การต้องติดหล่มอยู่กับรอยเท้าที่คอยวิ่งหา อะไร ไม่ก็ อะไร ก็ตามแต่ มาอธิบายให้กับเรื่องทุกเรื่องอย่างสม่ำเสมอ แม้เรื่อง ๆ นั้นจะเกิดโดยไม่ตั้งใจหรือจงใจ ความต้องการของการมีอยู่จากใครอื่นหรือคนใกล้ชิดกลับไม่เคยพอดีสำหรับตัวเขา หนำซ้ำ มันยังทำให้สายสืบภาคสนามอย่างเมอร์ริงรู้สึกราวกับต้องแลกความห่วงหาส่วนตัวผนวกเข้ากับการเป็นคนไม่เอาไหน ที่ยังต้องชดใช้ชีวิตด้วยการลงแรงทำอะไรสักอย่างมาทดแทนลมหายใจของตนตลอดเวลา
เพียงแต่...กวิน — ในสายตาของเขา ที่ภายหลังเองก็ยังเปลี่ยนไปตามกาลเวลา กลับเลือกจะวางมือบนลาดไหล่ และแลกการติดราคาของสิ่งขมุกขมัวเหล่านั้นให้เป็นตัวเป็นตน
มันไม่ใช่ข้อผูกมัดอะไรทั้งนั้น ก็แค่คนทำตัวรู้ดีในเรื่องที่เขาไม่มีวันอภัยตัวเองเท่านั้น
เมอร์ริงรู้ ทั้งที่คิดว่าตัวเองไม่เคยรู้ ว่าเด็กชายในวัยเยาว์ที่เคยเป็นเพื่อนบ้านของเขากลับเข้าใจเขามากที่สุด หลบอยู่ตรงนั้น แม้ไม่เคยถลำใกล้ สีทึมเทาบนตัวของแอชตัน กวินไม่เคยเป็นเฉดเดียวกับเขาได้แม้แต่วินาทีแรก กลิ่นกายและอาภรณ์เหล่านั้นมักสลับตัวตนผ่านไปหรือรอคอยอยู่ห่าง ๆ เมอร์ริงคิดว่าตัวเองไม่สามารถคาดเดาอะไรจากคนคนนี้ได้เลย เหมือนพายุลูกใหญ่ในวันแดดจ้า เหมือนเสี้ยนหนามในท่อระบายน้ำ เหมือนคันธนูที่นักล่าใช้มันเพื่อกำหนดเป้าหมาย ทั้งที่ลูกอาวุธสังหารเช่นนั้น อาจมีไว้ยิงดอกผลของพืชลำสูง หาใช่เนื้อสิ่งมีชีวิต บางครั้งบางคราว เมอร์ริงคิดว่าเขาไม่เคยรู้จักกวินทั้งที่รู้จักมาค่อนชีวิต แต่ชีวิตที่อีกคนไม่อาจมีบทบาทเป็นผู้รักษา ได้ทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาขาดหาย กระทั่งอีกฝ่ายกลับมา เมื่อรู้ว่าเขาย้ายไปประจำการที่ใดจากจดหมายของเมอร์ริงที่ส่งไปเยี่ยมคนเป็นแม่ ซึ่งปัจจุบันแม่ก็กลายมาเป็นแม่บ้านถาวร หลังค่อย ๆ สูญเสียการได้ยินประกอบกับสมรรถะภาพการมองเห็น ความเป็นจริงแบ่งดวงตาทั้งสองข้างของแม่ให้พร่าเลือนทุกปี และนั่นก็เป็นปัญหากับการรับจ้างทอผ้าของเธอเสียส่วนใหญ่ แม่จึงวางมือจากสิ่งที่คิดว่าตัวเองทำได้ดีทั้งที่ไม่มีคนในครอบครัวเคยล่วงความลับมือคู่นั้นด้วยว่าเธอเคยชอบหรือมีสิ่งใดให้ชื่นชมอีก
“แม่แกน่ะ ขยันอย่างกับวัวที่ประตู [1] ส่วนฉันกลับเป็นวัวในร้านจานกระเบื้อง [2] ” พ่อบอกกับเขาแบบนั้น ผ่านจดหมายเปื้อนตัวหนังสือไร้ระเบียบตามมาตราฐาน แต่ลายมือเรียบนิ่งในน้ำเสียงโลดเต้นของพ่อก็ทิ้งท้ายไว้ด้วยการอวดค่ากะระยะสายตาที่ยังทำหน้าที่ได้ดีกว่าแม่ และแม่เองก็ตอบแทนรายรับที่เธอได้มาจากเขาด้วยการเชื่อฟังเรื่องให้เลิกทอผ้าสักที
เหมือนแอชตัน กวินจะรู้ว่าเขาคงไม่ตอบจดหมายเหล่านั้น มันกองพะเนินคล้ายขี้บุหรี่ในถ้วย แม้เขาจะไม่ชอบให้ชิ้นงานอิเหละเขะขะสายตาบนโต๊ะทำงาน แต่กลับไม่ใช่ในห้องแห่งนี้- เจ้าตัวจึงลงมือเขียนกลับแทน แม้รู้ว่ามันอาจไม่เป็นผล- อย่างน้อยก็ระยะสั้น หากแต่คือความฉุนเฉียวเคล้าอารมณ์เหน็ดเหนื่อยที่อัดแน่นจนล้นอกอยู่ทุกทิศทุกทาง มันไม่เพียงบั่นทอนเงาของเขา ณ ที่นั้น ทว่ายังเกี่ยวรัดสุมทรวงเอาไว้เสียแผดร้อนมาแต่ไหนแต่ไร รวมเป็นหยาดเหงื่อของแม่ เป็นคำพูดของหล่อนที่บอกว่าจะดีกว่านี้ถ้าลูกอย่างเขาไม่เกิดขึ้นมา เป็นความรั้นดึงดันของพ่อ เป็นแววตาเศร้าสร้อยของพ่อหลังบานพับโรงรถที่ดุเขาเรื่องต้องเก็บของให้ถูกที่ถูกทาง ไม่ก็ อย่ามาเกะกะลูกตาแถวนี้ จะเล่นหรือ จะไปไหนก็ไป ถ้าเพื่อนไม่เข้ามาก็ออกไปเล่น เลือกสักทาง เวลาไม่คอยท่า และพักหลังมานี้ จากที่คำตัดพ้อเหล่านั้นเคยเป็นของผู้ใดผู้หนึ่ง คราวไหน ๆ ยามจมจ่ออยู่บนหน้ากระดาษกลวงเปล่า มันกลับเหลือเพียงเสียงจืดจางของเขาที่อนุมานไปเองว่ากำลังออกมาจากปากของชายหญิงทั้งสองเมื่อยังเยาว์
ลายมือที่พ่อตอบกลับมาไม่ใช่ทั้งเงิน และความหวังดีของลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดิม
แม้แต่นิด
กลับเป็นของแอชตัน กวิน
คือการกระทำของคนอื่น — ในสายตาของเขา ณ ตอนนั้น ที่อยากปะทุอารมณ์เดือดดาลทั้งหมดลงไปในใบหน้าเรียบเฉยเกินจะหยั่ง
กวินไม่เคยอธิบายให้เมอร์ริงฟังเลยสักทีว่าทำไปทั้งหมดเพื่ออะไร ชีวิตที่หลบซ่อนนั้นมีอะไรดี หรือการหลบหนีที่คิดว่ากำลังเผชิญหน้าอย่างอวดดีนี่ทำให้เขารู้สึกอะไรขึ้นมา วิชาชีพของเขาสอนให้เมอร์ริงมีแต่คำถามตกค้างพอกพูนเต็มมันสมอง คือคำถามที่ไม่เคยตกตะกอนไปจากคนสนิทเยื้องเตียงฝั่งตรงข้ามได้อย่างเป็นตัวเป็นตนนอกจากหนี้ 10 ชิลลิง
เริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาไม่รู้ เมอร์ริงจ่ายเงินที่กวินเคยฝากให้ครอบครัวของเขาผ่านซองจดหมายตามแต่อีกคนจะร้องขอ ถึงความจริง กวินจะไม่เคยขอ แต่เขาก็รู้ว่ามันไม่สมเหตุผล เขาจึงแอบหย่อนมันเอาไว้ทีละน้อยใต้ปลอกหมอนเจ้าตัว ก่อนออกจากห้อง
“เราเลือกไม่ได้หรอกว่าจะทำสิ่งที่ทำได้ดี หรือจะไม่ทำสิ่งที่ชอบ คนเราไม่ได้มีความสามารถขนาดนั้น”
คืนนั้น กวินจึงเริ่มเล่าถึงหน้าที่ในทุกเช้าที่ตัวเองต้องรับ แม้ไม่หนักหนาอะไรแต่เขาก็รู้ดีว่ามันยังไม่ถึงครึ่งของโรงพยาบาลสถานีซึ่งเคยรับผิดชอบ
เมื่อเรือส่งเสบียงมาถึง เจ้าหน้าที่จะเริ่มตรงปรี่ออกจากห้องพักไปชักธงบนเสา และวางลังเสบียงลงสู่ฝั่งเพื่อเตรียมต้อนรับ ใบหน้าของกวินดูเหนื่อยล้าอย่างไม่ทันรู้ตัว ผ่านสายตาของเมอร์ริง หมอนั่นบอกว่าถ้าไม่เคารพเกาะ ที่เปลี่ยวร้างนี้จะนำมาซึ่งคำสาป เช่นเดียวกับพื้นที่หรือสถานอโคจรข้างในหรือนอกตัวเรา มันจะนำมาซึ่ง “ประตูวิญญาณ” หรือ “ธรณีต้องสาป” เขาบอกฉันว่าตำนานของนักเดินเรือที่ชอบเล่ากันปากต่อปากคือเรื่อง “เรือผี” มันมีอยู่จริง กวินหยุดเล่า มองใบหน้ายากจะเข้าใจของสัญชาตญาณในวิชาชีพสายสืบ กล่าวว่าเรือผีเหล่านี้คือยานพาหนะที่จะพาเราไปยังดินแดนแห่งความตาย ถ้าผู้เฝ้าเรือเห็นเรือลำดังกล่าวอยู่บนขอบฟ้าหลังพายุและได้ยินเสียงโหยหวนที่พวกเขาคิดว่ามันจะต้องเป็นเสียงเรียกขอความช่วยเหลือให้ออกไป แต่ความเป็นจริง เรือลำนั้น- ด้านในหมอกมืดกลับเป็นกับดักทางจิตวิญญาณที่คอยหลอกหลอนดวงตาและจิตใจของมนุษย์ ใครก็ตามที่เข้าใกล้จะถูก “พาตัวไปยังอีกฝั่งหนึ่ง” ชายหนุ่มถอนใจ ราวค่อย ๆ เมื่อยล้ากับคำลือของตำนาน ไม่ก็ยอมแพ้กับสมาธิอันเล็กน้อยของเมอร์ริงที่อยากจะหันไปทำธุระส่วนตัวบนหน้ากระดาษตลอดเวลาฟัง
“แต่เพราะได้รับตำแหน่งไว้วางใจจากผู้กำกับการที่เชื่อใจและศรัทธาเขามาก ในฐานะผู้ดูแลที่ดีและเชื่อถือได้ เขาถึงต้องบอกลาครอบครัวเพื่อเข้ารับตำแหน่งนี้ ตามความปรารถนาส่วนตัวที่หวังว่าอนาคตมันจะไม่เป็นอย่างหวัง และจะมีโอกาสกลับไปใช้ชีวิตในชานเมืองกับลูกสาว” กวินจบเรื่องส่วนตัวของเขาตรงนั้น
เมอร์ริงมองอย่างไม่เข้าใจนัก “เรื่องของนายตรงไหน”
“ก็ตามนั้น” กวินตอบ
เมอร์ริงพลิกหน้ากระดาษ พลางหันมองอีกคนบนฟูกนอน “จะว่าไป...ฉันเคยยินนะ เรื่องคดีหายตัวไปบนเกาะสกอตแลนด์นั่น พวกแอนดรูว์ [3] เองก็ไปร่วมค้นหาทางน่านน้ำอยู่เกือบเดือนไม่ใช่หรือไง เพราะสันนิษฐานกันว่าพวกเขาอาจจมน้ำตาย”
แต่แล้วเขาก็ทำหน้าเอือมระอา ขณะทวนทรงจำ
“หนังสือพิมพ์และนิตยาสารบางฉบับยังพาดหัวข่าวแปลกประหลาดที่ว่า สัตว์ประหลาดทะเลได้กลืนคนเหล่านั้นเข้าไป เพื่ออธิบายถึงการขาดหลักฐานทางกายภาพด้วย นายรู้ไหม”
กวินส่ายหน้า “น่านสมุทรไกลกันชัด ๆ แต่อดีตผู้ดูแล เคยเล่าให้ฉันฟังว่าที่นั่นมีคำสาป การสอดแนมที่ห่างไกลจากผู้คน มักเป็นถิ่นดั้งเดิมของดวงวิญญาณ พวกมัน- หลับใหล รอวันฟื้นคืนชีพ สักที่...”
การไม่พบร่องรอยการมีชีวิตหรือทรัพย์สินเสียหายแสดงให้เห็นว่า ถูกสัตว์นั้นทำลายหรือถูกพาตัวไปจนหมด ร่องน้ำลึกและหินรอบชายฝั่ง อาจเป็นจุดซ่อนตัวสมบูรณ์แบบสำหรับสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์
เมอร์ริงยกหน้าสมุดซึ่งยังมีบันทึกสื่อข่าวที่เขาฉีกแปะและจดรำลึกไว้ด้วยตัวเอง เมื่ออดีต คราวประจำการอยู่ที่สถานี
“ใครจะคิดว่าคดีที่บ้านมิสซิสซิลลิแวนจะเป็นแบบนี้ไปได้” เขาถอนใจ “หน้าที่ของฉันสุ่มคำพิพากแบบนั้นไม่ได้ มันคนละเรื่องกับการเขียนนิทานหลอกเด็กทั้งเพ”
เมอร์ริงก้มปลายคางต่ำ ขยับปลายหว่างคิ้วเหยียดแบนออกจากกันด้วยนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ข้างถนัด แม้เดิมที มันจะไม่ได้แนบแน่นเสียควรคลึงเค้น เพียงแต่ในเวลานี้เขาต้องการปลอบประโลมอาการอยากอาเจียนด้วยการบีบนวดจุดสัมผัสใหม่เพื่อให้ตนจมจ่อมสมาธิอยู่กับรอยปวดรั้นและน้ำหนักของนิ้วยามบี้บดมันลงไปยังจุดกึ่งกลางของอาการปวดร้าว และเมื่อยิ่งเขม่นจ้องคราบเขม่าดำด่างนั่น มันกลับรวมชิ้นเงาเข้าหากันขณะตวาดอารมณ์สั่นเทิ้ม เสริมให้เขานึกถึงคำพูดไม่ได้เรื่องของแอชตัน กวิน แม้นานมาแล้วในทรงจำ
นานที่ว่า... คงหลายเดือนที่แล้วละมัง
เขานึก เมื่อรู้สึกพะว้าพะวงถึงกรอบภาพชิ้นใหม่คืนวาน มันดูเหมาะจะเป็นพยานปากเอกในวงการสืบสวนหากใครพบเจอเข้าโดยบังเอิญ แต่คงให้อุบายชวนขันอยู่ไม่เบา ที่สำนักงานตำรวจนครบาลจะต้องกรูกันเข้าจับตัวบาทหลวงมาพรมเช็ดเงาหลืบซ่อนดำมืดนั่น พร้อมปัดเป่าดวงวิญญาณร้ายในบ้านหลังนี้ แทนที่จะเป็นผู้ปราบคดีวิกลจริตของมนุษย์ที่พึ่งพาความทุกข์เข็ญเพื่อนบ้านด้วยกลลวงนับไม่ถ้วนในจิตใจสำหรับดำรงชีพให้หวนคืนสันติภาพ
ถ้าจะต้องบอกว่าทุกอย่างที่กวินเล่าคือความจริง และสิ่งที่เขาอยากจะสื่ออารมณ์ใคร่ราคะออกมานั้นก็สมจริงเสียกว่าจะหาถ้อยคำอื่นมาเหยียดอ้าง
สหายคนสนิทไม่ได้อธิบายให้เขาฟังอย่างชัดเจนเหมาะสม นอกจากบรรยากาศคืนวานจะอุดอู้จนเขาต้องขอตัวไปจุดยาเส้นระบายความกระสันในเนื้องานตามลำพังอยู่ค่อนชั่วโมง
เพราะประโยคโผงผางอย่างไม่เกรงจะอ้อมค้อม กลับไร้ซึ่งมูลเค้ามาสบถสาบานความสงสัย เพื่อเติมแต่งแหล่งต้นทางที่ว่า “ไอ้นี่น่ะ...มันทำให้ใจเย็นลง”
มันไม่ควรจะเป็นแบบนั้นแท้ ๆ
ราวกับความลับในพรอธิษฐานของแอชตัน กวินที่มักย้อมผ่านห้วงพริ้มเพลิดบนสีหน้า— ขณะเจ้าตัวเก็บทอความรู้สึกไว้หลังขวดบรั่นดีข้างกายเพื่อสั่นคลอนมวลเหลวในปากลำพัง
เมอร์ริงรู้สึกว่าข้อจำกัดนั้น เขาสามารถถลำลึกได้ด้วยการผลีผลามรุดหน้าเข้าใกล้ เฉกเดียวกับที่เดวีส์เคยใช้ลูกเล่นทำนองนี้เซ้าซี้เขานับไม่ถ้วนคราว เรื่องทรงผมที่ไม่เคยนึกแผกอุปนิสัยเปลี่ยนวิธีขัดเงาชโลมน้ำมัน ซึ่งสืบตามความสามัญในระเบียบชนสำนักงานที่มักชี้นำให้เขาพรมหวีมันอย่างเชื่องช้าและกวาดเสยเรือนสีเข้มราบเรียบ แทนทรงปรกเนินผากชุ่มโลน อันก่อมาจากนาฬิกาผิดประณีตในธุระดาษดื่นส่วนตนยามค่ำคืน ให้ขึ้นไปกองรวมกันเหนือศีรษะเสมอยามล่วงวัน
เมอร์ริงคิดว่าเขาควรระมัดระวังข้ออ่อนแอที่อยากจะจัดการอย่างไม่รอบคอบนั้นไว้ลำพัง
โดยเฉพาะความคิดที่คอยก่อกวนว่า สาวใช้ของคุณนายซิลลิแวนกับแอชตัน กวินพบเจอสัตว์ประหลาดตัวเดียวกัน และมันยังเป็นของจริงในโลกอุปโลกน์เหนือใยลินินอีกต่างหาก
จบสิ้นแล้ว เมอร์ริงนึก
พลางหันไปหาเจ้าหน้าที่ผู้ช่วยคนเดิม ครั้นเผื่อเหลือช่องว่างนอกเวลาปฏิบัติงาน ก็ไม่มีใครอื่นที่เมอร์ริงสนใจอยากจะเสวนาให้เสียเวลาด้วยเป็นพิเศษ นอกเสียจากต้องรอรายงานความคืบหน้ากับรองสารวัตร
เขาสะกิดศอกเบียดสีข้างชายอายุน้อยกว่า “แกเคยฝันอะไรซ้ำกับคนอื่นไหม”
“ครับ...” ชายอายุน้อยกว่าจงใจตวัดหางตาไปยังสิ่งของชิ้นใหม่— นอกบานหน้าต่างชั้นสอง หน้าเรือนพักจุดเกิดเหตุ ที่ที่เมอร์ริงพยายามจะมองตามความครุ่นครวญของคู่หู
นอกบานหน้าต่าง...มันทำให้เขานึกถึง...คำชวนเชื่อของโฆษณาบริการสุขภัณฑ์
คล้ายถ้อยผรุสวาทฉาบปนจิตใจสตรีเพศซึ่งขบเม้มความรู้สึกกล้ำกลืนอย่างละล่ำละลักที่จะเอ่ยเรื่องชอบพอทรงหนวดของชายหนุ่มหรือไม่ ยามเคียงกายแนบแน่น เหมือนอย่างที่เขาเคยถามเดวีส์หนแรกและเธอเลือกจะยิ้มตอบ อนึ่ง ความสลักสลวยของสื่อพิมพ์ จากการอ้างฝีมือของ โจเซฟ แพ็กซ์ตัน ผู้สถาปนาแบบ CHATSWORTH คฤหาสน์หรูที่สืบทอดโดยตระกูลดยุกแห่งเดวอนเชียร์ ซึ่งเผยแพร่เรื่องที่เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบเรือนกระจกและตีพิมพ์กระแสงานชิ้นใหม่ครั้งออกแบบลวดลายงดงามนั้น ก็เพื่อมีสิทธิ์จะบอกแก่ประชาชนว่าเราควรมีสิทธิพึงใจเช่นใดในทรัพย์สินที่ตนกำลังขายทอดตลาด หากร่วมทศวรรษ มันคงเป็นความหรูหรามั่งมีของชนชั้นสูง ที่ปัจจุบันความบริสุทธิ์เริ่มผันกำแพงมาห้อมล้อมแดนหลุมหลบภัยของวัยชราภาพที่ตายก่อนวัยอันควร รวมถึงพวกเด็ก ๆ ที่กำลังอ่านการ์ตูนและเล่นไพ่ในท่อลำเรียงยังสถานพักพิงใต้ดิน ระหว่างพวกเขาทำการฝึกซ้อมโจมตีทางอากาศ เมอร์ริงยอมรับว่าตนยังไม่ชินตานักในคราวแรก แต่เมื่อผ่านไปสักระยะ ภาพเหล่านั้นในวันวานของความไร้เดียงสา ก็ไม่อาจปลุกปั้นอารมณ์คั่งค้างได้เท่าคำปรารภจากกองพลอีกต่อไป ครั้งทราบข่าวว่าคลังพัสดุเมาท์เพลแซนท์ถูกทำลายลงขณะไม่ทันตั้งตัว ภายหลัง โรงละครแซดเลอร์สเวลส์บนถนนโรสเบอรีก็ถูกยึดตามมา และเพื่อต้องใช้เป็นจุดพักผ่อนสำรองแก่ครอบครัวท้องถิ่นชั่วคราว เนื่องด้วยทางการต้องรีบอพยพให้พลเมืองเข้าถึงจุดนิรภัยหลบระเบิดโดยเร็ว ขณะที่นักแสดงคณะละครยังต้องพเนจรหาเลี้ยงปากท้องด้วยการออกทัวร์อย่างไร้ทางเลือก แม้จะตกอยู่ภายใต้สถานการณ์คับขัน ความจริง เราล่ำรากันด้วยวิธีนั้น— เดวีส์คงหมดอาลัยจากเขาแท้แล้ว เหมือนเช่นที่ไม่เคยติดต่อกลับมา บางครั้ง เมอร์ริงก็ฝืนอดไม่ได้ที่จะไม่นึกถึงแผ่นหลังผอมบางของเธอ ทว่า สิ่งที่คาดไว้ว่ามันจะต้องเกิดที่ใดสักแห่งก็เริ่มขึ้น ในเดือนถัดมา ณ เสี้ยวนาทีนั้น เป็นข่าวที่น่าสลดที่สุดควบเยือนและลงเอย ณ วันที่ 15 ตุลาคม 1940 เมื่ออาคารใต้ดินลึกของโรงเรียนเดมอลิซ โอเวน ถนนกอสเวลส์ ถูกลูกหลงของทุ่นระเบิดทางอากาศโจมตีอาคารโดยตรง ความรุนแรงของมันส่งผลให้ท่อส่งน้ำมันที่อยู่ใกล้เคียงแตก และไม่นานหลังจากนั้น น้ำมันก็ไหลหลากท่วมห้องใต้ดิน คร่าชีวิตผู้คนจำนวนมากในห้องหลบนิรภัย ซึ่งเจ้าหน้าที่เองก็ใช้เวลาค่อนข้างหลายสัปดาห์กว่าจะช่วยเหลือผู้บาดเจ็บออกมาได้ครบ แม้ส่วนใหญ่พวกเขาจะไม่มีโอกาสลืมตาดูโลกซึ่งยังยากลำบากจากการต่อสู้กับการทิ้งระเบิดอย่างต่อเนื่องซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในทางตรงข้าม ทางการกลับรวบความขื่นขมปนสวยงามสอดประสานไว้ในตู้ไปรษณีย์ที่รองรับจดหมายเปื้อนอักษรสื่อพิมพ์ตัวโข่ง เกริ่นความว่า การโจมตีนี้ อาจบั่นทำลายขวัญกำลังใจ แต่ในทางกลับกัน มันทำให้ผู้คนสามัคคีกัน เมอร์ริงจดจำขึ้นใจ ไม่ว่าจะเหนือเนื้อความอ้างว้างบนแผ่นขุยคล้ายสำลีเรื้อนฝนกำลังทำทีปลอบประโลม หรือข้างใต้บรรทัดทึมเทาของประโยคใจกลางหน้ากระดาษยับยู่ ชายหนุ่มกริ่งเกรงว่ามันคงเทียบประหนึ่งบานหน้าต่างของนิตยาสารฉบับแฟชั่นสมัยใหม่ที่นำเข้าใยสังเคราะห์คอตตอนซึ่งออกแบบมาเพื่อให้เรามองโลกได้กว้างไกลและสวยงามกว่า แม้แรกที ผู้คนจะยังไม่จำเป็นหรือต้องการคว้าฉวยเสียขั้นพึ่งพามัน อนึ่ง มีวันที่ยอมก้าวเท้าออกไปสัมผัสผืนหญ้า ก็ย่อมมีวันล่วงล้ำ ดังความเรียงที่ว่า “ถ้าเรามองออกไป เราก็จะเห็น สวนที่ปฏิรูปด้วยเช่นกัน” จั่วพาดหน้าแผ่นพับหลากลำหนาของลายอักษรเล็กใหญ่เยื้อทั่วสัญลักษณ์ราชสีห์เด่นสง่า อันบดทับแผ่นจัตุรัสวงในและต้อนให้หัวข้อถอยร่นลงมาอีกชั้น
ข้างนอกนั่น...มองจากมุมนี้ เมอร์ริงคิดว่าความสูงระดับชานบันไดสิบห้าขั้นและการปฏิรูปที่เริ่มเกิดขึ้นทีละน้อยคงหักโหมแรงงานไปสักพัก หลังอุตสาหกรรมเริ่มนำวงการยานยนต์เข้ามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจ มันทำให้เขาฉุกคิดถึงภาพของเด็กชายหลากวัยที่ยังอ่อนเยาว์และเดียงสาเกินไปสำหรับพิบัติเข้าถึงประสบการณ์ พวกเขาจึงละเล่นไพ่และอ่านหนังสือกันอย่างเงียบเชียบอยู่ในหลุมหลบภัย บางที ที่ที่ปลอดภัยที่สุดของความอึงอลท่ามกลางความอึกทึกครึกโครม ยังกลายเป็นเสียงดนตรีกล่อมนอนสำหรับเด็กเหล่านั้น เขาอยากรู้ ทั้งที่ก็ไม่ได้อยากทราบแก่นแท้ของความซื่อตรงแสนบริสุทธิ์นั้นว่าเด็กชายทั้งหลายจะคิดว่าพวกผู้ใหญ่เช่นเขาจะนำพาหลุมหลบภัยมาเพื่อการละเล่นอยู่หรือเปล่า หากเป็นเช่นนั้น พวกเขาจะปรารถนาแค่มีความสุขเพราะได้เล่นซนในสถานแออัด เบียดเสียดต่างครอบต่างครัว หรือหวังว่าท่วงทำนองของนักบินที่แสดงบทอุปรากรเหนือแผ่นไม้โอ๊กจะปริฉานเป็นสายรุ้งเมื่อใด พวกเขาจะแก่งแย่งความสุนทรีผ่านตัวหนังสือ สมุดพก หรือสีสันของตัวละครบนไพ่เพียงเพื่ออยากประสบความสำเร็จซึ่งนำมาถึงการถูกยอมรับในสถานะของอัตราส่วนเพศต่างวัยอยู่อีกหรือไม่ จากนั้นรสเพศจะยังสำคัญสำหรับความไม่สิ้นสุดในวัยเยาว์หรือเปล่า บางช่วงบางคราว เขาก็ยังรู้สึกว่าคำถามทั้งมวลเหล่านี้ที่ตนเฝ้าหาคำตอบคงเป็นคำตอบของเขาเสียเอง
หลังพระอาทิตย์ตกดิน อาคารหลักจะสว่างไสวด้วยแสงดวงแผ่เหนือผืนครามขนาดใหญ่ ฝูงชนกรูแห่กันตามริมฝั่งแม่น้ำเทมส์และสะพานเวสต์มินสเตอร์เพื่อชมพระเจ้าจอร์จที่ 6 และครอบครัว เสด็จพระราชดำเนินไปตามแม่น้ำด้วยเรือพระราชพิธี หลังสิ้นสุดลงด้วยการแสดงดอกไม้ไฟใจกลางกรุงลอนดอน น่าเศร้าที่กิจกรรมสำหรับเด็ก ๆ ทั้งหลายในพื้นที่สาธารณะ-ขณะนั้น- กลับมีเพียงการ์ดพิมพ์ข้อความ ซึ่งขึ้นต้นด้วยวลี ‘วันนี้ ที่ซึ่งเราเฉลิมฉลองชัยชนะ’ ราวกับบริบทของแก่นสารต้องการจะกล่าวอวยพรแด่ชัยชนะแห่งการเฉลิมฉลองเป็นครั้งถัดไปซ้ำสองในวงการตีพิมพ์ วันข้างหน้า พวกเขาจะลบคำว่าวันนี้ออกไป และแทรกกลบด้วยคำว่าอีกครั้ง เหมือนอย่างความตราตรึงของวิถีชั่ววูบ ท่ามกลางลำสั่นไหวจากดอกไม้ไฟที่ผู้คนในห้องโถงหลบภัยไม่มีโอกาสเห็น— แม้จะครั่นคร้ามเป็นครั้งแรกเช่นเดียวกันก็ตาม
คืนวาน เมอร์ริงครุ่นคุ้นว่าเขาเพิ่งจะเคยได้ยินเสียงหวีดร้องโหยหวน...เป็นครั้งแรก
“จะว่าไป...ผมไม่เคยฝันเลย หลับปางตายเสียกว่า” ชาร์ลส์สำทับต่อ เมื่อเห็นแววจริงจังของชายที่ตนเคารพกลอกม่านนัยน์เหลืออดอย่างเหน็ดหน่าย และไม่ขอเวลานอกปลีกหนีเพื่อสูบบุหรี่ดังเช่นทุกที “แต่เรื่องแบบนี้...เกิดขึ้นได้ครับ”
มันแว่วตามลม...กรองเลื้อยเหนือสายริ้วของบรรยากาศมัวมืดซึ่งกระเซ้าเหย้ายื้อควันบุหรี่รสเฝื่อนในมือเขา— วันวาน
กระทั่งเคลือบบทสวมลมปากของคู่สนทนาผู้อื่น ๆ เบื้องหน้า— หนนี้
แฝงกายแยบยลผ่านความสงัดงันล้นพ้นในน้ำเสียง
ข้างใต้รูปลักษณ์เช่นนั้น...
ชายหนุ่มกล่าวต่อ “อาจเพราะได้รับข้อมูลหรือได้ยินสารบางอย่างติดต่อกันเป็นระยะเวลา ไม่อย่างงั้นก็สักพักหนึ่ง ประสาทสัมผัสที่เคยรับสิ่ง ๆ ใดอาจมีส่วนเข้ามาแทรกทับ ในระยะสั้น ๆ มันจะจดจำได้ดีครับ แล้วถ้ามีเรื่องเล่าแบบปากต่อปากเข้ามาเกี่ยวพัน ไม่ช้า พวกเขาก็จะเข้าใจในสิ่งที่คนอื่นแกล้งถามถึงมันจะเป็นเรื่องไม่จริง”
สมแล้วที่เป็นรหัสหัวกะทิของลำดับอบรม เมอร์ริงครุ่นเยินยอ ขณะตั้งใจฟังอย่างใจเย็น
พยายามจะไม่เสียสมาธิไปกับเสียงหวีดแหลมที่อนุมานที่มาไม่พบ...
“เรียกง่าย ๆ ก็คือ ข่าวลือมักมีอิทธิพลกับความทรงจำของคน มากกว่าการได้ยินผ่านหู แบบนั้นซี—"
“ก็อาจจะใช่ครับ วิธีลำรึกของคนเรา เริ่มจากการใช้เวลาสั้น ๆ จดจำในสิ่งที่จะกลายมาเป็นระยะยาวด้วยลำดับของประสบการณ์ที่— มีต่อตัวหนังสือผ่านทั้งการมองเห็นหรือได้ยิน ยิ่งเห็นภาพชัดเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งเข้าใจมัน” เขาหรี่ดวงตา “แต่ผมไม่แน่ใจนักว่า...ความฝันมันยึดโยงความทรงจำของเราด้วยเหตุผลไหน...ถึงออกมาเป็นเรื่องเดียวกันได้”
“เท่านี้ก็พอแล้ว” เมอร์ริงว่า ตบนิ้วลงบนบ่าเจ้าหน้าที่ฝึกหัดที่ตนคิดว่าอีกไม่ช้าคงได้เลื่อนตำแหน่งเร็ววัน หากไม่ถูกปดท้อด้วยรอยนิ้วมือของเจ้าหน้าที่เขตเกรทเทอร์ลอนดอนรายอื่นเสีย ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังมีอันดับดีเด่นบากหน้าเข้ามาระรานสำนักงานใจกลางเมืองอยู่ไม่เว้นจังหวะ คราวสบโอกาสโน้มตัวเข้าพบผ่านสายตาผู้กำกับของสำนักงานใหญ่
และเมื่อเขาจดจ้องบานหน้าต่างอีกหน เสียงหวีดแหลมของสาวใช้ก็ดังขึ้น
ทว่า ไม่ใช่ห้องของหล่อน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in