ตอนแรกเราเข้าใจมาตลอดว่า SPLIT เป็นหนังโรคจิต เพราะเคยได้ยินแบบผ่านๆ ว่าหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กผู้หญิงสามคนที่ถูกลักพาตัวโดยชายคนนึงที่มี 23 บุคลิก
ได้ฟังผ่านๆ มาแค่นี้ แล้วไหนคนรอบตัวจะบอกว่าไม่กล้าดูหนังเรื่องนี้อีก เราก็ฟันธงลงไปสุดใจเลยว่ามันต้องจิตมากๆ มีฉากซาดิสต์ ฉากทรมานหรือเลือดสาดอะไรสักอย่างแน่ๆ
แต่เอาเข้าจริง... พอได้ดูจริงๆ แล้ว... มันไม่ได้จิตแบบนั้นแฮะ ไม่ได้ใกล้เคียงเลยสักนิดเดียว
เควิน (เจมส์ แมคอะวอย) ป่วยเป็นโรคหลายบุคลิก (Dissociative Identity Disorder: DID) ซึ่งมี 23 บุคลิกอยู่ในตัวเอง ซึ่ง 23 บุคลิกที่ว่าล้วนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงราวกับเป็นคนละคน มีทั้งผู้ชาย ผู้หญิง เด็ก และแน่นอนว่าแต่ละบุคลิกต่างก็มีชื่อเป็นของตัวเองด้วย แบร์รี่จะหลงใหลในเรื่องของแฟชั่นมาก เดนนิสจะเคร่งขรึมจริงจังและเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive-Compulsive Disorder: OCD) ส่วนเจ้ดนั้นป่วยเป็นเบาหวานและต้องฉีดอินซูลีน แพททริเซียจะเป็นผู้หญิงนิ่งๆ เนี้ยบๆ แล้วก็มีเฮดวิก เด็กชายอายุ 9 ขวบ ฯลฯ ซึ่งเวลาใดจะเป็นบุคลิกไหนนั้น ก็แล้วแต่ว่าใครจะมีพลังมากกว่าและสามารถแย่ง "แสง" มาได้ ซึ่งแต่ทั้ง 23 บุคลิกที่เกิดขึ้น ต่างก็มีไว้เพื่อปกป้องเควินทั้งสิ้น
วันหนึ่ง เควินได้ลักพาตัวเด็กสาว 3 คนมาขังไว้ ซึ่งหนึ่งในนั้นมีเคซี่ (อันย่า เทย์เลอร์-จอย) รวมอยู่ด้วย ไม่มีใครรู้ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น และแล้วทั้งสามได้พบกับเดนนิสก่อนเป็นคนแรก ตามด้วยแพททริเซีย แล้วก็เฮดวิก
และเราว่านะ... ความจิตที่ใครต่อใครว่ามันอยู่ตรงนี้แหละ
ลองนึกภาพตามว่าผู้ชายคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเรา คนที่ชอบทำหน้าเคร่งขรึมใส่เชิ้ตติดกระดุมทุกเม็ดยันคอ พอเดินออกจากห้องไปแล้ว สักพักกลับเข้ามาใหม่ใส่กระโปรงจิกส้นสูงพูดจาเนิบๆ จริตจะก้านแบบผู้หญิง พอหายไปแล้วกลับมาอีกทีก็ทำตัวเหมือนเด็กแถมยังบอกว่าตัวเองอายุ 9 ขวบอีกต่างหาก
ลำพังแค่โดนคนธรรมดาลักพาตัวมาก็น่ากลัวจะแย่ นี่โดนคนประหลาดๆ ที่บุคลิกเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ตลอดเวลาจับตัวมา ถ้าไม่จิตก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้วววว
เราชอบฟิลของหนังตรงที่ว่า ทุกครั้งที่เควินโผล่มา (ไม่ว่าตอนนั้นจะเป็นใครก็ตาม) เราจะเกร็งและลุ้นทุกครั้งว่าจะมีความรุนแรงหรือการกระทำที่มันโรคจิตเกิดขึ้นรึเปล่าเพราะบุคลิกนั้นเอาแน่เอานอนไม่ได้แถมเราก็ไม่รู้ว่าเค้าจับเด็กๆ มาทำไมด้วย ขนาดตอนไปพบกับคุณหมอเฟลทเชอร์ซึ่งเป็นจิตแพทย์ประจำตัวยังมีแอบเกร็งๆ เลยกลัวว่าหมอจะโดนหักคอรึเปล่า 55555555
หนังจะค่อนข้างเล่นกับคำว่า "ความเชื่อ" พอสมควร คุณหมอเฟลทเชอร์บอกว่า คนที่ป่วยเป็นโรค DID ถ้าเค้าเชื่อว่าตัวเองเป็นใครหรือเป็นอะไร เค้าก็จะเป็นแบบนั้นได้จริงๆ ละพอหนังมันปูมาแบบนี้ มันก็เลยช่วยซัพพอร์ตให้กับตอนท้ายเรื่องที่เหมือนจะไม่เมคเซนส์ให้มันเมคเซนส์ได้ ถึงตอนท้ายๆ จะมี "อะไรวะ?" กับ "อ้าว เฮ้ย เอาแบบนี้เลยเรอะ!?" อยู่ไม่น้อยเลยก็เถอะ แต่เพราะปูมาแน่นดี มันก็เลยโอเคแล้วก็พอหยวนๆ ให้ได้ แถมยังจบแบบปลายเปิดทิ้งปมอะไรเอาไว้พอสมควรด้วยเลย คิดว่าผู้กำกับคงคิดเผื่อไว้แล้วล่ะ ถ้ากระแสดีก็คงจะมีภาคต่อแน่ๆ
สรุปรวมๆ ว่า SPLIT ไม่ใช่หนังทริลเลอร์ที่จิตอย่างที่ใครเค้าว่ากันไว้ ไม่มีซาดิสต์หรือซีนที่เป็นพิษเป็นภัยกับสภาวะหัวใจขนาดนั้น เจมส์ แมคอะวอย (ที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันในฐานะชาร์ลส์ ซาเวียร์ตอนหนุ่มๆ จากเรื่อง X-MEN) แสดงได้ดีมากๆ สีหน้า แววตา และวิธีการพูดทำให้เรารู้ได้ไม่ยากเลยว่า ใครกันที่กำลังได้ "แสง" อยู่ตอนนี้ เป็นหนังที่ดูไม่ยากค่ะ มีโอกาสก็ไปดูกันนะ :)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in