เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Oh My Fuji! ครั้งหนึ่งในชีวิต กับการพิชิตยอดเขาฟูจิRainbow Coral
ช่วงที่ 3 Acute Mountain Sickness
  • หลังจากออกจาก Fuji Ichikan แน่นอนว่าที่ต่อไปที่จะไปถึงก็คือที่พักถัดไปที่เมื่อวานปีนขึ้นมาแล้ว โชคดีที่เมื่อวานได้แสตมป์ไว้ก่อน เพราะดึกป่านนี้ไม่มีพนักงานต้อนรับที่จะแสตมป์ให้ จากที่พักนี้ก็มีคนออกมาเริ่มปีนเช่นกัน ทุกคนคงอยากไปเร็วๆเพื่อจะได้ไม่ต้องไปติดกันที่ยอดเขาช่วงที่คนเยอะที่สุด


    ถึงจะมืดมากแต่ฉันกลับเห็นวิวได้ชัดกว่าเมื่อกลางวันที่ผ่านมา ตอนนี้ไม่มีหมอกแล้ว เราสามารถเห็นไฟจากเมืองด้านล่างได้อย่างชัดเจน แต่ที่สวยกว่าไฟเมืองก็คือดาวนับล้านดวงที่อยู่บนท้องฟ้า! นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้เห็นดาวเยอะขนาดนี้ ความมืดสนิทบนภูเขาทำให้เห็นดาวชัดเป็นทางช้างเผือก ที่น่าพิศวงกว่านั้นคือพระจันทร์เสี้ยวที่แขวนอยู่กลางท้องฟ้าเป็นสีแดง! ภาพที่อยู่ตรงหน้าทำให้ฉันรู้สึกว่าแค่นี้ก็คุ้มแล้วกับความลำบากที่ปีนมาแล้ว


    ที่พักหลังที่สองถัดมามีพนักงานรับแสตมป์ไม้ค้ำแล้ว ทำให้เรารู้ว่าตอนนี้เป็นช่วงที่คนเริ่มเดินเยอะขึ้น ทางเดินก็คดเคี้ยวและชันขึ้นเรื่อยๆ ออกซิเจนก็น้อยลงตามความสูง เรามองเห็นแสงจากที่พักถัดไปเสมอ แต่การเดินไปถึงแต่ละครั้งเหนื่อยและยากขึ้นเรื่อยๆ ที่ฉันขยาดที่สุดไม่ใช้โขดหินขรุขระ แต่เป็นบันไดที่มีคนทำให้เรียบแล้วต่างหาก บันไดเหล่านี้มักจะมีตอนใกล้ๆถึงที่พัก ถึงจะเรียบแต่ความสูงของขั้นบันไดเรียกว่ารังแกคนขาสั้นชัดๆ ทำให้ก้าวท้ายๆก่อนถึงจุดพักทรมานเกินคำบรรยาย


    เมื่อถึงจุดพักฉันเริ่มหยิบเอากระป๋องออกซิเจนออกมาดูดเพราะหายใจไม่ทันและรู้สึกหัวใจเต้นแรงมาก ดูดไปแล้วก็ไม่รู้ว่ามันมีผลมากน้อยแค่ไหน แต่การได้นั่งพักซักครู่ก็ทำให้รู้สึกดีขึ้น พี่ชายฉันต้องเป็นคนเอาไม้ไปแสตมป์ให้เพราะฉันลุกไม่ไหว แต่หลังจากได้พักมองดาวบนฟ้าแล้วฉันก็ยังขยับขาไปต่อ



    เราปีนสูงขึ้นเท่าไรตำแหน่งของพระจันทร์เริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน จากที่เคยเป็นสีแดง พระจันทร์เริ่มสีอ่อนลงเรื่อยๆจนเป็นสีขาวนวลเหมือนที่เราเห็นทั่วไป ความเหนื่อยล้าสะสมทำให้ฉันเริ่มต้องหยุดกลางทางไปจุดพักบ่อยขึ้น เพื่อนร่วมทางของเราก็เยอะขึ้นเรื่อยๆ มีฝรั่งคนหนึ่งเห็นพี่ชายฉันถือมือถือฉายไฟไปปีนไป ถึงกับออกปากชมว่ากล้าหาญมาก บางทีพี่อาจจะดูถูกความอันตรายของการไม่ใช้มือช่วยปีนเกินไปก็ได้


    และจู่ๆฉันก็เกิดคลื่นไส้ขึ้นมา 


    “มีถุงพลาสติกอยู่ข้างๆกระเป๋าใช่มั้ย หยิบออกมาให้หน่อย” ฉันสะกิดพี่ที่เดินอยู่ข้างหน้า


    เรารีบเดินไปริมทางที่พอหยุดได้ พอควักถุงออกมา ฉันก็อาเจียนไม่หยุดใส่ถุงนั้น ข้าวแกงกะหรี่ที่กินไปคงออกมาแล้วสินะ ฉันเคยมีอาการคลื่นไส้อาเจียนเมื่อไปที่สูงมาก่อน จึงคิดว่านี่คงเป็น acute mountain sickness (AMS) อาเจียนออกมาแล้วก็คงหายแล้วไปต่อได้น่า พี่หยิบถุงพลาสติกอีกใบออกมาซ้อนเผื่อถุงแรกขาด และเราก็ออกเดินทางต่ออีกครั้ง


    ถึงอาการจะดีขึ้นหลังอาเจียนไป แต่มันก็กลับมาโจมตีซ้ำอีก ฉันอาเจียนซ้ำเป็นครั้งที่สองใส่ถุงพลาสติดที่หิ้วติดมืออยู่ คราวนี้คงไม่เหลือข้าวแกงกะหรี่แล้ว ฉันรู้สึกเพลียมากแล้วบอกพี่ว่าขอนั่งพักแปบนึง พอนั่งลงแล้ววางแก้มบนไม้ค้ำ ฉันก็หลับไปเลย รู้สึกตัวอีกทีฉันก็เห็นพี่ชายยืนอยู่ข้างหน้า


    “ฉันหลับไปนานแค่ไหน”


    “ประมาณ 2 นาที”


    ฉันหยิบน้ำในกระติดน้ำร้อนที่เตรียมมาจาก hostel ขึ้นมาดื่ม ดีใจที่น้ำในนั้นยังคงอุ่นอยู่ถึงจะผ่านไปแล้ววันนึง อากาศรอบกายเย็นมากและเย็นขึ้นเรื่อยๆยิ่งเราปีนสูงขึ้นไป การได้ดื่มน้ำอุ่นๆทำให้รู้สึกดีไม่น้อยฉันบังคับตัวเองให้ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ถึงจะอยากหยุดแค่ไหนเราก็หยุดไม่ได้ มาถึงจุดนี้ไม่มีทางกลับ มีแต่ต้องไปให้ถึงเส้นชัยเท่านั้น ฉันพยายามคิดถึงแรงผลักดันที่ฉันเลือกมาปีนเขาในครั้งนี้แล้วกลับไปปีนต่อ


    อาการฉันหนักขึ้นและทางก็ไม่ได้ง่ายขึ้นเลย บางส่วนของเส้นทางเหมือนกับการปีนหน้าผามากกว่าการเดินขึ้นเขา ไม่สามารถขึ้นไปโดยไม่ใช้มือช่วยปีนได้ แถมรอบข้างยังมือสนิท ต้องพึ่งไฟจาก head 

    lamp เท่านั้น ทางแบบนี้เด็กกับคนแก่ปีนได้หรอ?! แถมนี่ยังเป็นเส้นทางที่เรียกว่าง่ายที่สุดในสี่เส้นของการปีนภูเขาฟูจิแล้วนะ! ฉันบ้าไปแล้วจริงๆที่คิดว่าจะทำได้


    ความล้าถาโถมเข้ามาอย่างหนัก ถึงจะบังคับให้ขาเดินต่อ แต่ตาฉันจะปิดลงให้ได้ ฉันต้องเรียกให้พี่หยุดนั่งพักอีกครั้งก่อนที่ตัวเองจะหลับไปทั้งเดิน อากาศรอบตัวเย็นมากบวกกับความเหนื่อยล้าทำให้รู้สึกยิ่งหนาว ถึงฉันจะใส่ถุงมือแต่ก็รู้สึกได้ว่ามือเย็นแค่ไหน ฉันวูบหลับไปอีกครั้งแต่ก็ตื่นเองอีกไม่กี่นาทีให้หลังตอนนี้คนเริ่มเยอะขึ้นแล้ว และไฟจาก head lamp ของคนมากมายสว่างจนพี่ฉันสามารถมองเห็นทางข้างหน้าได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งไฟมือถือของตัวเองอีกต่อไป ทุกคนยังไปต่อไหวเราก็ต้องไปต่อไหว the show must go on!


    หลายครั้งระหว่างเดินที่ฉันรู้สึกท้อมากๆ คิดแต่ว่าจะไปถึงได้ยังไง แต่ก็รู้ตัวดีว่ามันไม่มีทางหนีได้  จึงพยายามนึกภาพตัวเองตอนที่เดินถึงยอดแล้วและกำลังเดินลง ถ้าเราก้าวขาออกไปเรื่อยๆ ยังไงเดี๋ยวมันก็ถึงยอด เดี๋ยวก็ได้ลงเขาแล้ว ก้าวต่อไปๆ....


    มองลงไปจากจุดที่เราเดินอยู่สามารถเห็นไฟระยิบระยับเป็นทางซิกแซก ไฟเหล่านั้นมาจาก head lamp ของคนที่อยู่ด้านล่าง ถึงการเดินทางนี้จะยากลำบาก แต่ก็มีคนเยอะแยะขนาดนี้ที่กำลังพยายามไปให้ถึงยอดเช่นเดียวกับเรา ทุกคนปีนกันอย่างเป็นระเบียบ ไม่มีใครต่อว่าหรือเบียดเบียนกัน หากมีคนเดินช้าอยู่ข้างหน้า คนที่อยู่ข้างหลังก็จะหาทางแซงอย่างสุภาพ ไม่มีใครโมโหโวยวายหรืออารมณ์เสียเลย


    ฟ้าเริ่มสว่างขึ้นทีละนิด ฉันเริ่มเห็นแสงสีส้มของพระอาทิตย์แต้มลงบนเมฆสีเทา เรายังอยู่ห่างจากยอดแต่ก็พอจะเห็นเส้นชัยด้านบน ฉันรวมรวมพลังที่มีเหลือเดินหน้าต่อไป ก่อนจะก้าวทุกๆก้าว ฉันต้องมองหาที่บนโขดหินข้างหน้าที่เหมาะกับการเหยียบ ไม้ค้ำช่วยฉันได้มากจริงๆในการพยุงตัว ไม่งั้นแรงที่มีอยู่อันน้อยนิดอาจจะไม่พอสำหรับฉันในการปีนต่อไปได้


    พอใกล้ถึงยอด ข้างทางจะมีเจ้าหน้าที่ยืนอยู่บนโขดหินเพื่อบอกให้ทุกคนเดินต่อไปอย่าหยุด ฉันเริ่มมองเห็นสิ่งต่างๆรอบตัวมากขึ้นจากแสงอาทิตย์ที่กำลังขึ้นมา ฉันหันไปมองทิศทางของดวงอาทิตย์ มันเป็นภาพที่สวยงามมาก เราได้ปีนขึ้นมาถึงความสูงเหนือเมฆ มองออกไปไม่เห็นอะไรเลยนอกจากทะเลเมฆ เป็นวิวที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต แต่ด้วยสภาพร่างกายในตอนนั้น ฉันไม่สามารถชื่นชมความงดงามนี้ได้อย่างเต็มใจ



    ถึงจะไม่อยากหยุดอย่างที่เจ้าหน้าที่บอกแต่อาการ AMS ไม่ช่วยกันเลย ฉันอาเจียนอีกครั้งเป็นรอบที่สามรอบนี้เกือบจะคว้าถุงไม่ทันเพราะมัดไว้กับกระเป๋าอย่างแน่น ฉันต้องเอามืออุดปากไว้ระหว่างที่พี่ชายพยายามแก้ปมหูถุง มันยังมีอะไรให้อ้วกออกมาอีกหรอ!? ถึงจะไม่สบายแต่ฉันก็แอบดีใจที่อาเจียนเพราะจะได้หยุด มีบางคนหลบมาหยุดข้างทางเพื่อที่จะรอถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้น แต่ก็โดนเจ้าหน้าที่ทักให้เดินต่อไป แต่เพราะฉันอาเจียนอยู่เลยไม่มีใครเข้ามาว่าฉันกับพี่ พี่ก็เลยสามารถหยุดถ่ายรูปได้อย่างหนำใจ 


    เวลาประมาณ 4:50 ฉันนั่งหน้าหันออกไปทางพระอาทิตย์ แสงสว่างขึ้นเรื่อยๆ พระอาทิตย์ดวงกลมๆเริ่มโผล่หน้าออกจากเมฆที่บดบังอยู่ ฉันมองมันโดยพยายามนึกถึงความสวยงานแทนความทรมานของร่างกายตัวเอง พี่ชายเรียกให้ฉันหันหน้าไปหาเค้าที่อยู่ด้านหลังเพื่อจะถ่ายรูปกับพระอาทิตย์ให้ แต่ฉันทำได้แค่โบกมือปฏิเสธ อย่าว่าแต่แรงที่หันตัวกลับไปเลย ตอนนี้จะให้ยิ้มฉันก็คงยิ้มไม่ออก 



    ถึงจะเห็นพระอาทิตย์ขึ้นแล้วแต่หนทางของเรายังไม่สิ้นสุด ยังมีระยะทางสุดท้ายถึงยอดเขาที่ยังต้องเดินฉันสูดหายใจเฮือกใหญ่แล้วลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก เราต้องไปต่อให้ถึงสุดถึงจะลงได้ ยอดเขาอยู่ข้างหน้านี้เอง มี torii ตั้งอยู่ตรงเส้นชัย เราเริ่มปีนต่ออีกครั้ง ฉันบังคับขาให้ก้าวไปเรื่อยๆ ถึงจะใกล้ถึงยอดทางก็ไม่ได้ราบขึ้นแม้แต่น้อย ฉันใช้มือและไม้ค้ำพยุงตัวปีนต่อไป อีกนิดเดียวก็จะหายจากอาการนี้ได้แล้ว พอเริ่มลงฉันก็จะไม่เหนื่อย ไม่เวียนหัว ไม่อ้วกแล้ว ต้องไปให้ถึง ต้องไปให้ถึง!


    ฉันมองแต่จุดที่จะเหยียบข้างหน้าตัวเองจนพี่ชายเรียกถึงแหงนหน้ามอง


    “พอผ่านซุ้ม torii เรามาตะโกนบันไซกัน” พี่ชายบอก


    ซุ้มอยู่ข้างหน้าเราแค่ 50 เมตร 


    ต้องไปให้ถึง


    20 เมตร ฉันเห็นป้ายหินเล็กๆบนพื้น เป็นป้ายที่ระลึกของใครซักคนที่พิชิตเขาฟูจิมา 33 ครั้ง พี่ชายหยุดถ่ายรูปมันไว้


    10 เมตร


    พี่ชายจับมือฉันแล้วยกมือพวกเราขึ้น


    “บันไซ!!” พี่ชายพูดเสียงดัง ฉันพยายามเปล่งเสียงให้ดังที่สุด แต่คงเบาเหมือนเสียงกระซิบ


    เราผ่าน torii แล้ว


    เราถึงยอดภูเขาฟูจิแล้ว!!!

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in