพราะมันจะได้ไม่อยู่ๆ โผล่ขึ้นมาในหัว สำหรับคนที่ต้องใช้เวลาทำงานทุกนาทีอยู่ในป่า คุณจะปล่อยให้ตัวเองกลัวการอยู่คนเดียวหรืออยู่ท่ามกลางที่เวิ่้งว้างไม่ได้ เพราะงั้นเมื่อคุณมีความทรงจำแบบที่ผมมี คุณจะมีแนวโน้มทำให้ตัวเองลืมมันไปให้ได้เร็วๆ จะดีกว่า
เรื่องนี้ จนถึงตอนนี้ ก็เป็นเรื่องเดียวที่ทำให้ผมต้องกลับมานึกย้อนกับตัวเองอย่างจริงจังเลยว่าอาชีพนี้มันเหมาะกับตัวผมเองหรือเปล่า ผมไม่ค่อยอยากจะพูดถึงมันเท่าไร แต่ผมจะลองดู จะเล่าให้ได้มากที่สุดเท่าที่ผมจะจำได้ก็แล้วกันนะครับ
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดฤดูใบไม้ผลิพอดี มีสายแจ้งเด็กหายเหมือนทั่วๆ ไปเข้ามา เด็กผู้หญิงอายุสี่ขวบเดินพลัดหลงไปจากจุดตั้งแคมป์ของที่บ้าน และเราได้รับแจ้งเพิ่มเติมว่าเธอหายตัวไปได้ราวๆ สองชั่วโมงแล้ว พ่อแม่ของเด็กดูหมดกำลังใจมาก และบอกเราด้วยประโยคที่พวกพ่อแม่ชอบพูดคือ "ปกติลูกฉันไม่ได้เป็นคนเถลไถล" "เธอรู้ดีว่าจะไม่ไปไหนไกล" และ "เธอไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน" เราให้ความเชื่อมั่นกับพ่อแม่ว่าเราจะทำสุดความสามารถเพื่อตามหาลูกสาวของพวกเขาให้พบ แล้วพวกเราเจ้าหน้าที่ค้นหาก็เริ่มกระจายตัวกันออกค้นหาตามวิธีของพวกเรา
ผมจับคู่กับเพื่อนซี้ของผมคนหนึ่ง เราปีนขึ้นเขาไปพร้อมกับพูดคุยกันอย่างสบายๆ มันอาจจะดูเหมือนว่าพวกเราเป็นคนไม่มีหัวใจ แต่ว่าพอทำงานนี้มาได้นานพอ คุณก็จะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นคนที่เซ็นซิทีฟน้อยลงเอง มันกลายเป็นเหมือนเรื่องปกติของพวกเราไปแล้วล่ะ และผมคิดว่าเมื่อถึงจุดหนึ่งคุณต้องเรียนรู้ที่จะทำให้ตัวเองรู้สึกน้อยลงเพื่อจะได้ทำงานพวกนี้ได้ง่ายขึ้น
เราค้นหาอย่างขมักเขม้นกันอยู่ถึงสองชั่วโมง เดินไปไกลกว่าที่พวกเราคิดว่าเด็กจะเดินถึง และเมื่อเราออกมาจากหุบเขาเล็กๆ ก็มีบางอย่างเกิดขึ้นที่ทำให้เราทั้งสองคนหยุดนิ่งพร้อมกัน เราตัวแข็งทื่อ มองหน้ากันไปมา มีความรู้สึกที่เกือบจะเหมือนเวลาอยู่ในเครื่องบินที่ความกดอากาศลดต่ำฮวบ เราได้ยินเสียงหูลั่นเปรี๊ยะ และผมรู้สึกแปลกประหลาดเหมือนตัวเองร่วงหล่นลงไปซักสิบฟุตได้ ผมอ้าปากที่จะถามเพื่อนผมว่าเขาก็รู้สึกบางอย่างใช่ไหม แต่ไม่ทันที่จะได้พูด ผมก็ได้ยินเสียงที่ดังที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ยินในชีวิต เสียงเหมือนรถไฟบรรรทุกสินค้ากำลังแล่นผ่านพวกเราไปในทุกทิศทุกทางพร้อมกัน รวมถึงทั้งข้างบนหัวเราและใต้เท้าเราด้วย เพื่อนผมตะโกนบางอย่างใส่ผม แต่เสียงเขาก็หายไปท่ามกลางเสียงคำรามที่ทำให้หูหนวกนี้ ผมกับเพื่อนมองไปรอบตัวเพื่อหาที่มาของเสียงอย่างคนสติแตก แต่ไม่ก็พบอะไรเลย
ความคิดแรกของผม มันคือเสียงดินถล่ม แต่ว่าเราไม่ได้อยู่ใกล้หน้าผาอะไรเลยนะ อีกอย่างถ้ามีดินถล่มจริงมันคงกระแทกพวกเราไปแล้ว เสียงนั้นยังคำรามอยู่ต่อเนื่อง เราพยายามที่จะตะโกนคุยกัน แต่ถึงอยู่ในระยะที่ใกล้กันมากเราไม่ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรอื่นเลย และแล้วทุกอย่างก็เงียบลง รวดเร็วเหมือนตอนที่มันเริ่มขึ้น ราวกับว่ามีใครโยนสวิตช์ทิ้งไป เรายืนนิ่งอยู่ตรงนั้นหนึ่งวินาทีแล้วเสียงปกติของป่าก็ค่อยๆ กลับมา เพื่อนผมถามว่า นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นเนี่ย แต่ผมได้แค่ยักไหล่ เรายืนอยู่ตรงนั้นมองหน้ากันไปมาอีกหนึ่งนาที ผมคว้าวิทยุสื่อสารขึ้นมาและถามว่ามีใครได้ยินเสียงดังอย่างกับโลกกำลังแตกนั้นไหม แต่ก็ไม่มีใครได้ยิน พวกเราก็ทำได้แค่สลัดความมึนงงนั้นทิ้งไปและออกเดินค้นหาต่อ
อีกประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมา เราเช็กวิทยุสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ทุกคน แต่ก็ไม่มีใครพบตัวเด็กผู้หญิง โดยส่วนมากแล้วเราจะไม่ออกค้นหาในเวลากลางคืน แต่เนื่องจากเราไม่พบร่องรอยใดใดที่พอจะนำไปสู่ตัวเด็กได้เลย พวกเราบางคน รวมทั้งผมและเพื่อน ก็ตัดสินใจอยู่ค้นหาต่อ เรารวมกลุ่มอยู่ใกล้ๆ กัน และคอยร้องเรียกชื่อเธอทุกๆ ไม่สองสามนาที ถึงจุดนี้ ผมหวังยิ่งกว่าหวังว่าขอให้พบตัวเด็กน้อยเถอะ เพราะถึงแม้ว่าผมจะไม่ค่อยชอบเด็ก แต่ความคิดที่ว่าตอนนี้เธอกำลังอยู่ตัวคนเดียวในป่าใหญ่นั้นมันช่างน่ากลัวเหลือเกิน แม้ในตอนกลางวันป่าก็ดูน่าสะพรึงกลัวสำหรับพวกเด็กๆ แต่ในเวลากลางคืน มันจะกลายเป็นเหมือนปีศาจร้ายไปเลยล่ะ
เราไม่เห็นสัญญานของเธอและไม่ได้รับการตอบรับใดใด ดังนั้นเมื่อถึงเวลาใกล้เที่ยงคืน พวกเราจึงตัดสินใจหันหลังกลับไปยังจุดนับพบ เราเดินมาได้ครึ่งทางแล้วในตอนที่เพื่อนของผมหยุดยืนแล้วฉายไฟฉายไปยังด้านขวาของพวกเรา ลึกเข้าไปมีขวากท่อนไม้ที่เป็นกับดักที่ตกลงมากองบนพื้นหรือดงต้นไม้ที่ยืนต้นตาย
ผมถามเขาว่านายได้ยินเสียงตอบกลับเหรอ แต่เขาก็บอกแค่ว่าให้ผมเงียบแล้วฟัง ผมก็ทำตาม แล้วผมก็ได้ยินเสียงบางอย่างจากระยะไกล เป็นเสียงเด็กกำลังร้องไห้ พวกเราตะโกนเรียกชื่อเด็กผู้หญิงคนนั้นและตั้งใจรอฟังเธอตอบกลับมา แต่ที่เราได้ยินก็เป็นเพียงเสียงร้องไห้อันแผ่วเบา เราเดินเข้าไปยังจุดนั้นแล้วลองเดินรอบๆ เรียกชื่อเธอซ้ำไปซ้ำมา ยิ่งเราเข้าใกล้เสียงร้องไห้มากเท่าไร ผมเริ่มรู้สึกประหลาดเกิดขึ้นในใจ ผมหันไปบอกเพื่อนว่า มันต้องมีอะไรไม่ปกต่แน่ แต่ผมก็ยังคิดไม่ออกว่ามันคืออะไร เราจึงหยุดอยู่กับที่ แล้วร้องเรียกชื่อเด็กผู้หญิงอีกครั้ง นั่นเป็นเวลาพร้อมๆ กันที่เราสองคนนึกออกแล้วว่าสิ่งผิดปกตินั้นคืออะไร เสียงร้องไห้นั้นวนเป็นลูป มันเป็นเสียงสะอื้นเล็กๆ เหมือนกัน ตามด้วยเสียงครวญคราง เสียงสะอึกเงียบๆ วนซ้ำไปซ้ำมา มันเป็นเสียงเดียวกันทุกรอบ และโดยไม่พูดอะไรกันอีกผมและเพื่อนก็พากันวิ่งหนีไปจากตรงนั้น
นั่นเป็นครั้งเดียวที่ผมเสียอาการขนาดนั้น แต่มันมีอะไรผิดปกติมากจริงๆ จนทำให้เราทั้งคู่ไม่อยากจะอยู่ตรงนั้นต่อแม้อีกวินาทีเดียว เมื่อเรากลับมาถึงยังจุดนัดพบ เราถามคนอื่นๆ ว่าได้ยินเสียงอะไรประหลาดๆ บ้างไหม แต่พวกเขาดูไม่เข้าใจว่าเรากำลังพูดเรื่องอะไร เรื่องมันฟังดูเหมือนจะไม่มีจุดไคลแมกซ์ แต่ว่างานนั้นทำเอาผมพังไปเลยอยู่นานทีเดียว
สำหรับเด็กน้อยคนนนั้น เราไม่พบร่องรอยของเธอเลย เรายังคงเฝ้าค้นหาเธอและคนอื่นๆ ที่ยังคงสูญหาย แต่ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าเราจะพบเจออะไรหรอก
-----------------------------------------
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in