แผ่นพับหน้าที่เจ็ดไม่ระบุหัวเรื่องตีพิมพ์ปลายศตวรรษที่ 15 กล่าวว่าแม่มดคนหนึ่งในเมืองเมอร์เกลทัลได้ลงมือฆ่าเด็กกว่ายี่สิบชีวิต หน้าถัดไปพับปลายหมิ่นเหม่ระบุพาดหัวสาธยายต่ออีกว่าที่เมืองบัมแบร์กและโคโลญทราบนามหนึ่งในหญิงชราหม้ายเป็นหมอตำแย ส่วนอีกสองคนยังมิได้รับการพิสูจน์
พิสูจน์แบบใด ข้าพเจ้าหาได้ทราบ หากแต่มีข้อความข้างใต้ระบุกำชับใจความสั้น ๆ พบร่างของเด็กทารกแรกเกิดถูกปรุงสุก อ้างมีเพื่อกินบำรุงหรือปรุงสำหรับทำยาเสน่ห์แลยังมีร่างอื่น ๆ สักเล็กน้อย มิทราบการประมาณ ถูกขุดขึ้นมาเป็นหนึ่งในส่วนผสมของขี้ผึ้งแม่มด สายตาหยุดชะงัก เหนือขอบบรรทัดเว้นห่างตัวอักษร
มีอีกหรือ ข้าพเจ้าส่ายศีรษะ เอือมระอากับสิ่งทรงจำห้วงลึก ครั้นพยายามชั่งใจกลบล้างอาการหวาดระแวงใต้ทรวงอก ถึงดวงตาหลีกเร้นความมัวเมา ซึ่งข้าพเจ้าเคยได้สบตอบอยู่หนหนึ่ง ความโอหังของมันปลิ้นชอนนัยน์เว้า แปรผลิกเปลี่ยนด้าน ราวต้องการจะกำบังก้อนกลมหลุบต่ำโสมมเสียจนรูปลักษณ์ดูแผกต่างมนุษย์มนา รอยวาวแววแฝงลมหายใจเฮือกระทวยเผยดวงซีดขาว หากแต่บอดสนิทต่อหน้าสาธารณะชน ขณะถูกคบเพลิงของเพชฌฆาตจุดโลมเลียเนื้อกายมาหมาด ๆ กลิ่นไหม้พวยพุ่ง ทะยานสู่ห้วงอากาศอันแห้งแล้งเหนือกองฟางฟ่อนหนา สาบเนื้อค่อนสุกชวนคลื่นเหียนในหมู่มนุษย์กันเอง ฉุยปรุงผืนครามจนอากาศธาตุเริ่มกลืนอนธการกับดวงเขม่า คลายก้อนแตกกระจายใต้หลังคาประชาเรือนเส้นริ้วสีเทาตวัดลากเงายมทูต กวักมือเรียกเหล่าแร้งกาหลายตัวให้มารวมกันยังลานประหาร
หลังบั่นคอเสียรุ่งริ่ง หาใช่เพราะวิเศษเกินมนุษย์ดอกหรือ ที่ข้าได้เกิดมาเป็นบุตรคนรับใช้ใต้คำบังคับบัญชาของท่านผู้พิพากษาในเมืองใหญ่ ขณะสิ่งที่ข้าพเจ้าถูกอบรมมานั้นยังมินับปทุมถันสองเต้าจากเพศเมียรวมเข้าหาหนึ่งในเรา แม้มีสำหรับเลี้ยงบุตรเฉพาะ สามารถยืนสองขาทั่วกันแลมีเครื่องเพศแบ่งออกเป็นแฉก ก็ยังนับว่ามิใช่มนุษย์ เพราะตัวของพวกนางอัปลักษณ์ยิ่ง พิกลพิการเกินกว่าจะวิวัฒนาการได้เหมือนอย่างเรา ๆ
บุรุษถมเถ ผู้ถูกเยินยอได้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตแข็งแกร่งเหลือคณาลือทั่วถิ่นแดน ตัวอักษรพิมพ์หนาของสิ่งพิมพ์รังแต่จะขับเน้นให้สายตาของข้าพเจ้าพิจารณา จมปรักคำขานปนรวมอยู่ในคำสบถเขียนติดมาอย่างทื่อตรง ระบุถึงชาวชนบทพวกนอกรีตนี้ ใคร่แต่จะบูชาซาตาน แลเน้นผรุสวาทมาดร้าย จนแกนหยาบช้าเหลือเพียงหญิงผู้ซึ่งก้าวร้าว มุ่งอาละวาดชาวบ้าน ทั้งยังข่มเหงแลหมกมุ่นในกาม จนกลายเป็นหญิงนอกใจ เหนือสิ่งอื่นใด เรื่องเพศของผู้หญิง กระนั้น ยังขัดเกลาให้คนพวกนี้ใช้เวทมนต์กำบังกายได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้น กล่าวคือ พวกหล่อนจะเชื่อฟังแค่ปิศาจ แลเสพสังวาสร่วมเพียงซาตานตนเดียว อนึ่ง ข่าวก่อนหน้าที่ข้าพเจ้าชำเลืองเห็นวานก่อนพยานผู้หนึ่งเปรยแจ้งข่าวแก่ทหารราบเบาขณะทำหน้าที่ลาดตระเวน แถลงกระจ่างเรื่องตนพบหญิงชราเปลือยเปล่าในมุมตรอกหลืบมืด ผมเผ้ายาวเขรอะกรังเกินจะพรรณนาความน่ารังเกียจอันยิ่งยวด พ่วงใบหน้าคดเคี้ยวปานถูกตัดทอนจนบิ่นสัดส่วนสมประดี แผ่นหลังโก่งงอคล้ายสารรูปนั้นกำลังอุ้มชูร่างอันไร้วิญญาณของสรรพสิ่งบางชนิดแนบอก บุรุษท่านนั้นหารือผู้พิพากษาสมทบร่วมผู้ร่างกฎหมาย ง่ายเพียงย่างก้าวไม่กี่ตารางเมตรก็สั่งการปลายหมึกได้ทันท่วงที ข้าพเจ้ารู้ดีเชียว เพราะเขาเป็น
นักบวช พลบค่ำโบกสะบัดวิกาลเยือนคราบอาวรณ์ เรือนทุกหนแห่งตามบาทวิถีจึงปิดบานหน้าต่างเสียตั้งแต่อัสดงยังไม่คล้อย ผืนฟ้าหลังดวงฤกษ์ผสานกลืนน้ำหนักม่วงอมส้มบางเบาจรดเข้าหากัน แสร้งอวดให้ข้าพเจ้าเพ่งดูเงาของตนขณะทอดน่องระหว่างทางกลับแหล่งพำนัก สายตาแส่รู้ของข้าพเจ้าทำทีมองข้ามพลแม่นปืนในทิศตรงกันข้ามเยื้องหางตา ผู้ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ด้วยกิริยาขึงขันพร้อมใบหน้าขมวดทุกข์ ยามชักทรงกระบอกแท่งยาวออกมาสาดกระหน่ำตามข้อนิ้วสั่งการของฆราวาสผู้หนึ่งอย่างไม่คิดชีวิต
จะคิดอย่างใดได้หรือ ในเมื่อปิศาจอยู่ตรงหน้า
ปิศาจนอกรีต พึงประสงค์ชีวิตยากแสนเข็ญมิควรหยั่ง ประหวั่นพรั่นพรึงนอกเสียแค่มีนามไว้ประดับเพียงเศษเถ้าอนาถาให้ผู้ยืนชนม์สำราญใจ ที่ถ้าหากไม่สามารถอยู่บนฐานจริยธรรมได้ลงร่องลงรอยคราใด ก็มิเป็นอันสิ้นชีวาโดยหนึ่งในน้ำมือของบุรุษหลากยศฐาเบื้องหลัง
กระสุนม้วยมรณา หนึ่งในสัญญะสงครามภายหลังสู้รบชาวเปอร์เซีย อาวุธสำคัญในสนามรบก็ขาดสิ่งนั้นไปมิได้ มันพรากกบฏทุกหมู่เหล่าออกจากชีวิตเรียบง่ายในถิ่นเราได้อย่างเหมาะสมยิ่ง แม้กระทั่งสิ่งกังขาทั้งมวลผ่านข้อติเตียนของคำบัญชาการก็เว้นสิ้นแรงกวดขัน การเล่าเรียนของข้าพเจ้าเองก็ล้วนแล้วแต่น้อมนำคำสอนอันบริสุทธิ์จากพระผู้เป็นเจ้ามาประโลมจิตใจ บนโลกใบนี้ มีได้เพียงเอกเทวนิยม สูงส่งกว่ามนุษย์เดินดินทั้งปวง หาได้แทนตนเป็นอื่นเทียบความงามเฉกเหนือพระผู้เป็นเจ้าไปได้
“เจ้ากินอะไรแล้วหรือ” เมื่อบานพับถูกเงื้อมือใครผู้หนึ่งเปิดรับจากฝั่งด้านใน ข้าพเจ้าจึงห่มกระซิบลมปากแผ่วเบา ราวหวาดวิตกว่าทหารราบนายอื่นจะมาได้ยินบทสนทนานี้เข้า
"..." สิ่งมีชีวิตตนนั้นปิดปากเงียบ อิริยาบถเฉื่อยชาเพียงลมหายใจเรี่ยวเรื่อยเปลี่ยนทิศชี้ข้อนิ้ว เบียดบี้แผ่นกระดาษที่ข้าพเจ้าพอเริ่มกระจ่างออก ว่ามันคงมาจากตำราบางเล่มในห้องสลัวเชิงเทียนของข้าพเจ้าเอง นัยสารปรากฏอักษรที่ข้าพเจ้ากวาดสายตาอ่านไม่รู้ความ
ผู้นั้นคงพินิจเหงื่อกาฬเคียงกรอบหน้าของข้าพเจ้า เนิ่นนาน, ร่างสลัวเลือนใต้เงามืดจึงยกแขนไขว้กันเป็นพัลวัน แปลงนัยยะจากถิ่นพำนักให้ตีความ
ข้าพเจ้าขบกรามแน่น “ข้า...มิเข้าใจ” ยากเสียจะยอมรับว่าตนช่างโง่เขลา
ต่างถิ่น ใยข้าพเจ้าจะใคร่ถามไถ่ซ้ำ เพราะครอบครัวของข้าพเจ้าเองก็เป็นอื่น ข้าพเจ้าพลัดถิ่นมายังเมืองนี้ด้วยปัญญาบริสุทธิ์ ปราศจากอุดมคติคาดหมาย กฎแห่งการยอมปล่อยทุกสิ่งไปตามครรลองจึงเฉือนเอาเลือดเนื้อของข้าพเจ้าลงสู่ขุมนรกเฉกเช่นกัน แรกเริ่มเดิมที ข้าพเจ้าอาจมางเมินสติแห่งเยาว์วัย ผลักไสความปราดเปรื่องว่าเป็นเรื่องลวงเพื่อล่อบุรุษโง่งม น้อมเอากลิ่นคาวเลือดในตรอกของผู้ถูกเชือดติดกลับเรือนมาด้วย มารดาของข้าพเจ้าถูกเหล่าทหารราบหนักจู่โจมเพราะเนื้อตัวโสโครก บิดาของข้าพเจ้าเองก็ดี ท่านทั้งสองปกป้องปากท้องของบุตรชายแลบุตรธิดากระทั่งตรอมใจตาย สุมทับกาฬโรค อหิวาตกโรค วัณโรค รวมไข้ทรพิษ คงเป็นหนึ่งในกิจตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งได้ตอบแทนความกระจ่าง ในสิ่งไร้มนุษยธรรม เศษกักขฬะ เดนกเฬวราก เปื้อนน้ำบ้วนเลนเหนียว น้ำคร่ำแทรกรอยแยกเคล้าเศษธุลี ข้าพเจ้าเห็นมันซึมลึกจนเชยชิน หากข้าพเจ้ามิแปลงตัวผันเป็นผู้รักษา ข้าพเจ้าจำต้องอยู่ในเรือนเบี้ยแลตกอยู่ในเศษเดนใต้ล่างของเครื่องรับใช้จากผู้ดีมากหน้าเหล่านั้นถมถุยลงมา หนหนึ่ง สหายของข้าพเจ้าเคยถูกล่วงเกินแลย้ำให้ทนรับน้ำบ้วนจากปากต่อปาก หากปฏิเสธข้อต่อรอง ใต้พสุธาจะผุดแยกจากเรือนปลูกสร้างมาเป็นอะไรได้ หากมิทนรับน้ำหนักของฝ่าเท้าหยาบกระด้างเหนือศีรษะ อันมีไว้เหยียบย่ำสิ่งต่ำตมต่ำช้า โคลนหรือ ข้าพเจ้าเกลี่ยเศษเปื้อนหินทรายออกจากใบหน้าของหล่อน แสงนวลจากดวงบริวาลตกกระทบพวงแก้มอุ่น คล้ายกลีบผกาบานระย้าเรื่ออ่อน ชวนให้ข้าพเจ้านึกถวิล อยากดึงหล่อนออกมาจากเงามืดสลัวใต้แสงนัยน์ทอประกายสุกปลั่ง คลอนสั่นแววน้อย ๆ ตอบรับตัวตนของข้าพเจ้า
ความอ้างว้างนี้มิเคยมืดบอดข้าพเจ้ามัวเมาสิ่งไร้เศษหวังเช่นนี้มาตราบเท่าใด นอกเสียจากเปลวเพลิงสุมกองฟางใต้ปลายเท้าตน ควรต้องเพรียกหาแสงสว่างอื่นเล่า ดวงหน้าของผู้ทรชนคือร่างทั้งเป็นสองพี่น้องไร้ถิ่นอาศัยถูกไล่ตะบี้ออกจากครอบครัวบุญธรรม ด้วยเหตุเลี้ยงดูบุตรธิดาของแม่มด เสียงกระซิบทั่วสารทิศเอ่ยย้ำว่าข้าพเจ้าคือบุตรชายจากตระกูลนอกรีต ข้าพเจ้าลอบมองแสงเทียนดวงเล็กเรืองไสวใกล้ดับสิ้น รุ่งอรุณสาดปรกความแผดแสบ ซุ่มเสียงสรรเสริญกู่ตะโกนเพื่อผลักไสความเป็นเหล่า ‘ฆ่ามัน! แม่มด! ฆ่ามัน!’ แสงแรกวาดเส้นหยาบ ๆ กระทบเฉียดม่านฉาก คล้องจูงกระแสลมวูบหนึ่งไหวเยือนดวงพร่า ข้าพเจ้าพลันตระหนักถึงตำราเล่มหนาคืนนั้นคืนวาน ณ ขณะที่เงาทอดสูงใต้แสงหลืบจำจากตัวข้าพเจ้าเอง เริ่มมลายสิ่งบดบังเคลื่อนห่างเปลือกดวง เบื้องหน้าของข้าพเจ้าจึงเหลือทิ้งภาพสตรีร่วมบุพการีเดียวกัน เพียงแต่นางช่างเยาว์โขกว่าข้าพเจ้า
แผกรอยแยกเริ่มเด่นชี้ซากสัตว์ปีกสีเนื้อของแมลงกลางคืนตัวใหญ่ ที ละ น้อย... ถูกบี้ ตรึง รูปโฉม ที......... เหยียดเผละขดลาย ละ...... บนปีกงาม น้อย..... แม้เละแบน มวลเหลวทะลัก ที หลุดละน้อยจากแก่น เปรอะเนื้อหมึกเลือนอักษรเคยร่ำท่อง
แจ่มชัดเหลือล้นยามนี้, มันคงติดกับแสงสว่างของเปลวเทียนกระมัง
วิบไหวเดียวในรัตติกาล, ใยอาจหนี
pic via: Autoportree kibuvitsaoksaga by Luts, Karin (autor) - 1943
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in