เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ไปเที่ยวกันจ้าแม่squarrium
นั่งรถไฟไปเชียงใหม่เจ้า : ครั้งแรกกับรถไฟตั๋วนอนและเชียงดาว
  • ความจริงทริปนี้งอกตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่อยู่ดี ๆ ก็เกิดคิดถึงการเที่ยวจนอยากเป็นบ้า พอเข้าปลายปีทีไรขาเริ่มสั่น มือเริ่มระริก อยากเที่ยวโว้ยยยย เลยขุดเรื่องเก่า ๆ เอามาเล่าแล้วกัน

    ขอรำลึกความหลังก่อน ทริปเชียงใหม่นี้เราไปกับเพื่อนที่ทำงานสองคน ด้วยความไปดูรีวิวเชียงดาวในทวิตแล้วอยากกรี๊ดเพราะวิวสวยมาก เลยเอามากรี๊ด ๆ กันสองคน วู่วามด้วยการดูวันลาพักร้อน ดูที่พัก ดูตั๋วรถไฟขาไป ตั๋วเครื่องบินขากลับ แล้วไปเลยจ้า ไม่รอแล้ว

    15 NOV 18

    เป็นครั้งแรกที่ได้นั่งรถไฟปรับอากาศตู้นอนชั้น 2 (เตียงล่าง 841 บาท เตียงบน 771 บาท)
    ตั๋วรถไฟออนไลน์ เกร๋ ๆ
    ตอนแรกเราก็เดินเข้าหัวลำโพงแบบมั่นหน้ามาก เพราะคิดว่าตัวเองจองไปดีแล้ว สรุป ไอ้รถไฟตู้ใหม่ที่เขารีวิวกันโครม ๆ ก็คือเป็นเที่ยวก่อนหน้า ส่วนเราจองเที่ยว 19.35 - 8.40 น. ซึ่งเป็นขบวนเก่าตู้เก่าจ้า ขึ้นไปยืนเงิบกันบนนั้นนั่นแหละ 55555555555

    แต่มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นนะ แค่เป็นเบาะเก่ากับไม่ได้มีปลั๊กให้ทุกเตียง นอกนั้นก็สภาพเดียวกันเลย แล้วส่วนใหญ่ในตู้นั้นเป็นฝรั่ง Backpacker ทั้งนั้น

    ส่วนห้องอาหารก็เก่า ๆ เล็กน้อย มีความโย๊กเย๊กบ้างตามประสา ถ้าจำไม่ผิดน่าจะปิดบริการประมาณ 4 ทุ่ม ใครอยากกินอะไรหรืออยากนั่งชิลก็ได้เต็มที่ เราหนีจากที่ตู้นอนไปเพราะพนักงานปูเตียงเร็วมาก ทำให้ต้องนั่งบนเตียงเบียด ๆ กับเพื่อน อาจจะไม่สบายเท่านั่งเก้าอี้
    นี่จ้า ถ่ายในห้องอาหารแต่ไม่เปิดแฟรช สุดยอดไพเรย
    ห้องอาหารแบบชัด ๆ 
    ประสบการณ์นอนบนรถไฟตู้นอนเที่ยวแรกในชีวิต (เรานอนเตียงบน มีความปีน แต่สนุกดี) แอร์เย็นเหมือนตู้แช่เพนกวิ้น ได้ใจฝรั่ง Backpacker แต่คนไทยจะแข็งตายแล้วจ้าแม่ เสื้อกันหนาวที่เตรียมไปกะหนาวที่เชียงใหม่เต็มที่ก็คือประเดิมบนรถไฟก่อน

    16 NOV 18


    รถไฟตู้นอนเที่ยวแรกถือว่าลดคำสบประมาทเกี่ยวกับรถไฟในใจเราไปเลย เพราะถึงตรงเวลามาก 8.40 ปุ๊ป รถหยุดที่สถานีรถไฟเชียงใหม่พอดิบพอดีเวอร์

    ด้วยความที่มากันผู้หญิงสองคน ญาติเราที่เชียงใหม่เลยเต็มใจพาเรากับเพื่อนไปเที่ยวมาก ๆ เพราะแม่ก็ห่วงนั่นแหละ เลยน่าจะไปดีลกันไว้ว่าดูแลลูกชั้นด้วยนะ สรุปแล้วทริปนี้เราแทบไม่ต้องเดินทางเองเลย อาจจะไร้ประโยชน์สำหรับคนที่อยากศึกษาหาข้อมูลไปเที่ยวเองซะหน่อย แต่ก็ยังพอแนะนำได้บ้างนะ

    วันแรกที่เชียงใหม่เราแพลนไว้คือขึ้นไปนอนบนเชียงดาวก่อนเลย (คือมีทริปนี้เพราะเชียงดาวเลยนั่นแหละ) จองที่พักไว้เรียบร้อยแล้ว ญาติเราก็พาขึ้นไปบนเชียงดาวตั้งแต่เที่ยง พอถึงแล้วก็ว๊าวกับวิวได้ซักแปปหนึ่งก็เริ่มจะอยู่ตัว แล้วก็ถามตัวเองว่า รีบขึ้นมาทำไมวะ 5555555555555 เพราะวิวมันก็มีเหมือนในรูปถ่ายเลย เราไปนั่งกินชากาแฟกันที่ร้านของบ้านระเบียงดาว เป็นที่พักแรกที่ถึง สัญญาณโทรศัพท์ก็เริ่มจะหาย เรากับเพื่อน DTAC ทั้งคู่ นั่งถ่ายรูปกันจนหน้าแห้งเพราะไม่มีเน็ตจะเล่น ส่วน AIS ของญาติเราโทรลื่นปรื๊ด โกรธ!

    บรรยากาศก็ถือว่าเย็น ๆ สบาย ๆ ไม่ร้อนไม่หนาว พอเริ่มบ่าย ๆ เย็น ๆ เราเลยลองเดินลงไปร้านอื่นข้างล่าง ปรากฏว่าวิวสวยกว่าข้างบนเยอะมาก! เสียใจที่ไม่ยอมเดินลงมาตั้งแต่แรก เลยไปสั่งน้ำกินกันอีกรอบ แล้วก็ถ่ายรูปกันจนแสงหมดถึงได้เริ่มเดินกลับที่พัก
    น้องแมว  น่ารักกกก
    ที่พักจริง ๆ ของเราคือบ้านหมอกตะวัน จองแบบนอนเต๊นท์ไป ซึ่งมันแฮปปี้กว่านอนเป็นบ้านมาก ๆ วิวตรงนั้นก็ดีแบบไม่มีใครบังด้วย (ค่าเสียหาย 600 บาท)

    ตกดึกเราก็สั่งหมูกระทะมากินอีกชุดหนึ่ง ความจริงที่พักมีข้าวเย็นและข้าวเช้าให้ แต่มันไม่พอ อยู่บนเขาอากาศหนาว ๆ ทั้งทีต้องหมูกระทะ! ฟินมาก

    พอไม่มีแดดแล้วอากาศเย็นขึ้นมาทันที เย็นจนเกือบจะสั่น อย่าลืมเตรียมเสื้อกันหนาวไปเผื่อกันด้วยนะ

    บรรยากาศเงียบ ๆ มืด ๆ หนาว ๆ แบบนี้เหมาะกับคนที่ชอบอะไรสโลวไลฟ์ ต้องการจะตัดขาดจากโลก (เพราะ DTAC โนเซอร์วิสไปแล้วจ้า) ขอแนะนำเลย มันดีจริง ๆ เราก็นั่งเม้ากับเพื่อนไปเรื่อย ๆ เงยหน้าขึ้นไปข้างบนเจอดาวเป็นล้าน ๆ ดวงสมกับที่อยู่บนเชียงดาว สวยจริง ๆ สงบมาก ๆ ด้วย แต่ iPhone 8plus เก็บมาไม่ไหวจริง ๆ ถ่ายมามืดสนิท 5555555 (มองแรงใส่ apple หนึ่งดอก)
    อากาศดี ๆ บนเชียงดาว
  • 17 NOV 18

    เช้าวันรุ่งขึ้นเขามีข้าวเช้าให้เป็นข้าวต้มหมูสับ กินร้อน ๆ กับอากาศเย็น ๆ ก็ฟินไปอีกมื้อ

    เห็นแดดแบบนี้ให้รีบเผ่นหนีไปจ้าา ร้อนตัวไหม้
    มีนุ้งแมวมาทักทายแต่เช้า
    แต่เตือนว่าให้รีบลงจากดอยก่อนที่จะสาย เพราะแดดร้อนแบบกูจะไหม้แล้วโว้ยย ไอ้ความเย็นเมื่อคืนมันหายไปไหนหมด ถึงว่าเดินออกมาจากที่พักแล้วลานจอดรถโล่ง คนหายไปเหมือนเมื่อคืนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะถ้าอยู่ยันสายแบบเราก็คือร้อนมาก ร้อนขนาดที่ว่าแต่งหน้าแล้วเครื่องสำอางไม่ติด เหงื่อไหลพราก ๆ

    ขาลงเราใช้บริการรถสองแถวที่ขึ้นมาส่งคน นั่งหัวโยกลงไปที่ท่ารถอำเภอเชียงดาว (เสิชในกูเกิ้ลมันขึ้นว่า Bus Station) เพื่อนั่งรถทัวร์กลับเข้าเมืองเชียงใหม่อีกที มันจะมีรถอยู่สองสาย ถ้าจะกลับเข้าเมืองเชียงใหม่ก็ให้นั่งสาย เชียงใหม่-ท่าตอน หรือไม่ก็ถามพนักงานขายตั๋วเอาเลย

    พอถึงตัวเมืองก็อาศัยรถญาติเหมือนเดิม เจ้าถิ่นพาทัวร์ ไปอีกที่ที่ไม่เคยได้แวะคือ วัดผาลาด อยู่ระหว่างทางขึ้นไปดอยสุเทพ บรรยากาศดีมาก ๆ ได้บรรยากาศความขลังความเก่า แถมเงียบสงบ แล้วก็ไปต่อวัดพระธาตุดอยสุเทพ
    บันไดพญานาค วัดผาลาด

    ลงจากดอยมาญาติเราก็พาเข้าไปในม.เชียงใหม่ ไปเดินเล่นตรงอ่างแก้ว ตอนแรกไอ้เราก็นึกว่าจะไม่มีอะไร แต่ทรงดีมาก บรรยากาศดี คนไปนั่ง ไปเดิน ไปวิ่งจ๊อกกิ้งกันเยอะ
    นี่จ้า อ่างแก้ว ยืนเล็งกันนานมากแต่ไม่เปิดแฟรชอีกแล้ว 5555
    พอตกเย็นก็เป็นเวลาของเราที่จะเดินทัวร์แถว ๆ นิมมาน ที่พักที่จองไว้คือ บ้านเมฆ โฮสเทล นิมมานซอย 15 โฮสเทลสไตล์ญี่ปุ่น เป็นห้องแยกนอนคนเดียว แต่ไม่ได้น่ากลัวเพราะมีกุญแจไว้ล็อกห้อง (แต่ที่ไม่ค่อยโอเคคือเราโดนปลุกด้วยเสียงคุยกันโช้งเช้งของนักท่องเที่ยวจีนที่กำลังลากกระเป๋ากลับ อยากร้องไห้) คืนละประมาณ 400-500 บาทต่อคน
    บรรยากาศบ้านเมฆโฮสเทล
    ความพังอีกหนึ่งอย่างคืออยากกินปิ้งย่างแต่ไม่ได้หารีวิวมาก่อน พอเสิชกูเกิ้ลนางก็พาไปแต่ร้านที่ปิดไปแล้ว สรุปเราเลยไปได้ร้าน Hachi Grill Bar นิมมานซอย 5 ปิ้งย่างสไตล์ญี่ปุ่น อร่อยมาก ๆๆๆๆ ดีมาก ๆๆๆๆๆ กอไก่ล้านตัว ราคาไม่แพงด้วย แทบจะคลานออกมาจากร้าน

    เดินไปเดินมาจนหายอิ่มแล้วก็ได้เวลาสองสาวไปแรด (อิอิ) อยากลองเข้าผับดังในหมู่วัยรุ่นเชียงใหม่บ้างว่ามันจะสนุกแค่ไหน เลยเลือกเดินไป Warm Up Cafe โซนด้านนอกที่เป็นนั่งชิลล์เต็มเอี้ยดเรียบร้อย เลยต้องเข้าไปยืนอัด ๆ อยู่ข้างในตรงที่เขาแด๊นซ์กัน คัลเจอร์ช็อคเบา ๆ ตรงที่ดีเจเปิดเพลงวนไปวนมามากจ้าแม่ เดี๋ยวบิ๊กแบง เดี๋ยวEDM เดี๋ยวเพลงแมส เพลงละนาทีสองนาทีเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา กับคนเบียด ๆ แถว ๆ บาร์ เลยอยู่กันแค่เบียร์หนึ่งขวดหมดก็ขอบายก่อน หนูไม่ไหวจริง ๆ

    อีกร้านหนึ่งที่เห็นว่าคึกคักมากแต่ไม่ได้เข้าคือ ตั้งหวังเจ๊ง เป็นร้านฟีลนั่งชิลล์ (มั้ง) ที่เสียงดังตึบ ๆ ออกมาข้างนอก คนต่อคิวเข้ากันตลอดเวลา น่าจะเป็นร้านฮิตของเขาแหละเนอะ

    หมดวันนี้ไปด้วยความงง ๆ แต่ก็ถือว่าคอมพลีทแล้ว ลองเข้าวอร์มอัพแล้ว หายอยากแล้ว 5555555
  • 18 NOV 18

    วันสุดท้ายในเชียงใหม่ก่อนที่จะบินกลับกรุงเทพ

    เลือกเข้าร้านอาหารเช้า โกปี๊ ตรงนิมมานซอย 9 บรรยากาศดี ๆ ตอนเช้า สั่งอาหารมาตอนแรกก็นึกว่าไม่เท่าไรหรอก ที่ไหนได้ แทบคลานออกมาอีกรอบ เยอะมากกกกก กินไม่หมดด้วยจ้า 5555
    มื้อเช้าจากโกปี๊
    แพลนที่วางไว้คือจะไปซื้อของฝากกันที่ตลาดวโรรส (กาดหลวง) เราเลยเรียก Grab ไปเลยสะดวกกว่า แค่ประมาณ 60 บาท พี่ Grab ขับผ่านร้านโน้นร้านนี้ก็แนะนำใหญ่ นี่ก็เลยชวนคุยกันไป เขาบอกว่าช่วงนี้อากาศร้อนขึ้นเยอะมาก ๆ เห็นด้วยเลยค่ะพี่ อุตส่าห์ขึ้นมาเชียงใหม่ช่วงเดือนพฤศจิกายน ก็แอบหวังเล็ก ๆ ว่าจะเจออากาศเย็นบ้าง แต่ในตัวเมืองร้อนมากกกกกก

    เดินด๊อก ๆ แด๊ก ๆ สไตล์คนไม่รู้ทางกันสองคน ก็ไปได้น้ำพริกหนุ่ม แคบหมู ของจุกจิกกันมาครบแล้ว ที่แฮปปี้มากคือได้เสื้อคลุมเกร๋ ๆ ผ้าฝ้ายสไตล์ญี่ปุ่นมาในราคา 150 บาท (ที่ภูมิใจสุดเพราะกลับมากรุงเทพเจอคนขายตั้ง 200-500 บาทแหนะ เห็นทีไรก็ยิ้มมุมปากในใจตล๊อด)

    แล้วก็ได้ลองของใหม่อีกอย่างนั่นก็คือรถเมล์ที่วิ่งรอบเมืองนั่นเอง เราเดินข้ามจากฝั่งตลาดไปรอรถเมล์ที่ป้าย รอนานหน่อยแต่ชัวร์กว่า (เพราะระหว่างที่ยืนรอรถเมล์ก็โดนรถแดงวอแวหนักมาก แต่ไม่ ฉันใจแข็งพอ)

    เป็นรถเมล์ที่ใหม่มาก แต่เราไม่สามารถแนะนำสายให้ได้เพราะก็ไม่รู้เหมือนกัน คันไหนผ่านมาเราก็ถามคนขับทุกคันว่าเข้านิมมานมั้ยคะ 55555555 สุดท้ายแล้วสายที่เข้านิมมานคือสายสีเหลือง จ่ายเงินแบบใช้เหรียญหยอด ถ้าไม่มีเหรียญบนรถก็มีเครื่องแลกเหรียญให้อีกต่างหาก สะดวกสบายมาก คนขับก็ใจดีมีมารยาท รถคันใหม่ แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะมีคนเมืองนั่งเท่าไร คันที่เราขึ้นก็โล่งมาก ๆ

    พอกลับที่พักก็ยังพอมีเวลา เลยไปหาคาเฟ่นั่ง ก็ไปเจอร้านใกล้ ๆ กับที่พัก Charin Pie พายจริณ นิมมานซอย 17 เหมือนเป็นคาเฟ่ที่เอาบ้านเก่ามาทำเป็นร้านขนม ไม่ได้ปรับแต่งอะไรมากมาย แต่เก๋มากกกกก เพราะบรรยากาศแบบบ้านไม้เลย ตอนแรกเรานึกว่าไม่มีคน แต่พอเดินเข้าไปคือคนนั่งเต็มทุกโต๊ะ นั่งกินเล่นบ้าง คุยงานบ้าง ทำงานบ้าง ดูแล้วชิลล์ไปอีกแบบ แถมเค้กกับชาเขียวปั่นอร่อยจุก ๆ ไม่จกตา ประทับใจมาก ใครไปนิมมานอย่าลืมแวะไปนะ
    บังเอิญไปเจอรูปพี่นะ พี่เพียว POLYCAT ที่ร้านขายกล้องฟิล์มแถว ๆ ที่พักด้วย ;___;
    สถานที่ต่อไปก็คือ Brandnew Field Good คาเฟ่กลางทุ่งนาเล็ก ๆ ของเป๊กและนิว นี่ก็คนเยอะม๊ากก แต่ไปแล้วก็สวยจริงนะ แค่ตรงทางเดินเข้าก็ถ่ายรูปกันหลายสเตป แถมของกินก็ออแกนิครักสุขภาพ อร่อยทุกอย่าง
    Brandnew Flied Good
    ที่สุดท้ายของทริปนี้ก็คือถนนคนเดินเชียงใหม่เจ้า เดินซื้อของกันจุกจิก ๆ ก่อนที่จะไปสนามบินขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพกัน บรรยากาศก็เปลี่ยนไปนิดหน่อยจากที่เราเคยไปเมื่อหลายปีที่แล้ว น่าจะประมาณเกือบ 5 ปีได้ แต่ก็ยังถือว่ารับได้ มีคนเมืองเดิน ไม่ได้เปลี่ยนไปขายนักท่องเที่ยวขนาดนั้น 

    สุดท้ายก็ถึงกรุงเทพอย่างปลอดภัยด้วยสายการบิน Vietjet Air บินไวเหมือนว๊าป กำลังจะหลับคือรีบสะดุ้งขึ้นมาเลยเพราะเครื่องพุ่งลงแล้ว ที่ตกใจคือนึกว่าเครื่องบินจะตกเพราะถึงเร็วเกิ๊น แต่ไม่มีอะไรค่ะ ปลอดภัยมาก ๆ 555555555555 ค่าเสียหายตั๋วเครื่องบินขากลับประมาณ 1,200 บาท 

    เป็นอันจบทริปเชียงใหม่แบบที่ได้ลองอะไรใหม่ ๆ อย่างเช่น รถไฟตู้นอน เชียงดาว ผับเอย คาเฟ่เอย ปิดจ๊อบไปแบบสวย ๆ งาม ๆ ปนความสะดวกสบายเพราะนั่งรถญาติแทบตลอดทั้งทริป 55555555 แต่เราว่ามันเที่ยวง่ายขึ้นเยอะเลยเพราะมีทั้ง Grab ทั้งรถเมล์ แบบไม่ต้องโดนรถแดงโขกราคากันกระเป๋าฉีก

    แต่สิ่งที่แปลกใจคือคิดว่าคนจะเที่ยวเยอะกว่านี้แฮะ แต่นิมมานกลับโล่งมากกก ทั้งกลางวันทั้งกลางคืน มีร้านที่ขายนักท่องเที่ยวจีนเยอะขึ้น และอากาศก็ร้อนมาก ๆ ด้วย (ได้ความจากญาติว่าพอเราลงมากรุงเทพปุ๊ป เชียงใหม่ก็หนาวเลยจ้า เออ หรือกูนี่เองคือตัวซวย)

    สรุปค่าเสียหายทริป กรุงเทพ-เชียงใหม่ 4 วัน 4 คืน

    - ตั๋วรถไฟตู้นอนชั้น 2 800 บาท
    - ตั๋วเครื่องบินขากลับ Vietjet Air 1,200 บาท
    - ที่พักบ้านหมอกตะวัน เชียงดาว 600 บาท
    - ที่พักบ้านเมฆโฮสเทล 500 บาท

    นอกนั้นก็เป็นค่าใช้จ่ายจุกจิก ค่ากิน ค่าขนม ของฝาก ค่าเดินทาง คาเฟ่ ตั่งต่าง ถ้าเราจำไม่ผิดน่าจะประมาณ 4,500 บาทก็อยู่แล้วสำหรับทริปนี้ แฮปปี้ ~

    ปิดท้ายไปด้วยกล้องเรากับเพื่อนในทริปนี้ กรุบกริบ ๆ 555 

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in