เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
At the cornerมนุษย์ที่สังเคราะห์แสงได้
คุณลุงหน้าปากซอย
  •                                                                                                                           *เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้น ไม่เกี่ยวข้องกับกับบุคคลหรือองค์กรใด

    “เหลือดีกว่าขาด” เวลาจัดงานเลี้ยงไหน ๆ ก็ใช้วลีนี้ทั้งนั้น ใครจะไปสนว่า Food waste เป็นขยะอันดับ 1 ของเมืองใหญ่และทำให้เกิดโลกร้อน ใครมันจะไปแคร์เรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อม ในขณะที่เราชินเรื่องกลิ่นขยะและจำใจกับมลพิษ

    แล้วเขาสนอะไร เขากลัวหัวหน้าด่าว่าทำหน้าที่บกพร่องที่ไม่จัดเตรียมเลี้ยงอาหารให้พอสำหรับแขกที่มางาน ถ้าแขกที่มาอยากกินอีก แล้วผู้จัดมีให้ไม่พอจะทำยังไง แขกต้องได้กินอิ่ม อีกอย่าง อาหารที่ไม่เพียงพอทำให้การทำงานดูไม่เป็นมืออาชีพและทำให้ผู้จัดเสียหน้า นี่เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด

    นอกจากปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เขาลืมคิดกัน เขาคงลืมว่าการจัดงานเลี้ยงหรู ๆ ก็มาจากเงินกองกลางของคนทั่วเมือง คนที่มีปัญหาฝืดเคืองทางการเงินหลายคนต้องยอมสละเงินที่เขาควรได้กินดีอยู่ดีมาเป็นเงินส่วนกลสง เขาต้องเสียสละเพื่อให้ท่านได้กินดี มีหน้ามีตาในสังคม ส่วนตัวเองแทบจะกัดก้อนเกลือกิน

    ทุกครั้งหลังงานเลี้ยงจบ ไลน์อาหารบุฟเฟ่ต์เหลือเป็นเบือ พวกลูกกระจ๊อกที่พอมีบุญและเห็นคุณค่าของอาหารก็ได้เอามันกลับไป 

    ในวันหนึ่งพนักงานออฟฟิศพนุ่มหอบถุงกับข้าวกลับบ้านเซตใหญ่ 3 เซต เซตละ 3 ถุง ไม่รวม snack box อีกมากมาย เขาเอา snack box ไปแจกคนไร้บ้านที่ชอบนอนอยู่บนสะพานลอย และหน้าห้างสรรพสินค้าเก่า ๆ ประจำเมือง ส่วนกับข้าวถุง ๆ เอาไปแจกพี่ ๆ รปภ. ที่ทำหน้าที่ดูแลตึกแถวนั้น เขารู้ดีว่ามันเป็นยังไง เขารู้ดีว่าคนเหล่านี้กินอะไรเป็นอาหารระหว่างวัน

    เหลือเซตสุดท้าย กับเวลาอีก 45 นาทีจะถึงเที่ยงคืน เวลาที่ควรนอน

    เขาเอาอาหารหลายถุงใหญ่ไปแจกลุงรปภ. วัยเลยหกสิบ

    รปภ. ดีใจในแบบที่คาดไม่ถึง ไม่แน่ใจว่าเขาดีใจที่มีคนคุยด้วยหรือมีอาหารมื้อถัดไปโดยไม่ต้องซื้อ เขานั่งอยู่บนเก้าอี้พลาสติกสีแดงหน้าปากซอยมืด ๆ เปลี่ยว ๆ มีเพียงแสงสว่างจากร้านสะดวกซื้อที่ประสบความสำเร็จแบบไม่เผื่อแผ่คนอื่นส่องมาพอให้เขามองเห็นคนเดินผ่านไปผ่านมาเท่านั้น เขาไม่มีโต๊ะ ไม่มีอะไรเลย มีเพียงเก้าอี้สีแดงไว้นั่งเท่านั้น ไม่มีแม้แต่ที่หลบฝนหรือไอน้ำค้างใด ๆ  

    “ดีจังเลย ยังไม่ได้กินข้าวเลย ทำงานที่ไหน มีงานเลี้ยงเหรอ น่ากินทั้งนั้นเลย”

    “ผมต้องนั่งอยู่ตรงนี้แหละ ผมอยู่ตรงนี้ทุกวันเลขคี่ นั่งอยู่ตรงนี้ตลอดทั้งคืน ถ้าฝนตกผมก็ต้องไปหลบหลังคาร้านสะดวกซื้อ ถ้าตกหนักหน่อยก็โดนฝนสาดเปียกเป็นธรรมดา”

    “ผมอยู่ตรงเขตนู้นขี่มอเตอร์ไซต์มาทำงานทุกวัน จากบ้านมานี่ก็ประมาณ 30 นาทีถึง ปกติก็หาข้าวถูก ๆ แถวนี้กิน บางวันเงินไม่พอก็อดเอา”

    ลุงรปภ. วัยหกสิบชวนพนักงานออฟฟิศคุยอย่างลื่นไหล ยิ้มแย้มแจ่มใส และดูมีพลัง เขารู้สึกว่าลุงเป็นคนที่มีพรสวรรค์ด้านการพูดดีทีเดียว ถ้าลุงทำงานเซลล์ คงไปได้ไกลแน่ ๆ เขายืนคุยกับลุงอยู่เป็นชั่วโมงแบบไม่รู้สึกเมื่อย เขารู้สึกสบายใจที่ได้คุยกับลุง เหมือนเวลาคุยกับญาติผู้ใหญ่ที่สนิทและรู้ใจ 

    พวกเขายืนคุยกันในความมืดสลัวตั้งแต่เรื่องในชีวิตประจำวัน เรื่องการงาน ความสัมพันธ์ ปัญหาสุขภาพ ไปจนถึงปัญหาบ้านเมือง 

    “ไอ้พวกนั้นมันเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้เข้าตัวเองกับพวก ไม่สนผู้คนในเมือง อย่าคิดว่าเราจนเราแก่ แล้วจะไม่รู้เรื่องว่าพวกนี้นะ ทำไมเราจะไม่รู้ว่าพวกนี้มันทำกันขนาดไหน” 

    “เมื่อก่อนผมเคยทำงานในตึก ไม่ได้มีสวัสดิการอะไรมากมาย ตอนนี้ก็อย่างที่เห็น พอเราแก่ ร่างกายไม่ไหวเหมือนเมื่อก่อน จะไปรับจ้างอะไรเขาก็ไม่รับ”

    “คนแก่ ๆ เป็นรปภ. ได้ก็ถือว่าดีแล้ว ใคร ๆ ก็รู้กันว่าถ้ามีโจรจริง ๆ เราก็ทำอะไรไม่ได้ มันต่อยทีก็น่าจะตายแล้ว”

    “เขาแค่สงสารเลยจ้างงาน แล้วช่วยเร่งวันตายให้เราจากการนอนกลางวันแทนกลางคืน”

    “ขอบคุณมาก ๆ นะที่เอามาให้ คงกินได้หลายวัน ป้าคงดีใจมาก มืดแล้ว ต้องรีบกลับแล้วใช่ไหมวันหลังมาหาอีกได้นะ มาคุยกัน ผมอยู่ตรงนี้ทุกวันเลขคี่เวลาดึก ๆ แบบนี้แหละ”

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in