'พม่า' หนึ่งในลิสต์ของประเทศที่เราอยากไปสักครั้งในชีวิตนอกจากเหตุผลที่ว่าด้วยเรื่อง ระยะทางไม่ไกลใช้เวลาเดินทางแค่ไม่กี่ชั่วโมงบวกกับ budget ที่ใช้อยู่ในระดับกลางๆ นอกจากนี้แล้วอีกเหตุผลที่ทำให้เราอยากไปพม่าก็คือการได้ไปเห็นบ้านเมืองความเป็นอยู่ของเค้าที่แตกต่างไปจากเรา ได้ไปเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆจากการใช้ชีวิต เรื่องเล่า ตำนานที่เราไม่เคยรู้
เมื่อช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน 2560 ที่ผ่านมาเรามีโอกาสได้ไปพม่าพอดี แต่ไม่ได้ backpack ไปเองนะก็คือไปเป็นทริปที่ให้เกร็ดความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ ทริปนี้เราใช้เวลาทั้งหมด 3 วัน 2 คืน ได้ไป 2 เมือง คือ ย่างกุ้งกับหงสาวดี ออกเดินทางช่วงเช้าโดยสายการบิน Myanmar Airways ใช้เวลาเดินทางราวๆ 2 ชั่วโมงได้
เมื่อถึงสนามบินย่างกุ้ง ก็นั่งรถโค้ชต่อไปยังร้านอาหารในเมือง ภายในร้านบรรยากาศถูกตกแต่งสไตล์พื้นเมืองซึ่งเราว่าดูอบอุ่นน่ารักดี อาหารคล้ายๆบ้านเราแต่จะเน้นในส่วนของน้ำพริก มีกะปิ อ่อง ปลาร้า แกงก็มีแกงกุ้ง มัสมั่น แต่จะไม่มีเมนูที่ทำจากเนื้อวัวเพราะชาวพม่าไม่นิยมทาน หน้าตาอาหารก็สวยงามโอเคเลย รสชาติพอทานได้ไม่ต่างจากไทยมากเท่าไหร่
หลังจากทานอาหารเสร็จก็นั่งรถต่อไปยังเมืองพะโคหรือที่รู้จักกันในชื่อเมืองหงสาวดี สำหรับที่แรกที่ไปนั่นก็คือ 'เจดีย์ไจ๊ปุ่น' หรือวัดพระสี่ทิศ ภายในวัดจะมีพระพุทธรูปขนาดใหญ่หันหน้าออกไปยังทิศทั้ง 4 มีความหมายแทนพระพุทธเจ้าทั้ง 4 องค์นั่นเอง
สำหรับที่ต่อไปก็คือ 'พระราชวังกัมโพชธานี'
จากนั้นก็ไปที่ 'เจดีย์ชเวมอดอ' หรือพระธาตุมุเตา เป็นเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์สำคัญคู่บ้านคู่เมืองหงสาวดีโดยชาวมอญเชื่อกันว่าภายในเจดีย์บรรจุพระบรมเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าบริเวณรอบๆเจดีย์จะมีพระสงฆ์และชาวบ้านทั่วไปมาทำพิธีกรรมทางศาสนา ทั้งกราบไหว้สวดมนต์ แต่ไม่วุ่นวาย เสียงไม่ดัง มีความสงบและร่มรื่น
หลังจากไหว้พระธาตุมุเตาแล้วนั่งรถอีกแปปนึงไปดู 'พระพุทธไสยาสน์ชเวตาเลียว' ที่มีลักษณะการสร้างตามคติชาวมอญที่ถือกันว่าเป็นพระพุทธเจ้าที่ยังมีชีวิตอยู่และการสร้างพระพุทธรูปปางนี้ที่นี่จะต่างจากของไทยตรงที่ของไทยนิยมวางพระบาทเสมอกันแต่ที่นี่พระบาทจะวางเหลื่อมกันนั่นเอง
เสร็จเรียบร้อยเราก็แวะซื้อของที่ห้างๆเดียวของเมืองหงสาวดี ขนาดไม่ได้ใหญ่มีชื่อว่าอะไรสักอย่างเราก็จำไม่ได้ภายในห้างมีประมาณ 3-4 ชั้น ขายของใช้ทั่วไปเช่นพวกเสื้อผ้า รองเท้า แอร์ เครื่องเสียง เหมือนห้างทั่วไปในไทยจากนั้นก็เข้าพักที่โรงแรม ทานอาหารเย็น พักผ่อนเตรียมพร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้
ออกจากโรงแรมตั้งแต่เช้าประมาณ 7 โมงกว่า โปรแกรมวันนี้จะแนวลุยๆหน่อยเพราะเมื่อถึงที่หมายคือเมืองไจโทแล้วต้องนั่งหลังรถกะบะเพื่อขึ้นเขาและเดินขึ้นเขาต่อไปอีกเพื่อขึ้นไปชม 'พระธาตุอินทร์แขวน' กว่าจะเดินทางไปถึงอีกเมืองตอนลงจากรถโค้ชเป็นเวลาเกือบเที่ยงพอดีซึ่งแดดร้อนมากๆ ก่อนจะลงเราก็เตรียมตัวทากันแดดให้เรียบร้อยลงไปก็ซื้อหมวกจากชาวบ้านพม่าอีกใบตอนขึ้นหลังรถก็ไม่ได้รู้สึกอะไรนอกจากร้อนเพราะแดด แต่พอรถออกเท่านั้นแหละรู้สึกเหมือนขึ้นพวกเครื่องเล่นไวกิ้งในสวนสนุกอารมณ์นั้นเลย
พอรถจอดเราก็ต้องเดินขึ้นไปอีกส่วนใครที่เดินขึ้นไม่ไหวก็มีบริการใช้แคร่หามพาขึ้นไป ระหว่างทางก็จะเจอได้ทั้งร้านอาหาร ร้ายขายของที่ระลึก หรือ Guest house ก็มีนะ ผู้คนพลุกพล่านเดินกันไม่ขาดสายทั้งชาวบ้านที่มาจากต่างเมืองเพื่อมาไหว้ หรือนักท่องเที่ยวต่างชาติก็เยอะ ส่วนมากจะเป็นคนไทย ชาวบ้านที่ขายของข้างทางก็จะเตรียมของขายกันสดๆร้อนๆตรงนั้นกันเลย อย่างทอดบาเยีย คั้นน้ำอ้อยหรือขูดทานาคา
เมื่อขึ้นไปถึงพระธาตุอินทร์แขวน สำหรับเราก็สวยงามเหมือนรูปภาพที่เคยเห็นกันเลย ลักษณะคือเป็นก้อนหินใหญ่ๆ ใหญ่มากๆ สีทองวางหมิ่นเหมกับหน้าผา ที่นี่เค้าก็มีตำนานความเชื่อเล่าต่อๆกันมาหลากหลายรูปแบบผู้คนที่มาก็มาทำพิธีต่างๆนานา
หลังจากนั้นก็เดินทางกลับเมืองแรกที่มาคือย่างกุ้ง ทานอาหารอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ไปต่อที่ 'เจดีย์ชเวดากอง' เจดีย์สำคัญคู่เมืองย่างกุ้ง สิ่งก่อสร้างที่นี่ยิ่งใหญ่อลังการมาก มากที่สุดแล้ว จากทุกที่ที่ไปในทริปนี้คือรู้เลยว่าคนที่สร้างเค้ามีความตั้งใจศรัทธาอันแรงกล้ามาก รอบๆของภายในบริเวณนั้นปกคลุมไปด้วยเสียงสวดมนต์จากพิธีกรรมทางศาสนา บ้างก็มาจากพระสงฆ์ ชาวบ้าน หรือนักแสวงบุญที่มาจากต่างถิ่น แล้วเราไปช่วงค่ำๆซึ่งเป็นเวลาที่ดีเพราะสีทองของพระพุทธรูปและเจดีย์ที่นั้นเหลืองอร่ามสวยงามมากๆในเวลานั้นไหว้สักการะเสร็จก็กลับโรงแรม
วันนี้ตามโปรแกรมที่แรกที่ไปคือ 'เจดีย์โบตาทาวน์' และก็ไปชมประติมากรรมรูปนัตโบโบจี หรือที่คนไทยรู้จักก็คือเทพทันใจ มีคนศรัทธาเยอะมาก ดูจากจำนวนคนที่มาไหว้แก้บน ทำพิธีกรรมต่างๆกัน คือเราต้องต่อคิวยาวเข้าไปดู เราก็เลยตัดสินใจไม่เข้าเพราะไม่ได้จะขอพรอะไรอยู่แล้ว ที่สุดท้ายที่ไปในทริปนี้ก็คือ 'พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ' ของพม่า เราชอบที่นี่ตรงที่เค้านำของใช้ที่ใช้แล้วจริงๆแม้กระทั่งชุดเครื่องแต่งกายของพระมหากษริย์และพระราชินีองค์ก่อนๆในประวัติศาสตร์พม่ามาจัดแสดงเพราะฉะนั้นเราก็จะได้เห็นข้าวของเครื่องใช้ที่ไม่เคยเจอมาก่อน ซึ่งของทุกอย่างทำด้วยทองทับทิบ อัญมณีต่างๆด้วยความตั้งใจทำอย่างละเอียดประณีต สวยงามมาก แต่เราไม่ได้ถ่ายมาเพราะของพวกนั้นอยู่ในห้องที่เค้าห้ามถ่ายรูป
นอกจะได้ความสนุกจากทริปนี้แล้วเราก็ได้เรียนรู้ตำนาน นิทาน ความเชื่อรวมไปถึงความแตกต่างของชาติพันธุ์ในพม่า ได้รับมุมมองประสบการณ์ใหม่ๆที่ถ้าไม่ได้มาคงเสียดายมากเลยแหละ : )
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in