เล่นกับหมา หมาเลียปาก
มาร์ค อี ไม่เคยเข้าใจถ่องแท้ถึงความหมายตามรูปศัพท์ของสำนวนนี้ เท่ากับสถานการณ์ที่ตัวเองกำลังเผชิญหน้าอยู่เลย
เด็กหนุ่มลืมตาโพลงอยู่ในห้องที่ไม่ได้เปิดไฟ ม่านผืนบางขยับไหว เห็นแสงอาทิตย์ภายนอกส่องเข้ามาพอให้แสงสว่างเลือนราง แต่เท่านั้นก็เพียงพอ... วิสัยทัศน์ของมาร์คตอนนี้ไม่ได้ไกลเท่าใดนัก เขามองไม่เห็นแม้แต่เพดานห้องทั้งที่ควรจะมองเห็นด้วยซ้ำ เพราะมีอะไรบางอย่างมาขวางวิสัยทัศน์ของเขาไปเสียสิ้น
อะไรบางอย่างที่ไม่ควรจะอยู่ในห้องนี้...
เด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งเจ้าของตากลมโตและริมฝีปากหนาที่คร่อมเขาอยู่ มาร์คเห็นหน้าอีกฝ่ายชัดยิ่งกว่าชัด เพราะมันห่างจากเขาไม่ถึงฟุต
นี่คือเรื่องปกติที่คนเราจะเจอยามเช้าเหรอ
แน่นอนว่าไม่ใช่สิ!
“…นายเป็นใคร”
ในที่สุดเขาก็หาเสียงตัวเองเจอ หลังจากปล่อยให้ความเงียบโรยตัวอยู่นานตั้งแต่ลืมตามาเห็นภาพสุดประทับใจ
อีกฝ่ายเงียบ... มาร์คไม่รู้ว่าตัวเองควรทำตัวอย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้ จะมีใครเคยตื่นมาแล้วเจอผู้ชายแปลกหน้าคร่อมตัวเองอยู่แล้วไม่พูดไม่จาเหมือนเขาไหม เขาควรกรีดร้องหรือเปล่า แต่เขาพูดไม่ออก คลับคล้ายคลับคลาว่าเขาคุ้นนัยน์ตากลม ๆ นั่นพิกล เสียแต่ว่านึกยังไงก็นึกไม่ออก
ร่างเปลือย (อ่า ใช่ หมอนี่ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าสักชิ้น -- โรคจิต) จดจ้องเขาอยู่พักใหญ่ ก่อนจะค่อย ๆ โน้มใบหน้าลงมา
งับจมูกเขา
“เฮ้ย!”
คราวนี้มาร์คร้องออกมาจริง ๆ แล้ว เขารีบผลักอีกฝ่ายออก แต่เจ้ากรรม หมอนี่ตัวใหญ่กว่าเขาเกือบเท่าตัวได้ แถมพอเขาผลักแล้วอีกฝ่ายก็เสียหลักลงมานอนทับเขา มาร์คยิ่งขยับตัวยากขึ้นไปอีก
“ปล่อย! ทำบ้าอะไรเนี่ย! นายเป็นใคร...”
มาร์คพยายามดิ้นให้หลุดจากการกอดรัดของคนแปลกหน้า แล้วก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นสิ่งที่ไม่ควรจะเห็นปรากฏอยู่บนศีรษะที่ปกคลุมด้วยผมสีน้ำตาลทอง
ก็เพราะผมพวกนี้แหละ ตอนแรกเขาถึงไม่เห็น ‘มัน’
ด้วยความตกใจ มาร์คหยุดส่งเสียงโวยวาย หยุดทุกอย่าง แทบจะหยุดหายใจ เขาปล่อยให้เจ้าคนตรงหน้าซุกจมูกกับคอเขาอย่างเพลิดเพลิน แล้วเอื้อมมือไปแตะวัตถุรูปสามเหลี่ยมที่โผล่ขึ้นมาจากกลุ่มผมตรงหน้าเหมือนผีหลอก
……………..หูหมา?
…….หูหมา????????
แล้วจู่ ๆ มาร์คก็พลันนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้
เขาผลักร่างตรงหน้าออกทันที ลืมไปเลยว่าอีกฝ่ายตัวใหญ่กว่า แล้วคนตรงหน้าก็คงมัวแต่สนุกกับการเล่นกับเขาเลยไม่ได้ตั้งการ์ดไว้ พอเขาผลักก็เซถลาลงไปนอนแผ่อยู่อีกฝั่ง (อุจาดตาจริง ๆ ให้ตาย)
“…ลูคัส!”
มาร์คส่งเสียงเรียกออกไป คาดหวังจะได้ยินเสียงเห่าตอบรับมา แล้วร่างของเจ้าไซบีเรียนสีน้ำตาลตัวยักษ์ที่เขาเลี้ยงไว้โผล่เข้ามาให้เขาฟัดในห้องนอน
แต่สิ่งที่ตอบกลับมาหลังจากสิ้นเสียงของเขา คือเสียงกระตือรือร้นของคนที่โดนเขาผลักกระเด็นไป
“มาร์ค!”
หมอนั่นเรียกชื่อเขาหน้าตาเฉย
มาร์คค่อย ๆ หันไปมอง ไม่อยากเชื่อว่าหูตัวเองเพิ่งได้ยินเสียงเจ้าคนที่ทำท่าเหมือนพูดไม่เป็นเอ่ยเรียกเขา ซ้ำร้ายจังหวะยังพอดีกันเหลือเกิน
พอดีกับที่เขาเรียกหมาตัวเอง...
“…ลูคัส…?”
“มาร์ค!”
เสียงตอบกลับมาอย่างกระตือรือร้น พร้อมกับหูแหลม ๆ สองข้างที่โผล่ขึ้นมาจากกลุ่มผม และ...สิ่งที่เขาเพิ่งเห็นว่ามันมีอยู่ด้วย...หางสีน้ำตาลกระดิกไกวด้วยความเร็ว
“…”
บางทีมาร์คอาจจะฝันไป บางทีเขาควรจะนอนต่ออีกสักหน่อย
ไม่ มาร์คไม่ได้ฝัน
ตอนที่ลืมตาขึ้นมาอีกรอบ มาร์คเห็นเจ้าคนตัวสูงนั่นนอนมองหน้าเขาอยู่ข้าง ๆ เมื่อเห็นเขาลืมตาขึ้น หูแหลม ๆ นั่นก็ตั้งขึ้นมาทันที พอได้สบตากันตรง ๆ แล้วมาร์คถึงเข้าใจว่าทำไมถึงได้รู้สึกคุ้นเคยกับนัยน์ตาคู่นี้เหลือเกิน
เหมือนลูคัสจริง ๆ ด้วย
“…นายคือลูคัสเหรอ”
เขาตัดสินใจถามออกไป และอีกฝ่ายก็...พยักหน้ารับ
OH MY GOSH
“อย่ามาล้อเล่นนะ ลูคัสเป็นหมา นายเป็นคน นายจะเป็นลูคัสไปได้ยังไง”
มาร์คลุกขึ้นมาคุยกับอีกฝ่ายดี ๆ แต่พอเห็นแผ่นอกเปลือยเปล่านั่นแล้วก็รู้สึกว่าควรหาอะไรมาคลุมสักหน่อย เลยลุกจากเตียงไปเปิดตู้เสื้อผ้าตัวเอง
อีกฝ่ายมองตา แล้วพุ่งมาหยุดยืนข้าง ๆ เขา
มาร์คหันไปมอง แล้วก็ต้องผงะเมื่อพบว่าเจ้าคนตรงหน้าสูงกว่าเขาเสียอีก... นี่มันเรื่องอะไรกัน
“อะไร ตามมาทำไม”
“มาร์ค”
“พูดเป็นคำเดียวเหรอ”
“มาร์ค”
“กลับไปนั่งบนเตียงนู่น”
“มาร์ค”
โว้ย!
มาร์คชี้ที่พื้น ออกเสียงแบบที่ทำประจำเวลาสั่งเจ้าลูคัส “SIT!”
อีกฝ่ายนั่งขัดสมาธิลงไปทันที
“…”
มาร์คหลับตา สูดหายใจเข้าลึก ๆ อย่างตั้งสติ ก่อนจะควานหาเสื้อผ้าในตู้ ทำเป็นไม่สนใจตาวาว ๆ ของอีกคนในห้อง ใช้เวลาอยู่พักใหญ่เขาจึงพบเสื้อของพี่ชายที่ติดอยู่ในตู้
แน่สิ เสื้อเขาหมอนี่ไม่มีทางใส่ได้หรอก
เขาหยิบเสื้อออกมา มองหมอนี่แล้วก็คิดว่า มันต้องใส่เองไม่เป็นแน่ ๆ
“ลูคัส”
พอเขาเรียก อีกฝ่ายก็นิ่งทันที
“ลุกขึ้น”
เขาทำมือให้คนตรงหน้าลุกขึ้นยืน หมอนั่นก็ลุกขึ้นมาทันที
“ก้มลงมาหน่อย”
ลูคัส (เออ คงเป็นลูคัสจริง ๆ แหละ) ทำหน้างง
“ก้ม” เขาทำท่าให้ดู ลูคัสก้มตามแบบเงอะ ๆ งะ ๆ แต่ก็พอให้มาร์คลองยัดเสื้อผ่านหัวลงไปได้
ด้วยความตกใจ ลูคัสสะบัดตัวออกจากเขา ทำให้เสื้อคล้องอยู่ที่คอ เจ้าตัวมองเขางง ๆ ส่วนเขาก็ยืนถอนหายใจเป็นรอยที่สิบ
“อยู่นิ่ง ๆ”
ลูคัสยืนนิ่งเหมือนโดนแช่แข็ง
มาร์คใช้ความพยายามอีกนิดหน่อยในการสวมเสื้อให้อีกฝ่าย แล้วก็ควานหากางเกงมาให้ใส่กันอุจาดตา กว่าจะจัดการแต่งตัวให้เจ้าลูคัสได้ เขาก็เสียเหงื่อไปหลายลิตร
ตอนเป็นหมาใส่ยากแบบนี้ไหมนะ...
ว่าแต่ ตกลงเขาปักใจเชื่อไปแล้วว่าหมอนี่คือลูคัสของเขางั้นเหรอ
มาร์คมองเจ้าหูตั้งที่ยังคงมองเขาอย่างสงสัย ทั้งที่หางก็กระดิกไปมาเหมือนอยากเล่นด้วยเต็มที แล้วก็รู้สึกหมดแรง
นี่มันเรื่องบ้าอะไรวะเนี่ย
วันนี้เป็นวันพุธกลางสัปดาห์ที่มาร์คไม่มีเรียน แต่พี่ชายของเขามีเรียน ดังนั้นเขาจึงต้องอยู่ในห้องคนเดียวทั้งวัน รอพี่ชายกลับมาตอนเย็น
ทว่าปัญหาตอนนี้... มาร์คคิดอยู่ว่าควรโทร.ไปบอกพี่ชายดีไหม หรือปล่อยเลยตามเลยจนพี่กลับมาที่ห้องดี
ขณะที่ใคร่ครวญอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น มาร์คกดรับสาย เหลือบมองลูคัสที่นอนสงบนิ่งอยู่บนเตียงของเขา เอ่ยขึ้น
“พี่เจย์”
“มาร์ค ตื่นแล้วเหรอ กินอะไรหรือยัง”
พอโดนทักถึงนึกได้ว่ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยตั้งแต่ตื่นขึ้นมา นี่ก็จะบ่ายโมงแล้ว
“ยังเลย เดี๋ยวกิน ๆ”
“ตื่นสายเหรอ ทำไมยังไม่กิน”
“อืม…”
“เอ้อ มาร์ค วันนี้พี่ไม่ได้กลับห้องนะ”
“อ้าว ทำไม”
“มาปั่นงานอยู่ห้องพี่จอห์นอะ” ได้ยินเสียงปลายสายถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “คงกลับพรุ่งนี้เย็น ๆ เลย มีข้าวอยู่ในตู้เย็น หรือถ้าไม่พอยังไงก็โทร.สั่งได้นะ เดี๋ยวพี่โอนเงินให้เพิ่ม”
“อ่า…” มาร์คไม่รู้จะพูดอะไรเลย นี่เขาต้องอยู่ร่วมห้องกับลูคัสอีกคืนเหรอ
“อย่าลืมให้อาหารลูคัสด้วย”
ชื่อที่ดังมาจากปลายสายทำให้คนที่นอนอยู่ลุกพรวดขึ้นมา มาร์คที่เหลือบมองสะดุ้งตาม และก่อนที่เขาจะทันห้ามอะไร เจ้าหมอนั่นก็ตะโกนขึ้นมา
“เจย์!!”
“หือ? เสียงอะไรน่ะมาร์ค”
“ไม่มีอะไรพี่ แค่นี้ก่อนนะ”
มาร์คไม่ปล่อยให้เจย์ถามอะไรอีก เขาตัดสายทันที แล้วเหลือบไปมองเจ้าคนที่ตอนนี้นั่งหลังตรงอยู่บนเตียง
“ฉันจะทำยังไงกับนายดีเนี่ย”
คิดแล้วก็ถอนหายใจอีกรอบ
ไม่กี่นาทีถัดมา มาร์คนำอาหารในตู้เย็นมาอุ่น ระหว่างนั้นลูคัสเดินไปมาเหมือนตอนที่เป็นหมาไม่มีผิด
มาร์คอุ่นซุปในหม้อ ขณะมองควันที่ลอยเอื่อยอยู่เหนือภาชนะโลหะ เขาก็ครุ่นคิดถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องพิลึกในห้องของเขา
ตัดเรื่องฝันทิ้งไปเลย เขาไม่ได้ฝันหรอก ฝันบ้าบออะไรจะคมชัดสมจริงขนาดนี้ แถมหิวจริง หรือจริง ๆ แล้วเจ้าลูคัสเป็นปิศาจหมาที่บำเพ็ญตนจนเป็นเซียน -- ทุ้ย ช่วงนี้พี่เจย์ให้เขาดูหนังจีนบ่อยเกินไปแล้ว
มาร์ครอจนซุปร้อนได้ที่จึงตักแบ่งใส่ถ้วย มีข้าวที่อุ่นไว้เรียบร้อยแล้ว เขาตักส่วนของตัวเอง แล้วก็ตักส่วนของลูคัสด้วย ตอนที่วางถ้วยซุปบนโต๊ะ ก็เห็นเจ้าหูตั้งตัวสูงชะโงกหน้าเข้ามาในครัว
“มากินข้าว”
ลูคัสพุ่งตรงที่มุมโต๊ะทันที ตรงนั้นมีชามอาหารหมาสีเหลืองวางไว้ ซึ่งแน่นอนว่ามาร์คคงไม่คิดให้ลูคัสในสภาพนี้กินอาหารจากภาชนะแบบนั้นแน่นอน
“ไม่ ข้าวอยู่บนโต๊ะ” เขาชี้ “นั่งเก้าอี้”
ลูคัสทำหน้างง เขาเลยนั่งให้ดู “แบบนี้”
อีกฝ่ายทำตาม
“โอเค” เขาพยักหน้ารับอย่างพอใจ “ทีนี้ หยิบช้อนขึ้นมา”
ลูคัสทำตาม แล้วจากนั้นก็เป็นชั่วโมงเรียนการใช้ช้อนส้อมขั้นพื้นฐาน ให้กับคนที่ดูรุ่นเดียวกับเขา แต่ทำอะไรไม่เป็นเลย
พอลูคัสเริ่มชินกับอุปกรณ์ในมือ การกินก็ง่ายขึ้น มาร์คมองอีกฝ่ายตะกรุมตะกรามกินอาหารจนข้าวเปื้อนมุมปากแล้วก็อดส่ายหัวไม่ได้ มันจะอะไรขนาดนั้น
“ลูคัส”
พอเขาเรียก อีกฝ่ายก็นิ่งทันที มาร์คมองหน้าเด๋อด๋าของเจ้าหมาตรงหน้าแล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะเอ็นดูหรืออะไรดี แต่เขาก็ยื่นมือไปเช็ดเศษข้าวออกจากมุมปากนั้น
“กินดี ๆ ค่อย ๆ กิน”
อีกฝ่ายพยักหน้ารับหงึกหงัก แต่ดูท่าจะไม่เข้าใจหรอก เพราะอีกสามวินาทีถัดมาก็กินแบบจ้วงเหมือนเดิม
ไม่กี่นาทีถัดมา มาร์คจัดการกับอาหารของตนเสร็จ ส่วนลูคัสกินเสร็จไปนานแล้ว แล้วก็นั่งมองหน้าเขาเฉย ๆ อยู่พักใหญ่ ถ้าเป็นการมองด้วยร่างแบบหมายักษ์เหมือนเมื่อก่อน มาร์คคงไม่รู้สึกอะไรนอกจากเอ็นดู แต่พอมองด้วยร่างแบบนี้แล้ว จะบอกว่าไม่รู้สึกอะไรเลยก็คงเป็นไปไม่ได้
พอเขาวางช้อนเตรียมท่าจะเก็บจาน ลูคัสก็วางหัวลงบนโต๊ะ
มาร์คกะพริบตาปริบ ๆ มองอีกฝ่ายที่ช้อนตามองแต่ยังไม่ยอมพูดอะไร (และคงไม่พูดอะไรไปทั้งวัน)
“มาร์ค” นอกจากคำนี้
เจ้าของชื่อเหลือบมอง ก่อนจะทำในสิ่งที่ทำประจำเมื่อลูคัสวางหัวลงบนโต๊ะแบบนี้
เขาเอื้อมมือไปลูบเส้นผมอีกฝ่าย เส้นผมยาวของลูคัสตอนนี้นุ่มมือกว่าตอนเป็นขนหมาเยอะ ลูบแล้วเพลินมือดี ขณะที่ลูคัสหลับตาพริ้ม แพขนตายาวทาบเหนือผิวแก้ม ริมฝีปากขยับเป็นเส้นโค้งขึ้น บ่งบอกความสุขเต็มพิกัด ไหนจะหางที่กระดิกไปมานั่นอีก
“ไปล้างจานละ”
มาร์คตบปุ ๆ บนศีรษะนั่นเบา ๆ สองที แล้วยกจานไปเก็บ ปล่อยให้เจ้าหมายักษ์นั่งมองเขาต่อไป
หลังจากจัดการกับจานชามเสร็จเรียบร้อย มาร์คมาทิ้งตัวนอนลงบนโซฟาหน้าทีวี ขณะที่ลูคัสตามมาติด ๆ แล้วทำท่าจะกระโดดทับเขา
“เดี๋ยววว หยุดดดด” เขารีบลุกขึ้นมานั่งทันที “ตอนนี้นายไม่ได้เป็นหมาแล้วนะ ทับลงมาไม่ได้”
ลูคัสทำหน้างง (อีกแล้ว)
มาร์คถอนหายใจ เขาขยับให้มีที่ว่าง แล้วตบเบาะเป็นเชิงบอกให้ลูคัสนั่งลง อีกฝ่ายรีบทิ้งตัวลงนั่งทันที แล้วก็ขยับมาหาเขาเร็วจนหน้าแทบชิดกัน
“บอกให้ใจเย็น ๆ ไงวะ ไอ้นี่” มาร์คบ่นตอนผลักลูคัสออกเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ของวัน ตอนเป็นหมา เล่นอะไรแบบนี้มันก็ไม่มีอะไรไง แต่พอเป็นรูปร่างเหมือนคน แค่เข้ามาใกล้ ๆ มาร์คก็รู้สึกผิดปกติแล้ว
พอโดนบอกให้อยู่เฉย ๆ ลูคัสก็อยู่เฉยจริง ๆ นั่งมองเขาเฉย ๆ เหมือนกลัวว่าเขาจะหายไป จนมาร์คทนไม่ได้ ทิ้งตัวลงนอนบนตักอีกฝ่ายแบบที่ชอบทำตอนลูคัสเป็นหมา เขาชอบนอนหนุนลูคัสแบบนี้
ปกติพอเขาทำแบบนี้ ลูคัสจะยื่นหน้ามาดม ๆ แต่เพราะรูปร่างตอนนี้ไม่เอื้อให้ทำอย่างนั้น อีกฝ่ายเลยยกมือมาแล้วลูบผมเขาเบา ๆ เลียนแบบที่เขาทำให้ที่ห้องครัว
“เออ สบายแฮะ” เขาพึมพำ ชักเข้าใจความรู้สึกของหมาตอนโดนลูบหัว “ลูบไปเรื่อย ๆ นะ ขอฉันนอนแป๊บนึง”
คงตลกน่าดูที่ยังหลับได้ในสถานการณ์แบบนี้ แต่มาร์คคิดอะไรไม่ออกแล้วจริง ๆ เขาอยากหลับเฉย ๆ แล้วตื่นขึ้นมาอีกทีทุกอย่างกลับเป็นเหมือนเดิม หรือไม่ก็ให้พี่เจย์รีบกลับมาเร็ว ๆ เขาไม่รู้จะอธิบายสถานการณ์ตอนนี้ยังไง ถ้าพี่เจย์มาเจอกับตาเองเลยก็ดี แต่หวังว่าพี่เจย์จะไม่นึกบ้าทำร้ายเจ้าลูคัสนี่นะ...
ความคิดสะระตะตีกันในหัว สลับกับความเหนื่อยอ่อน และสัมผัสแผ่วเบาแต่เป็นจังหวะที่ศีรษะ ทำให้เปลือกตาหนักขึ้นทุกที แล้วรู้สึกตัวอีกที มาร์คก็หลับไปอีกครั้ง
เมื่อลืมตาขึ้นมา มาร์ครู้สึกว่าที่หัวตัวเองว่าง ๆ เขาไม่ได้นอนหนุนตักลูคัส แต่มีหมอนอีกใบมาแทน
มาร์คผุดลุกขึ้น เขาได้ยินเสียงทีวีเปิดทิ้งไว้ พอมองซ้ายมองขวาหาอีกคนที่ควรจะอยู่ในห้องก็ไม่พบ เด็กหนุ่มเดินรอบคอนโดตัวเอง มีแค่เขาคนเดียวในห้อง
ลูคัสหายไปไหน
“ลูคัส”
เขาลองส่งเสียงเรียก แต่ไม่มีอะไรตอบกลับมา มาร์คเดินวนในห้องเป็นหนูติดจั่น ทำยังไงดี
ลูคัสหายไปไหน ออกไปข้างนอก? หรือยังไง
แล้วมาร์คก็ได้ยินเสียงประตูห้องเปิด เขาพุ่งตรงไปทันที แล้วก็ผงะเมื่อพบว่าคนที่เข้ามาคือคนที่ไม่น่าจะออกไปไหนที่สุด
“ลูคัส! นายหายไปไหนมา”
เขาไม่คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะตอบ แต่เด็กหนุ่มที่สวมฮู้ดปิดบังหูแหลมสามเหลี่ยมของตนก็ปลดฮู้ดออก ยิ้มให้เขา แล้วเอ่ยเสียงสดใส
“ไปซื้อของกินให้มาร์ค”
คนตัวเล็กกว่ายืนอึ้ง
“…นายพูดได้?”
“ก็พูดตามเจ้านั่น” ปลายนิ้วยาวชี้ทีวีที่ส่งเสียงอยู่ “ไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็พอรู้เรื่อง”
มาร์คหันไปมองนาฬิกา จะหกโมงเย็นแล้ว เขาหลับไปนานน่าดู อย่างน้อยก็นานพอที่ลูคัสจะเริ่มพูดได้
“แล้วนายไปซื้ออะไรมา เอาเงินมาจากไหน”
เขาถามต่อ ลูคัสชี้ไปที่ซ่อนเงินของพี่เจย์ ซึ่งอยู่หลังทีวี... จริงสิ ลูคัสเห็นตลอดนี่นา ถึงตอนนั้นจะเป็นหมาก็เถอะ
คิดแล้วก็ชักเหนื่อยใจขึ้นมาอีก
“ซื้อไอติมมา แล้วก็นม มาร์คต้องกินนมเยอะ ๆ จะได้สูง ๆ”
“…”
มาร์คหันไปดูโทรทัศน์ที่เปิดทิ้งไว้ มันเป็นสารคดีอะไรสักอย่างเกี่ยวกับพัฒนาการเด็ก
ไอ้นี่ กวนประสาทชะมัด
มาร์คเป็นคนเอาของที่ลูคัสซื้อมาไปเก็บเข้าที่ เขาบอกลูคัสว่ามื้อเย็นของเขาคงเป็นอาหารค้างคืนเหมือนเดิม ส่วนของลูคัสจะกินไอติมก็ได้ แต่พอสองทุ่มต้องอาบน้ำเตรียมตัวนอน
มื้อเย็นของทั้งสองคนไม่ได้กินที่โต๊ะอาหาร แต่เปลี่ยนมาเป็นหน้าทีวี มาร์คให้ช้อนลูคัสไปคันหนึ่ง ส่วนตัวเองก็กินอาหารที่เหลือเก็บไว้ พออิ่มก็หันมาแย่งไอติมลูคัสกินบ้าง น่าแปลกใจที่เจ้าหมาแบ่งอย่างยินดี เขานึกว่าจะติดนิสัยหวงของจากตอนเป็นหมาเสียอีก
ทีวีฉายสารคดีจบไปแล้ว และเริ่มฉายภาพยนตร์ขึ้นมา ซึ่งช่างประจวบเหมาะเหลือเกิน มันคือเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์หมาป่า
มาร์คหันไปมองหน้าลูคัสที่ทำท่าสนอกสนใจเรื่อง
“นายไม่ใช่มนุษย์หมาป่า” เขารีบพูดดัก “นายแค่เป็นหมา ที่กลายเป็นมนุษย์”
“มันต่างกันเหรอ” ลูคัสถามกลับ
“ต่าง” เขาตอบ “หมาป่าไม่่มีพันธุ์ไซบีเรียน ฮัสกี้ แน่ ๆ สายพันธ์นายมันจางลงมาจนไม่เหลือความเป็นหมาป่าแล้ว”
ลูคัสคาบช้อนคาปาก ไม่ตอบอะไร แล้วก็ดูหนังต่อเหมือนลืมว่าเขานั่งอยู่ด้วย
ระหว่างพวกเขาไม่มีบทสนทนาอะไรต่อกันอีก นอกจากเสียงตักไอติมเข้าปาก และเสียงของหนังที่ดังขึ้นเป็นระยะ กระทั่งมาถึงฉากที่ทำให้มาร์คต้องหันหน้าไปมองลูคัส
“เขาทำอะไรกันน่ะ”
แน่นอนว่าคำถามนี้ลูคัสถาม แต่มาร์คไม่รู้จะตอบยังไง เลยตอบไปตามตรง
“สืบพันธุ์”
“…ทำลูก?”
“อะไรแบบนั้นแหละ”
พูดเองกระดากปากเองโว้ย
“แต่ตะกี้ ผู้หญิงคนนั้นบอกว่า มนุษย์หมาป่าไม่ใช่คน รักกับคนไม่ได้ ไม่สมควร ไม่ใช่เหรอ”
คำถามนั้นทำเอาเขาอึ้งไปอีกรอบ มาร์คครุ่นคิดชั่วขณะ ก่อนตอบออกไป
“ไม่หรอก ความรักมันไม่ผิดหรอก จะกับใครก็ตามเถอะ”
พูดจบเขาก็จ้องมองโทรทัศน์ต่อ ไม่ได้สนใจสายตาของคนข้างกายอีก
กว่าหนังจะจบก็เกือบสามทุ่ม มาร์คพาลูคัสเข้าไปแปรงฟันล้างหน้าในห้องน้ำ ลามไปจนถึงอาบน้ำให้ เพราะเจ้าหมานี่ทำอะไรแทบไม่เป็นจริง ๆ นอกจากพูดโต้ตอบได้แล้ว แต่ก็เป็นการโต้ตอบแบบเด็ก ๆ ที่มีคลังศัพท์แค่จากหนังสารคดีและหนังมนุษย์หมาป่า
กว่าจะออกมาจากห้องน้ำก็ใกล้สี่ทุ่ม มาร์คหมดเรี่ยวแรง วันนี้ช่างเป็นวันที่ยาวนานเหลือเกิน
“นอนได้แล้ว” เขาตะโกนบอกลูคัสที่มองซ้ายมองขวาอยู่ พอเห็นเขาเรียกก็กระโดดลงมาบนเตียงทันที ทำเอามาร์คตัวกระดอนไปตามแรงกระแทกของเตียง
“พลังล้นเหลือจริง ๆ เลยนายเนี่ย นอน ๆ” เขาตบหมอนเบา ๆ ให้อีกคนวางหัวลง ลูคัสลงไปนอน แล้วก็พลิกตัวมามองหน้าเขา
มาร์คจัดการห่มผ้าให้คนข้างกาย แล้วก็ห่มผ้าให้ตัวเอง เขาเอื้อมมือไปกดปิดไฟดวงใหญ่ของห้อง เหลือไว้แต่ไฟหัวเตียงและแสงที่ลอดมาจากด้านนอกห้อง
พอหันไปมอง ก็เห็นว่าลูคัสยังจ้องมองเขาอยู่
“อะไรอีก”
“มาร์ค”
อีกฝ่ายเอ่ยเสียงเบา เบากว่าทุกครั้ง จนเขาต้องพลิกตัวไปมอง
“ว่าไง”
“ดีใจจังที่ได้คุยกับมาร์คแบบนี้”
คนฟังหลุดยิ้ม “เป็นอะไร เออ ถึงฉันจะไม่ค่อยเข้าใจก็เถอะว่านายกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไง แต่เดี๋ยวก็รู้แหละ ไว้ค่อยคิดแล้วกัน”
พูดจบก็รู้สึกง่วงขึ้นมาอีกแล้ว วันนี้ง่วงบ่อยเสียเหลือเกิน มาร์คอ้าปากหาวทีหนึ่งก่อนจะโบกมือให้คนข้างกาย
“ฉันนอนละ ฝันดี ลูคัส”
“ฝันดี มาร์ค”
นั่นคือเสียงสุดท้ายที่มาร์คได้ยิน
แต่ลูคัสยังไม่หลับ
เขาจดจ้องแพขนตายาวของคนข้างกาย จดจำมันไว้จนครบ แล้วจึงลุกขึ้นนั่งบนเตียง
นาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืนตรง หน้าต่างห้องมาร์คเปิดออกอย่างแรง แต่เจ้าตัวไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นมาเลย เงาร่างหนึ่งปรากฏตรงหน้าต่าง รอยยิ้มหวานที่ทำให้ลูคัสถอนหายใจเหนื่อยหน่าย
“ตรงเวลาเหลือเกินนะ พี่จองอู”
“แน่นอน” จองอูตอบรับ “หมดเวลาสนุกแล้วล่ะ ลูคัส”
เขาเหลือบมองคนที่ยังคงหลับอยู่อีกครั้ง ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้ แล้วก้มลงจุมพิตเบา ๆ บนหน้าผากเนียนนั่น เมื่อผละออก ลูคัสก้าวลงจากเตียงโดยทิ้งร่างของสุนัขไซบีเรียนตัวใหญ่ไว้ข้างเจ้าของ
“เป็นไง ใช้ชีวิตเป็นหมา”
คนถามเย้าแหย่ แต่คนฟังไม่ค่อยขำด้วย ลูคัสเหลือบสายตามอง แล้วกลับไปจ้องคนที่ยังคงหลับใหลต่อ
“เมื่อไหร่มาร์คจะได้กลับไปอยู่กับพวกเรา”
“เมื่อเขาหมดอายุขัย ซึ่งไม่ใช่เร็ว ๆ นี้แน่ นายละเมิดกฎไปแล้วนะ ลูคัส ถ้ายังทำมากกว่านี้ นายไม่ได้กลับไปสวรรค์แน่ ๆ”
คนฟังเงียบ เขารู้ทั้งหมดนั่นอยู่เต็มอก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เขาเร่งเวลาไม่ได้ สิ่งที่ทำได้ก็มีแค่การแทรกแซงแบบโง่ ๆ แบบนี้เท่านั้น
“เขาดูมีความสุขฉันก็พอใจแล้ว” ลูคัสยิ้ม “หวังว่าตื่นขึ้นมาเขาจะคิดว่ามันเป็นแค่ฝันนะ”
“ก็ต้องเป็นแบบนั้นแหละ” จองอูว่า “ไปได้แล้ว”
แต่ลูคัสยังยืนนิ่ง
“ทำไมถึงอยากกลับไปเป็นมนุษย์ขนาดนั้น”
“เพราะบนโลกมี ‘เขา’ และฉันอยากเจอเขา”
บทสนทนาในกาลอันห่างไกลดังขึ้นในสมอง ลูคัสอยากจะยื้อเวลาต่ออีกสักนิด แต่คงเป็นไปไม่ได้
“ฉันเข้าใจความรู้สึกของนายแล้วล่ะ มาร์ค”
ความรู้สึกอยากเจอใครสักคน จนยอมลงมารับชะตากรรมแบบมนุษย์เช่นนี้
“รีบกลับไปล่ะ ฉันก็อยากเจอนายเหมือนกัน”
เขาพึมพำ ก่อนจะก้าวขึ้นไปบนขอบหน้าต่างกับจองอู
บานหน้าต่างปิดลง และห้องนั้นก็เงียบสนิทราวกับไม่เคยมีใครอยู่มาก่อน
นาฬิกาปลุกดังขึ้น มาร์คสะดุ้งตื่นจากฝัน เขาเอื้อมมือไปกดปิดมัน เมื่อหันกลับมาก็เจอเจ้าลูคัสตัวแสบเดินมาเลียหน้าจนเขาตาสว่าง
“พอแล้ววว ลูคัส พออออ”
เขาผลักเจ้าตัวขนออกจากกาย บีบนวดขมับตัวเองที่ยังมึน ๆ เพราะฝันประหลาดเมื่อคืน แล้วลุกไปอาบน้ำแต่งตัว เพราะวันนี้มีเรียนเช้า
มาร์คเหลือบมองกองผ้าที่อยู่ที่ปลายเตียงแล้วประหลาดใจ นี่มันเสื้อผ้าพี่เจย์? เขาหันไปมองเจ้าลูคัสที่นั่งกระดิกหางอยู่ข้างเตียงแล้วก็อดหมั่นไส้ไม่ได้
“นี่ มานี่เลย ตัวแสบ รื้อตู้เสื้อผ้าเหรอ มาให้ตีเดี๋ยวนี้”
ภาพเจ้าของห้องวิ่งไล่สุนัขตัวใหญ่ทำเอาคนที่แอบดูอยู่ข้างหน้าต่างหลุดขำไม่ได้
“นี่ จริง ๆ นะ นายแค่มาหามาร์คแบบนี้ก็ได้ ทำไมต้องอยากเป็นหมาแบบนั้นด้วย” จองอูที่ลอยตัวอยู่ข้าง ๆ บ่น เขามองท่าทางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ของเจ้ารุ่นน้องตรงหน้าแล้วอยากถีบสักที ท่ามากเหลือเกิน
“ก็...มาร์คอุตส่าห์ตั้งชื่อมันว่า ลูคัส นี่นา” คนพูดพูดไปยิ้มไปเหมือนอวด “ถึงจะจำเรื่องราวก่อนเกิดไม่ได้ แต่ฉันก็คงอยู่ในจิตใต้สำนึกเขานั่นแหละ”
ฟังแล้วจองอูก็อดส่ายหน้าไม่ได้ ไม่น่าไปถามมันเลย ไร้สาระจริง
“ไปได้แล้ว”
“อืม”
ลูคัสเหลือบมองเข้าไปในห้องนั้นอีกครั้ง มาร์คยืนอบรมเจ้าหมาประหนึ่งว่ามันจะฟังรู้เรื่อง ภาพนั้นทำเอาเขาฉีกยิ้มกว้าง
แล้วมาร์คก็หันมาพอดี
ทว่าตรงหน้าต่างบานนั้นไม่มีใครสักคนเดียว
FIN
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in