คำอุทิศ
ปดแด่ผู้มอดไหม้
สู่ตนไร้ตัวพเนจร
เร้นพจนแม้นวิงวอน
ไต้กองฟอนสุมเงาวิกาล
พึ่งหามารแลบูชาศาสน
–เทียมประพฤติเฉกที่ครหา
 
ความตายหาใช่อื่น เพราะเหตุใดความตายจึงเจ็บปวด หากมิใช่เพราะมันคือสิ่งที่มวลมนุษยชาติต้องรับผิดชอบร่วมกัน
 
             I.              Bookto Relax to When Taking A Break from Work
ข้าพเจ้ารู้สึกราวฝ่ามือและฝ่าเท้าของข้าพเจ้ากำลังเป็นปรปักษ์ มันทั้งหลายเพียงแค่ทำไปตามสัญชาตญาณตามบริบทของแง่งห้าข้อที่แบ่งเซลล์ออกจากกันบนกล้ามเนื้อมัดเดียวกัน วิธีเอาตัวรอดของร่างกายนั้นง่ายเพียงนิด รับผิดชอบอยู่ภายใต้คำสั่งให้หยิบอาหารเข้าปากตักตวง เคี้ยวกลืน ขณะปล่อยให้สมองเสาะหาวิธี วิธี อะไรก็ตามแต่เท่าที่จะเป็นเจ้าของของมันได้ ให้ต่อมรับรสได้ลองสัมผัสรสชาติให้น้ำย่อยในกระเพาะได้ย่อยเศษเสี้ยวชิ้นโอชะ ถ้าไม่ทำ อย่างน้อย คงเสียชีวิตภายใน6-8 สัปดาห์ และหากขาดน้ำร่วมด้วย ก็คงอยู่ไม่เกิน 1-2 สัปดาห์ ปรกติแล้ว หากอาหารที่รับประทานเข้าไปเกินจากที่ร่างกายใช้เป็นพลังงาน จะมีการเก็บสะสมไว้เพื่อนำไปใช้ในตอนที่ขาดสารอาหารโดยสะสมอยู่ที่บริเวณตับและกล้ามเนื้อ เรียกว่า ไกลโคเจน ซึ่งใช้เป็นแหล่งสะสมพลังงาน เมื่อปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดลดลงตับจะเปลี่ยนไกลโคเจนเป็นน้ำตาลกลูโคส และเมื่อร่างกายดึงออกมาใช้เรื่อย ๆ จากนั้นจะมีการสลายตัวไขมัน หรือเรียกง่าย ๆ คือการดึงไขมันของร่างกายออกมาใช้จนหมดโดยเรียกสิ่งนี้ว่า คีโตน เปรียบเสมือนโมเลกุลของน้ำตาล หากสมบูรณ์ถ้วน ครบสิ้นทุกกระบวนการ ร่างกายจากการขาดสารอาหารอย่างต่อเนื่องจึงจะเริ่มดึงเอากล้ามเนื้อโปรตีนออกมาทดแทน
กระบวนการสังเคราะห์เหล่านี้ จำเป็นต้องใช้พลังงานที่ร่างกายเก็บไว้ในรูปของสารสื่อประสาทซึ่งทำหน้าที่นำข้อความจากเซลล์ประสาทหนึ่งไปยังอีกเซลล์หนึ่ง ในฐานะที่ต้องรักษาสมดุล กระบวนการนี้ดำเนินผ่านแคตาบอลิซึม กล่าวคือ การสลายโมเลกุลใหญ่ ๆ ให้เป็นโมเลกุลเล็กลงกระทั่งกลายเป็นน้ำ คาร์บอนไดออกไซด์ และพลังงาน สลายโปรตีนให้เป็นกรดอะมิโนและยูเรีย สลายไกลโคเจนให้เป็นกลูโคส จากนั้นจึงสลายต่อจนได้เป็นกรดแลคติค กรดไพรูวิค คาร์บอนไดออกไซด์ และน้ำ นอกจากจะแปรเปลี่ยนพลังงานจากการสลายนั้น ยังสามารถเกิดเป็นของเสียทั้งกรดและด่างซึ่งร่างกายจำเป็นต้องขจัดทิ้ง
การสลาย เป็นหนึ่งในกระบวนการสำหรับปลดปล่อยพลังงานออกมา
แล้วเอาไปใช้ในการทำงานของอวัยวะ
สืบต่อดังนี้...
“สารวัตรรู้หรือว่า...ทำไมผู้ร้ายถึงต้องตรึงเขาไว้กับขื่อคานเช่นนั้น” 
พฉพ.หรอกหรือ... ข้าพเจ้านึกสงสัยคาดการณ์เพียงไล่ถ้วนจากเชิ้ตสีเรียบสะอาดสะอ้านบนตัวของบุรุษแปลกตา เมื่อผินทิศมองกรอบหน้ายามชำเลืองภาพจริงอันวิปริตลือเลื่อง 
จากองศาใบหน้ามุมซ้ายของเขา อายุอานามคงไม่ห่างเกินข้าพเจ้าเท่าไหร่นัก ภายนอกสวมคลุมด้วยโค้ตผ้าฟลีซสีดำยี่ห้อดี ทั่วทั้งเรือนกายไร้เครื่องประดับส่วนตัวกลืนกินผิวขาวผ่อง ข้อมือสองข้างใต้การประคองกกเหนือแผ่นอกเองก็หนักแน่นชวนให้ข้าเจ้าลอบมองเส้นนูนเข้มอมม่วงขนาบเรียงเป็นระเบียบ ใต้พื้นผิวฝีเท้าเยื้องเงียบเกินคาด แม้จะคู้ขดอยู่ข้างบนฐานเสริมเล็กน้อย หลังพิจารณาถี่ถ้วน ข้าพเจ้าจึงตรึกตรองลำพัง ความว่า เขาคงเป็นหนึ่งในทีมฉุกเฉินการแพทย์ สัดส่วนตามมาตรฐานที่ดูจะไม่เกินเลยไปจากส่วนสูง ๑๘๖ เซนติเมตรของข้าพเจ้า เคลื่อนเอื่อยไม่คลาดสายตาเสี่ยงคะเนในใจ เฉพาะแต่มารยาทสงบเงียบนี้ ก็ดูจะเกินมาตรฐานของเจ้าหน้าที่ที่จะยอมปล่อยให้บุคคลนอกเครื่องแบบปรากฏตัวยังจุดเกิดเหตุ ประการทุกสิ่งยิ่งพะนำต้อนให้ข้าพเจ้าด่วนตัดสินโดยง่ายอย่างไม่จำเป็นต้องเอ่ยไล่ แม้ไร้ล่วงมูลเหตุ
ท่วงท่าเนิบช้าเป็นกันเอง ทว่า กลับทิ้งระยะประชิดใกล้ คล้ายไม่ต้องการให้ข้าพเจ้ามุ่งเจตนาร้ายตอบ กิริยางดงามของเขาชวนให้ข้าพเจ้าเลือกกล่าว “มันกำลังสอนผม” แทนวลี “ห้ามคนนอก” 
“คุณเข้าใจด้วย”
“แน่สิ... ผมต้องอ่านมันทุกคืน โดยเฉพาะเวลาที่ไล่ตรวจใบพิมพ์ชันสูตรบาดแผล”
“เคยมีคนบอกคุณด้วยไหม...ว่าฆาตกรจะชอบกลับมาดูจุดเกิดเหตุน่ะ”
“ไม่เสมอไปดอกคุณหมอ” ข้าพเจ้ายกยิ้มน้อย ๆ ตอบ
ดูเหมือนความผ่อนตึงจากอารมณ์ของข้าพเจ้าจะทำให้เขาคอยจับพิรุธอื่นประดับใบหน้านิ่งงันราวกำลังฉุกถึงเรื่องราวมากมายในเมือง ซึ่งเริ่มทวีเค้าอาชญากรรมไม่เว้นวัน “บางหนบางทีคนพวกนั้นก็สำคัญตัวเกินกว่าจะย้อนกลับมาดูหลักฐาน”
เขาเพิกเฉย ข้าพเจ้าเกริ่นต่อ “งานของผมก็คือต้องกลับมาดูทั้งวิธีและหลักฐานของมันอยู่ทุกวัน” เสมือนภายใต้ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่ทะนงตัวนั้นอยากทะลวงเนื้อตัวข้าพเจ้าเหลือทน แต่เขากลับไม่แสร้งรูปประโยคอื่นแย้งความเป็นไปได้ ตามฉบับของความลับบางส่วนในจรรยาบรรณวิชาชีพ
เขาคงไม่เข้าใจ
หรือคงพยายามจะทำความเข้าใจอยู่ละมัง
ว่าบริบทกระจ่างชัด ตามที่ข้าพเจ้าปริปาก “มันกำลังสอนผม” ท่ามกลางความอึงอลอันสะอิดสะเอียนของวิธีแหลกสลาย ขณะเคลื่อนย้ายร่างผู้ตกเป็นเหยื่อออกจากตำแหน่งพิสดาร หรืออีกนัยหนึ่งคือผู้เสียหาย หายอย่างไม่มีวันหวนคืน กำลังสอน “ตำราเรียน” หรือ “บทเรียน” อย่างใด กระจ่างแก่ข้าพเจ้า
หากค่ำนี้สำนักงานใต้สังกัดที่ข้าพเจ้าปักฐานได้รับสายเรียกเข้าจากสถานพยาบาล ข้าพเจ้าพึงจะให้เขาสอนดีหรือไม่ 
ข้าพเจ้าลองไล่ทวน ขณะแผ่นหลังเย็นเยือกทิ้งแรงสั่นสะเทือนให้ตกตะกอนระหว่างถนนสัญจรค่อย ๆ ถูกพาหนะเกือกหนักลู่ออกคนละปลายทางเคลื่อนลับสายตา
คืนนี้, ข้าพเจ้าคงไม่มีหนังสือเล่มโปรดกล่อมหลังเวลางาน
 
				 
			
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in