เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
#wirunfica week before valentine
Going Out (UshiOi / Haikyuu)
  • Fan Fiction Haikyuu

    Ushijima Wakatoshi x Oikawa Tooru





    Going Out






    ชิมิสึ คิโยโกะ ไม่ใช่ผู้หญิงช่างพูด เธอไม่ได้สนิทสนมอะไรกับเพื่อนผู้หญิงเป็นพิเศษ มีบ้างที่ได้พูดคุยกันตามประสา แต่เพราะเธอมักใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการดูแลเหล่าสมาชิกของชมรมวอลเลย์บอล โรงเรียนคาราสึโนะ ดังนั้นเธอจึงเป็นผู้หญิงประเภทที่ แทบไม่รู้เรื่องข่าวกอสซิปซุบซิบนินทาอะไรอย่างนี้เลย

    ทว่าครั้งนี้ต่างออกไป

    คิโยโกะไม่ได้รู้เรื่องนี้จากคำบอกเล่าของคนอื่น ทว่า… เธอพบเจอมันด้วยตัวเอง





    ใคร ๆ ก็รู้จักโออิคาวะ โทโอรุ แห่งอาโอบะโจไซ

    อาจไม่ใช่ในฐานะกัปตันทีมวอลเลย์บอลระดับมัธยมปลายที่มีชื่อเสียง แต่เป็นเพราะบุคลิกและรูปร่างหน้าตา ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าผู้ชายคนนี้มีเสน่ห์ สาวน้อยสาวใหญ่ตั้งตนเป็นแฟนคลับของเขาทั้งในและนอกโรงเรียน มีนัดแข่งที่ไหนสนามแข่งแทบพังเพราะเสียงกรี๊ดเชียร์อันทรงพลัง

    และบังเอิญว่า วันอาทิตย์หนึ่ง ชิมิสึ คิโยโกะ บังเอิญพบโออิคาวะ โทโอรุที่สถานีรถไฟ

    เด็กหนุ่มมีท่าทีรีบร้อนจึงไม่เห็นเด็กสาวเจ้าของใบหน้าเรียบเฉยที่เหลือบมองเขาอยู่ เขาแต่งกายด้วยชุดทะมัดทะแมง สาวเท้าเร็ว ๆ ไปตามชานชาลาเหมือนกำลังตามหาบางอย่าง

    นัยน์ตาสีนิลใต้กรอบแว่นของผู้จัดการสาวแห่งคาราสึโนะมองตามร่างสูงที่แทบจะวิ่งบนชาลา และพบกับคนที่ทำให้ใบหน้าที่เรียบเฉยอยู่เสมอของเธอฉายแววประหลาดใจออกมา

    คน ๆ นั้นก็คือ อุชิจิมะ วากะโทชิ





    ระยะห่างของจุดที่เธอยืนอยู่กับสองคนนั้นไม่ไกลกันมากนัก ดังนั้นคิโยโกะจึงพอได้ยินเสียงสนทนา

    คนที่เพิ่งมาพอเห็นคนที่รออยู่ก็ชะงัก ท่าทางรีบร้อนเปลี่ยนไป ทำท่าเหมือนจะขอโทษ แต่ก็ไม่ ริมฝีปากบางเม้มแน่น และคนที่รอก็มองนิ่ง ๆ

    ผ่านไปสักพัก คนทำผิดก็ยอมพูดเอง “ขอโทษที ฉันมาสาย”

    อุชิจิมะส่ายศีรษะไปมาเป็นเชิงว่า ไม่เป็นไร

    สองคนนั้นคุยอะไรกันอีกนิดหน่อย สีหน้าของอุชิจิมะ วากะโทชิไม่ค่อยเปลี่ยนนัก แต่คิโยโกะพอมองเห็นแววตาอ่อนโยนที่อีกฝ่ายทอดมองคู่สนทนา ส่วนอีกคน พอพูดกันได้สักสามประโยคก็จะทำหน้าบึ้งหนึ่งที สักพักก็วางมาดเหมือนจะเหนือกว่า แล้วก็ทำท่ายอมแพ้ในเวลาต่อมา

    ปฏิกิริยาเหล่านี้เกิดขึ้นซ้ำ ๆ จนน่าตลก แต่มองไปมองมาก็ดูเข้ากันดี

    คิโยโกะตั้งสมมติฐานไว้ในใจ... กัปตันเซย์โจกับกัปตันชิราโทริซาวะ ไม่น่าจะเป็นบุคคลที่นัดกันมาเจอที่สถานีรถไฟได้ พวกเขาน่าจะไม่ถูกกันไม่ใช่หรือไง?

    ตอนนั้นเอง รถไฟก็เข้าเทียบชานชาลา เธอจึงปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปและคิดว่าไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นต้องใส่ใจ

    ทว่า เมื่อถึงสถานีปลายทางและก้าวออกจากขบวนรถ เด็กสาวก็ต้องประหลาดใจอีกครั้ง

    สองคนนั้นลงสถานีเดียวกับเธอ

    มันเป็นสถานีที่คนส่วนใหญ่ลงกัน นั่นไม่น่าแปลกใจนัก เพราะย่านนี้คือย่านการค้า อยากซื้ออะไร หายากแค่ไหน มั่นใจได้ว่าที่นี่มีแน่นอน

    และนั่นก็เป็นเหตุผลที่คิโยโกะมาที่นี่เช่นกัน …เธอมาซื้อของ

    แต่สองคนนั้นมาทำอะไร?

    เธออาจมองผ่านเรื่องเหล่านี้ไปอย่างไม่ใส่ใจก็ได้ แต่เมื่อพบเจอกันบ่อย ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะเก็บรายละเอียด เผื่อมันจะเป็นประโยชน์ในอนาคต

    ใกล้ ๆ นี้มีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่มีทั้งโรงภาพยนตร์ ร้านอาหาร และร้านขายของจำนวนมาก เป้าหมายของเธอคือที่นี่

    คิโยโกะเหลือบมอง โออิคาวะกับอุชิวากะเดินคุยกัน (โออิคาวะพูดอยู่คนเดียว) อยู่เยื้องไปทางด้านหลังเธอ และเหมือนจะไม่เห็นเธอ

    หน้าทางเข้าห้างสรรพสินค้ามีร้านขายซอฟต์ครีม ปกติคิโยโกะจะเดินผ่านไปอย่างไม่ใส่ใจ ทว่าวันนี้เธอจงใจเดินห่างออกมาแต่พอมองเห็นร้านนั้นได้

    อุชิวากะกับโออิคาวะหยุดยืนหน้าร้าน

    คนตัวเล็กกว่าทำท่าทางสนใจซอฟต์ครีม หลังจากชี้ ๆ สั่งรสชาติที่ตนพอใจก็หันมาถามอีกคน พอโดนส่ายหน้าปฏิเสธก็มุ่นคิ้วเหมือนไม่ค่อยพอใจ แต่ก็ซื้อซอฟต์ครีมมาสองโคน แล้วยัดเยียดให้อีกคนรับไป

    อุชิวากะขมวดคิ้วนิดหน่อย แต่ก็ยอม เพราะยังไงค่าซอฟต์ครีมก็เป็นเงินเขา... และเมื่อได้ชิมรสชาติก็พบว่ามันอร่อยดี

    โออิคาวะหันมาทำหน้าเหนือกว่า “บอกแล้วว่าอร่อย” ก่อนจะก้มหน้าก้มตาละเลียดกินส่วนของตัวเอง แล้วพากันเดินเข้าห้างฯ ไป





    แน่นอนว่าทุกการกระทำอยู่ในสายตาของชิมิสึ คิโยโกะ

    นี่ออกจะผิดวิสัยไปเสียหน่อย ทั้งตัวเธอที่มาตามสังเกตการณ์ชาวบ้านเหมือนโรคจิตชอบสะกดรอย และสองคนนั้นที่ท่าทางเหมือน... มาเดทกัน?

    น่าสนใจ

    รู้สึกตัวอีกที คิโยโกะก็ละทิ้งเหตุผลที่มาที่นี่ไป แล้วเปลี่ยนเป้าหมายเป็นการตามดูสองคนนั้นแทน





    “ดูหนังไหม?”

    หน้าโรงภาพยนตร์ที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน เพราะเป็นวันหยุด อุชิจิมะ วากะโทชิ หันมาถามเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้าง ๆ

    โออิคาวะพยักหน้าหงึกหงัก ชี้ไปที่โปรแกรมหนังที่ฉายอยู่บนจอ “เรื่องนั้นน่าสนุกนะ ฉันดูเทรลเลอร์แล้ว”

    “งั้นก็ดูเรื่องนั้นแหละ”

    “นายไม่มีเรื่องที่อยากดูบ้างเหรอ”

    เจ้าของผมสีน้ำตาลอ่อนหันมาถาม สีหน้าลำบากใจนิด ๆ แต่คนโดนถามยักไหล่

    “ฉันไม่ชอบหนังรัก”

    “…บังเอิญว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวที่ไม่ใช่หนังรักสินะ” เซตเตอร์หนุ่มบุ้ยปากพึมพำ “ไร้ความโรแมนติกจริง ๆ”

    คนโดนว่าเลิกคิ้ว “หรือนายอยากดูหนังรักกับฉัน?”

    โออิคาวะเลิกคิ้วบ้าง “ก็ไม่เห็นแปลกเลย คนเดทกัน ดูหนังรักด้วยกัน เรื่องธรรมดา”





    คนเดทกัน?

    ถ้อยคำที่พอจับใจความได้ ทำให้นัยน์ตาสีนิลของคนแอบมองเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ถ้าเธอเป็นสาว ๆ คนอื่นอาจจะตกใจกรี๊ดลั่นแล้วรีบยกมือปิดปากอย่างลืมตัว แต่ผู้จัดการสาวเพียงแค่เม้มปากแล้วสังเกตการณ์ต่อไป

    สุดท้ายสองคนนั้นก็เลือกหนังรักสักเรื่องในโปรแกรม คิโยโกะก็เลือกจองตั๋วรอบเดียวกัน ดูเหมือนจะเป็นรอบบ่ายสอง แต่ตอนนี้เพิ่งสิบเอ็ดโมงครึ่งเท่านั้น

    เด็กสาวมองนาฬิกาที่บนผนังส่วนบ็อกซ์ออฟฟิศ หันมาอีกที สองหนุ่มก็เดินกลับลงไปในส่วนร้านอาหาร เธอจึงรีบเดินตามไป รักษาระยะห่างไม่ให้น่าสงสัยมากนัก





    โออิคาวะกับอุชิจิมะเลือกร้านอาหารสไตล์ยุโรปเล็ก ๆ ราคาไม่แพง หลังจากสั่งอาหารกันเสร็จสรรพก็นั่งรออยู่ที่โต๊ะใกล้ทางออก ติดกระจกของร้าน รอครู่เดียวพนักงานก็ยกอาหารมาเสิร์ฟ

    อุชิจิมะเหลือบมองคนที่เริ่มจัดการกับอาหารของตัวเองก่อนพูด

    “ฉันเห็นผู้จัดการของคาราสึโนะ”

    โออิคาวะได้ยินแล้วก็ยักไหล่ “เห็นแล้วล่ะ ยายนั่นดูเหมือนจะตามพวกเรามา”

    “งั้นที่อุตส่าห์ถ่อมาตั้งไกลก็ไม่มีความหมายสิ”

    กัปตันเซย์โจทำท่าเหมือนจะหัวเราะ “ไม่ต้องห่วงหรอก ผู้หญิงคนนั้นไม่เหมือนคนอื่น เธอเห็นก็เท่ากับไม่เห็นนั่นแหละ ถ้าไม่มีใครไปถาม และก็คงไม่มีใครถามเธอด้วย ดูท่าทางปากหนักขนาดนั้น” เด็กหนุ่มใช้ส้อมชี้ ๆ อาหารในจานคนตรงข้ามอย่างเสียมารยาท “แล้วนายจะไม่กินหรือไง เลิกถามแล้วกินได้แล้ว”

    อุชิจิมะมองอาหารในจาน ก่อนที่นัยน์ตาสีนิลจะหรี่ลงเล็กน้อย แล้วเอ่ยเสียงเรียบ ๆ “ไม่คิดจะป้อนฉันเหรอ”

    โออิคาวะแทบสำลักพาสต้า เหลือบตามองอีกฝ่ายอย่างอึ้ง ๆ เสียงและสีหน้าของคนตรงหน้าทำให้เดาไม่ออกว่าพูดเล่นหรือพูดจริง เขาเลยต้องถามกลับ “…นี่พูดเล่นหรือยังไง?”

    กัปตันชิราโทริซาวะทำท่าเหมือนจะยิ้ม “คิดว่าไงล่ะ?”

    คนโดนถามกลับทำปากขมุบขมิบอย่างโกรธ ๆ แต่ก็ยอมตัดเนื้อสเต็กจิ้มเข้าปากอีกฝ่ายแต่โดยดี ทำเป็นไม่เห็นแววพราวระยับในนัยน์ตาสีนิลนั่น

    “อร่อยเหลือเกินนะ ที่เหลือกินเองเลย ฉันจะกินของฉัน”

    ว่าพลางทำท่าแลบลิ้นใส่ แล้วม้วนเส้นพาสต้าของตนกินต่อ





    ภาพที่เห็นเรียกความตกใจจากคิโยโกะได้มากขึ้น

    เธอนั่งอยู่ร้านกาแฟฝั่งตรงข้าม มองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นชัดเจน เพราะสองคนนั้นนั่งติดกระจกร้าน บรรยากาศหวาน ๆ แปลก ๆ ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นพานให้อยากหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปไว้เหลือเกิน

    แต่เธอไม่ได้ทำหรอก

    คิโยโกะถือว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคลของสองคนนั้น เธอไม่คิดจะก้าวก่าย แค่สังเกตการณ์ด้วยความสนใจนิด ๆ หน่อย ๆ และไม่ต้องคิดด้วยว่าเธอจะไปปล่อยข่าวแปลก ๆ นั่นไม่ใช่นิสัยของเธอ

    พวกเขาและเธอใช้เวลาอยู่บริเวณนั้นไม่นาน ในระหว่างนี้สองหนุ่มไม่ได้มีท่าทีสวีทหวานเกินเลยอะไรจนน่าตกใจ มีแค่ตอนที่อุชิจิมะทำตัวแบบพระเอกละครเช็ดรอยเปื้อนที่มุมปากของโออิคาวะให้ก็เท่านั้น พอทานอาหารเสร็จพวกเขาก็เดินเรื่อย ๆ อย่างไม่รีบร้อนไปโซนขายของ

    พอถึงตรงนี้ คิโยโกะพอจะเดาแพลนการมา ‘เดท’ ของสองคนนี้ได้คร่าว ๆ แล้ว

    ส่วนสาเหตุที่ว่าทำไมต้องนั่งรถไฟออกมาไกลหน่อย คงเพราะไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาชาวบ้านล่ะมั้ง?

    แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ... นัยน์ตาใต้กรอบแว่นของเด็กสาวใช่ว่าจะไม่เห็น ยังไงโออิคาวะ โทโอรุ ก็ยังคงมีรัศมีที่ชวนให้คนที่พบเห็นต้องเหลียวหลังมอง และอุชิจิมะที่ดูเงียบ ๆ ก็ดูสุขุมเป็นที่ต้องตาของสาว ๆ หลายคนดี

    ยังไงเร็ว ๆ นี้ก็ถึงหูพวกที่อยู่แถวชิราโทริซาวะกับอาโอบะโจไซ และสักพักมันก็จะลามมาถึงคาราสึโนะ

    เหตุการณ์ในช่วงนี้เธอขอเล่าสั้น ๆ

    อุชิจิมะกับโออิคาวะเดินซื้อของใช้เป็นส่วนใหญ่ พวกเสื้อผ้าและอุปกรณ์กีฬา พวกเขาใช้เวลาร่วมชั่วโมงอยู่ในแผนกอุปกรณ์กีฬา เลือกดูเสื้อวอร์ม (สาบานว่าเธอเห็นพวกเขาเลือกเสื้อสีเดียวกันลายเดียวกัน นี่ถ้าวันไหนใส่พร้อมกันแล้วบังเอิญเจอกันคงน่าสนุก) ดูรองเท้าวอลเลย์ โออิคาวะพยายามหาเรื่องแกล้งอุชิจิมะอย่างไม่มีเหตุผล บางทีก็คว้าอะไรใกล้ ๆ มาตีอีกฝ่าย (อาทิเช่น ไม้เบสบอล แน่นอนว่าตีเบา ๆ พอให้หันมาทำหน้าสงสัยใส่) แต่พอเล่นมากเข้าก็โดนนัยน์ตาสีนิลดุไป แถมยังโดนหยิกแก้มด้วยความหมันไส้อีก เป็นภาพที่เห็นแล้วบรรยายไม่ถูกเหมือนกัน

    ในช่วงนี้คิโยโกะมีโอกาสบรรลุเป้าประสงค์ที่มาที่นี่สักที... เธอมาซื้ออุปกรณ์ใหม่ให้เจ้าพวกกาน้อยที่ชมรม

    ไม่นานก็ถึงเวลาหนังฉาย คิโยโกะได้ที่นั่งด้านหลังสองคนนั้นอย่างบังเอิญ เลยเห็นทุกอย่างชัดเจนดี พวกเขานั่งข้างกัน ยกที่วางแขนออก ซื้อน้ำอัดลมกับข้าวโพดคั่วมาแค่ชุดเดียว (และแทบจะไม่ได้แตะเลย) ตรงจุดนี้น่าสนใจ พอหนังเริ่มฉายไปได้สักพัก โออิคาวะที่ตอนแรกนั่งดี ๆ ก็เริ่มเอนตัวไปพิงไหล่คนข้าง ๆ พอถึงซีนเรียกน้ำตา แม้จะไม่เห็นสีหน้าของทั้งสอง แต่คิโยโกะเห็นคนโดนพิงไหล่ยื่นทิชชู่ให้คนผมสีอ่อนกว่า แต่สองวินาทีถัดมาก็เป็นฝ่ายเช็ดให้อีกคนเอง

    ตอนแรกคิโยโกะไม่เชื่อสมมติฐานตัวเอง แต่ดูท่าทางสองคนนี้จะเดทกันอยู่จริง ๆ

    พอหนังจบก็เหมือนโปรแกรมจบ เธอขึ้นรถไฟกลับขบวนเดียวกับสองคนนั้นตอนห้าโมงเย็น ถึงที่หมายประมาณเกือบหกโมง ฟ้าเริ่มมืดแล้ว และดูเหมือนอุชิจิมะจะไปส่งโออิคาวะที่บ้าน

    ตอนที่ลงจากสถานี โออิคาวะหันหลังกลับมา โบกมือให้เธอพร้อมกลับรอยยิ้มสดใส

    …โดนเห็นจนได้สิ

    ก็คิดอยู่แล้วล่ะว่าสองคนนี้น่าจะตาไวพอจะสังเกตว่ามีคนเดินตาม แต่ท่าทางร่าเริงจนเกินพอดีก็พานให้น่าหมันไส้นิด ๆ เหมือนกัน คิโยโกะเพียงโค้งศีรษะให้เล็กน้อยเป็นเชิงทักทาย ก่อนจะแยกเดินไปทางบ้านของตัวเอง

    ทั้งหมดที่เธอเห็นมีแค่นั้น





    “จะไปส่งจริง ๆ น่ะเหรอ นายต้องวนกลับมาอีกนะ”

    โออิคาวะหันกลับมาถามคนข้าง ๆ หลังจากแกล้งกลับไปทักทายผู้จัดการสาวหน้านิ่งของคาราสึโนะที่ตามพวกเขามาตลอด

    อุชิวากะพยักหน้า “ไม่ไกลหรอก”

    “สมองมีปัญหาเหรอ นายถึงบอกว่าไม่ไกล”

    เป็นคำพูดที่ฟังแล้วน่าตีปากนัก แต่คนโดนว่าเพียงแค่ทำเสียง ‘หึ’ เบา ๆ ในลำคอ กลายเป็นว่าคนหลอกด่าเขาก่อนหงุดหงิดแทน

    “มาทำเสียงหึหะอะไรฮะ อยากไปส่งก็ตามใจ บอกไว้ก่อน อย่าทำเหมือนฉันเป็นผู้หญิง ฉันเดินกลับทางนี้ประจำ ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัว”

    ริมฝีปากบางเอ่ยเจื้อยแจ้วไม่รู้จักหยุด แต่คนข้าง ๆ ก็ยินดีฟัง นัยน์ตาสีนิลเหลือบมองท่าทางหงุดหงิดหน่อย ๆ ของอีกฝ่ายที่เขาเห็นจนชิน ผิวแก้มขาวขึ้นสีนิด ๆ

    ทั้งที่ทำท่าเหมือนไม่พอใจเขาอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่เคยพูดว่าจะเลิกคบ

    ตอนที่เขาขออีกฝ่ายคบ หลังจากโออิคาวะทำหน้าช็อกเหมือนโลกถล่มแล้ว สามวันถัดมาก็พูดกับเขาว่า ‘จะลองดูก็ได้’ นับจากวันนั้นมาก็สามเดือนแล้ว ไม่รู้ว่าสำหรับคน ‘ลองคบดู’ คนนี้ มีอะไรเปลี่ยนไปหรือเปล่า

    พวกเขาคบกันเงียบ ๆ ไม่ได้บอกใคร ถึงจะบอกว่าคบกัน... แต่ก็ไม่ได้มีอะไรเกินเลยเป็นพิเศษ มีจับมือกันบ้าง (ซึ่งแทบไม่ได้ทำ) เจอหน้ากันก็ทักทายตามปกติ โทร.หากันบ้างแต่ไม่ได้บ่อยจนน่าสงสัย จะไปเที่ยวกันก็ออกมาไกลหูไกลตาผู้คนหน่อยเพราะต่างฝ่ายต่างขี้เกียจตอบคำถามของคนของตน โดยเฉพาะโออิคาวะที่แฟนคลับเยอะจนน่าปวดหัว ถ้าสาว ๆ เหล่านั้นรู้ว่าหนุ่มหล่อของโรงเรียนมีแฟนเป็นผู้ชาย ไม่รู้จะรู้สึกยังไง

    ว่าแต่... เรียกว่าแฟนได้หรือยังนะ?

    “…ตกลงตอนนี้เรียกฉันว่าแฟนได้หรือยัง?”

    อุชิจิมะโพล่งถามขึ้นมา

    คนเดินข้างสะดุ้งโหยงจนน่าขำ หันขวับมามอง “ถามอะไรเนี่ย”

    “ตกลงตอนนี้เรียกฉันว่าแฟนได้หรือยัง?”

    เขาทวนชัด ๆ

    คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจ ผิวแก้มขาวที่ตอนแรกขึ้นสีเรื่อเหมือนจะแดงขึ้นมากจนน่ารัก ริมฝีปากพึมพำตอบกลับมา

    “สามเดือนแล้วนี่ ฉันไม่เคยออกปากไล่นายสักคำ ถ้าไม่เรียกว่าแฟนจะให้เรียกว่าอะไร”

    เป็นคำตอบที่พาให้รอยยิ้มอบอุ่นผุดบนใบหน้าที่มักเรียบเฉยของกัปตันแห่งชิราโทริซาวะ

    และใช่ว่าโออิคาวะจะไม่เห็น เพราะเจ้าตัวรีบเบือนสายตาหลบทันที พอดีกับที่ถึงหน้าบ้านของเขา โออิคาวะรีบเดินห่างออกมา

    “พอเลย วันนี้พอแค่นี้ ฉันไม่พูดอะไรแล้ว”

    เขาพยายามปรับน้ำเสียงให้ดูไม่มีอะไร ทั้งที่มันละล่ำละลักจนน่าตลก

    เห็นแบบนี้แล้วมันอดไม่ได้จริง ๆ

    คนตัวสูงกว่าใช้โอกาสที่อีกคนมัวแต่เขินก้มหน้าลง ปลายจมูกสัมผัสกับผิวแก้มแดง ๆ นั้นอย่างรวดเร็ว พอถอยออกมาก็พบว่าคนโดนฉวยโอกาสยืนอ้าปากค้าง ช่วงขายาวค่อย ๆ ผงะถอยเข้ารั้วบ้านอย่างทำอะไรไม่ถูก พอหลังชนรั้วก็รีบเปิดประตู แทรกตัวเข้าไปในบริเวณบ้านทันที พยายามซ่อนใบหน้าที่แดงก่ำของตนไว้หลังรั้ว

    “อุชิวากะจังงี่เง่า! รีบกลับไปเลย ฉันไม่ขอบคุณที่มาส่งหรอกนะ”

    ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปในบ้าน ทิ้งเด็กหนุ่มอีกคนไว้หน้าบ้านตามลำพัง

    อุชิจิมะถอนหายใจ ถึงจะพูดจามะนาวไม่มีน้ำ แต่ท่าทางแบบนั้นก็นับว่าไม่เลว ดูเหมือนเขาจะได้กำไรมหาศาล ไม่เสียทีที่ลงแรงมาตลอดสามเดือน แค่นี้ก็นับว่าคุ้มแล้ว

    กลางถนนเส้นเล็กที่ปราศจากผู้คน ตัวตบเอสแห่งโรงเรียนชิราโทริซาวะเดินกลับบ้านด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่านัยน์ตาสีนิลเป็นประกายพราวระยับอย่างปิดไม่มิด และในหัวใจก็พองโตด้วยความรู้สึกที่เต็มอิ่ม





    “…ฉันไม่ได้ตาฝาดใช่ไหม”

    เสียงหนึ่งดังขึ้น หลังเสาไฟต้นหนึ่งแถวหน้าบ้านโออิคาวะ นัยน์ตากลมโตของคนถามเบิกกว้าง หันไปมองคนตัวสูงกว่าที่ยืนอยู่ด้วยกัน

    “ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นนะ”

    ฮินาตะ โชโย อ้าปากค้าง มองคาเกยามะ ที่ตอบกลับมาด้วยสีหน้าเหมือนเจอสิ่งมหัศจรรย์อันดับที่แปดของโลก ก่อนหันกลับไปมองหน้าประตูบ้านโออิคาวะอีกครั้ง สถานที่ที่เมื่อครู่ เขากับคาเกยามะเห็นทุกอย่าง

    แค่จะมาขอให้มหาราชาสอนเทคนิคใหม่หน่อย ไม่คิดว่าจะมาเห็นอะไรแบบนี้

    ดูท่าว่า... จะมีเรื่องสนุก ๆ รออยู่ซะแล้วสิ


    FIN




Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in