Chapter I
เมื่อได้ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ข้างกัน
ครอบครัวคุโระโอะได้ย้ายบ้านมาตั้งถิ่นฐานในหมู่บ้านเดียวกับเคนมะเมื่ออายุได้ 8 ขวบ คุณแม่ของเขาได้แนะนำตัวให้กับคุณแม่ของเคนมะ ด้วยอายุที่ห่างกันแค่ปีเดียวทำให้ผู้ใหญ่คิดว่าเขาน่าจะเข้ากันกับเคนมะได้ง่าย คุโระโอะยืนหลบหลังขาแม่ของตัวเองด้วยความเขินอาย แต่การต้อนรับพร้อมรอยยิ้มของคุณแม่เคนมะช่วยทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา แต่ก็แค่นิดหน่อยเท่านั้น เคนมะในวัย 7 ขวบมองเด็กชายผู้ย้ายมาใหม่ที่กำลังเกาะขาแม่ตัวเองและคิดว่าหมอนี่ชักจะขี้อายเกินไปแล้ว ทำอย่างกับเป็นเด็ก 3 ขวบเพิ่งเข้าโรงเรียนอย่างงั้นแหละ แถมยังตัวแข็งอย่างกับหินอีกแน่ะ ถ้ามาริโอ้วิ่งชนล่ะก็หัวได้ปูดกันพอดี สองขาเล็กเดินนำแขกขึ้นห้องนอนตัวเองเนื่องจากคุณแม่ร้องขอให้พาคุโระโอะไปหาอะไรเล่นด้วยกันจะได้สนิทกันมากขึ้น
ด้วยนิสัยของเคนมะที่ไม่ชอบเข้าสังคมและไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นคุยกับเพื่อนใหม่ยังไงจึงชักชวนให้เล่มวิดีโอเกม —ของรักของของหวงของตนเอง— แทน หลักจากเล่นเกมได้สักพักเคนมะก็สังเกตเห็นคุโระโอะนั่งเงียบ ไม่พูดไม่จา แถมยังเกร็งตัวมากกว่าเดิมอีกต่างหาก
มาริโอ้ไม่ได้เพียงแค่ชนแล้วหัวปูดเท่านั้น แต่หัวแตกได้เลยล่ะ!
ลูกชายเจ้าของบ้านจึงเสนอเพื่อนใหม่ว่าอยากทำอะไรอย่างอื่นนอกจากเล่นวิดีโอเกมถ้าหากคุโระโอะต้องการ เด็กชายที่นั่งแข็งยิ่งกว่าซีเมนต์เดินออกไปจากห้อง เคนมะทำหน้างง สงสัยคงไม่อยากเล่นกับเขาแน่เลย ดีเหมือนกัน เขาจะได้เล่นเกมต่อโดยไม่ต้องกังวลถึงแขกผู้มาใหม่ หลังจากนั้นแขกที่คิดว่ากลับบ้านตนเองไปแล้วเดินเข้ามาในห้องของเคนมะอีกครั้ง ชูลูกวอลเลย์บอลกลม ๆ ขึ้นมาด้วยสีหน้าเปล่งประกายต่างจากก่อนหน้านี้ลิบลับ ชักชวนให้เคนมะออกไปเล่นด้วยกัน คราแรกเด็กชายทำหน้ามุ่ยเพราะไม่ชอบออกจากบ้าน แต่เห็นแก่คุโระโอะที่นั่งเล่นวิดีโอเกมกับตัวเองเป็นชั่วโมงจึงยินยอมโดนลากออกไปที่สวนสาธารณะ
ครั้งแรกที่เคนมะเล่นวอลเลย์บอลนั้นพบว่าคุโระโอะเป็นคนที่พูดมากเอาการ จากเด็กที่นั่งเงียบตัวแข็งทื่อเมื่อชั่วโมงก่อนตอนนี้กลับดูมีชีวิตชีวามากขึ้นและพูดมากอีกด้วย เอาพูดแต่เรื่องลูกกลม ๆ สีน้ำเงินขาวไม่หยุดปาก แถมยังโดนเจ้าของลูกกลม ๆ นั่นโวยวายใส่อีกต่างหาก ก็เพราะเคนมะดันรับลูกพลาด กระเด้งกระดอนตกแอ่งโคลนจนเลอะไปหมด ยังไม่พอ ลูกวอลเลย์บอลยังฝากอาการปวดแขนและรอยช้ำอีกต่างหาก วันนั้นเด็กชายแทบยกแขนเล่นเกมที่ค้างไว้ต่อไม่ไหว
นานวันเข้าเคนมะก็เริ่มชิน เล่นวอลเลย์บอลกับคุโระโอะได้เข้าขามากขึ้น แม้อากาศที่เคยเย็นสบายจะร้อนอบอ้าวในแต่ละครั้งที่สัมผัสวอลเลย์บอลแต่เคนมะก็ยังสนุกไปกับมัน เฉกเช่นเดียวกันกับการเล่นเกมอย่างออกรสขึ้นทุกทีของคุโระโอะ บางครั้งก็ขยี้หัวตัวเองเมื่อเล่นไม่ผ่านด่านสักที ทั้งยังโวยวายออกมาอีกต่างหาก พวกเขาใช้เวลาอยู่ด้วยกันในทุก ๆ วัน บางวันคุโระโอะก็นอนค้างบ้านเคนมะ บางวันเคนมะก็นอนค้างบ้านคุโระโอะ นั่นจึงทำให้ครอบครัวของทั้งคู่ยิ่งสนิทกันมากขึ้นไปอีก
ในทุก ๆ เย็นที่สวนสาธารณะ มักจะมีผู้คนพบเห็นเด็กชายสองคนเล่นวอลเลย์ ตามด้วยได้ยินเสียงใสหัวเราะลั่นคู่กันเสมอ และมักจะกลับบ้านด้วยเนื้อตัวมอมแมมเหมือนแมวตกบ่อโคลนไม่มีผิด คุณพ่อของเคนมะเห็นดังนั้นจึงยกกล้องขึ้นถ่ายรูปเก็บไว้ ภูมิใจที่ลูกชายตัวเองมีเพื่อนเล่นเหมือนอย่างคนอื่นเขาเสียที
คุโระโอะยืนกอดลูกวอลเลย์บอลไว้กับตัว ข้างกายมีเคนมะยืนหลบสายตาจากเลนส์กล้อง
ท้องฟ้าสีแดงส้มโอบล้อมชายวัยกลางคนและคู่เด็กชายเนื้อตัวมอมแมม เด็กคนหนึ่งฉีกยิ้มกว้าง เด็กอีกคนทำหน้านิ่งเฉย —ภาพรูปนั้นถูกแต่งใส่กรอบวางไว้อย่างดีในห้องของเด็กชายทั้งสองคน
Chapter II
เมื่อเจอจุดเปลี่ยน
หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้เข้าโรงเรียนเดียวกันและเข้าร่วมชมรมวอลเลย์บอล ครั้งหนึ่งที่ทั้งคู่แข่งวอลเลย์บอลแพ้ให้กับอีกโรงเรียน วันนั้นคุโระโอะไปหาเคนมะที่บ้าน เด็กชายที่นั่งเล่มเกมเหลือบมองพี่ชายข้างบ้าน พบว่าคุโระโอะนั้นนั่งซึมอ่านนิตยสารวอลเลย์บอลอยู่คนเดียว ไม่พูดไม่จาเหมือนอย่างปกติ เคนมะปาดเหงื่อที่เกิดจากความกังวลออก มีวิธีเดียวเท่านั้นที่ช่วยทำให้คุโระโอะหายหงอยเหมือนแมวหูหางลู่ได้คือ “ไปอัพเลเวลกันไหม” คุโระโอะพยักหน้าด้วยลำธารเอ่อล้นทะลักจากดวงตา “อื้อ!”
ระหว่างทางกลับจากร้านหนังสือ คุณแม่ของเคนมะเห็นลูกชายตัวเองเดินจูงมือพี่ชายข้างบ้านที่ร้องไห้ ในมืออีกข้างตระกองกอดลูกวอลเลย์บอลแน่น เธอรีบหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงถ่ายรูปเด็กทั้งสอง ประทับใจกับภาพตรงหน้า ยกมือป้องปากน้ำตาคลอ ความดีใจท่วมเต็มอกไปหมด ไม่เคยนึกไม่เคยฝันว่าลูกชายตนเองจะเป็นฝ่ายชวนเพื่อนออกนอกบ้านบ้าง “วันนี้ทำอาหารมื้อใหญ่ดีกว่า”
ต้นหญ้าพริ้วไหวตามแรงลมพัดผ่าน ดอกหญ้าบินลอยล่อง เด็กชายทั้งสองเล่นวอลเลย์บอลด้วยความรู้สึกที่ต่างออกไป
คุโระโอะพร่ำบอกเคนมะถึงชัยชนะในครั้งหน้า จินตนาการว่าตนเองได้บล็อกลูกของอีกฝ่ายไว้ด้วยสายตาเหยียดหยามและคู่แข่งก็ต้องมองเขาด้วยความเคารพนับถือ เคนมะแอบหัวเราะในใจ ไม่คิดว่าคุโระโอะจะมีมุมกระหายชัยชนะด้วยเหมือนกัน เคนมะเองก็ชอบจินตนาการว่าสิ่งรอบกายนั้นเป็นเกม มีมังกรพ่นไฟบินทั่วฟ้า ได้วิ่งเก็บเห็ดกับมาริโอ้ ส่วนตัวเขาก็เป็นนักผจญภัยปราบพ่อมดใจร้าย เมื่อทำภารกิจได้สำเร็จก็ได้รับของตอบแทนจากชาวเมืองคือวิดีโอเกมที่กองรวมกันเป็นภูเขาสูงหลาย ๆ ลูก
“คอยดูนะ สักวันนึงเจ้าพวกนั้นต้องมาอ้อนวอนขอเป็นศิษย์ท่านคุโระโอะคนนี้แน่” เด็กชายพูดพร้อมตบหน้าอกดังปั้ก น้ำตาได้เหือดหายไปแล้วแต่ยังคงทิ้งร่องรอยไว้ข้างแก้ม เคนมะจึงวักน้ำในลำธารใส่หน้าคุโระโอะหวังให้คราบน้ำตาหายไป แต่คนที่โดนน้ำสาดหน้าคิดว่าโดนแกล้งจึงวักน้ำคืนใส่อีกตัวอีกฝ่าย เมื่อเริ่มแล้วก็ต้องดำเนินการต่อ สานต่อสงครามวารีให้ถึงจุดจบ ผลลัพธ์คือเนื้อตัวของทั้งคู่เปียกปอนตั้งแต่หัวจรดเท้า —เหมือนลูกแมวตกน้ำไม่มีผิดเพี้ยน
เด็กชายทั้งสองทิ้งตัวลงนั่งข้างลำธาร มองดูผู้คนอีกฝากเดินขวักไขว่ มองกลุ่มเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันเล่นวิ่งไล่จับ มองคุณยายเดินจูงสุนัขตัวใหญ่สามตัว ในขณะที่คุโระโอะกำลังชี้ให้คนข้างกายดูนกบินเหนือผิวน้ำก็ได้ยินเสียงร้องของแมวดังขึ้น เมื่อหันไปก็พบว่าเคนมะกำลังลูบหัวแมวสามสี คุโระโอะลองลูบหัวตามที่เคนมะทำบ้าง พบว่าขนของหล่อนนุ่มเหมือนเส้นผมของคุณแม่ไม่มีผิด
“ฉันอยากเลี้ยงแมวบ้าง แต่พอคิดว่าต้องมาคอยดูแลมันก็ขอผ่านดีกว่า” เคนมะพูดขึ้นในขณะที่อุ้มแมวสามสีไว้บนตัก หล่อนทิ้งตัวลงนอนโดยไม่ขืนสักนิด
“ขอบคุณที่ชวนออกมาอัพเลเวลนะเคนมะ บอกตามตรงฉันไม่คิดว่านายจะเป็นฝ่ายชวนฉันออกมาด้วยซ้ำ” คุโระโอะกอดเข่ามองผิวน้ำในลำธารที่สะท้อนแสงสีส้มเหลือง ซบแก้มบนเข่าทั้งสองข้างแล้วเบนสายตามองมาที่คนข้างกาย แมวตัวนั้นกัาวขาลงจากตักเปลี่ยนเป็นเดินคลอเคลียแทน เคนมะสบตากับคุโระโอะ “ฉันแค่ไม่อยากให้นายเศร้าก็เท่านั้นเอง”
คุโระโอะจ้องลึกเข้าไปดวงตาของอีกฝ่าย นัยน์ตาส่องสว่างแม้ถูกฉาบด้วยเงาของเหล่านกที่บินผ่าน สีเหมือนแมวที่กำลังส่งเสียงร้อง เป็นครั้งแรกที่เขาคิดว่าดวงตาของเคนมะสวยขนาดนี้
Chapter III
เมื่อได้ตระหนักถึงบางสิ่ง
เมื่อคุโระโอะย่างเข้าสู่วัย 15 ปี ในเกือบทุก ๆ วัน (โดยเฉพาะวันที่ไปโรงเรียน) คุโรโอะทำหน้าที่เป็นตัวปลุกเคนมะเพื่อเดินไปโรงเรียนพร้อมกัน สาเหตุเพราะพักหลังมานี้น้องชายข้างบ้านติดเกมฮอตฮิตที่เพิ่งออกมาใหม่มาก ได้ยินว่าของขาดตลาดภายในสิบนาทีแรกที่ถูกวางขาย หากครั้งไหนที่เคนมะเจอปัญหาเล่นไม่ผ่านสักทีก็นอนแค่สองชั่วโมง ซึ่งคุโระโอะก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่านอนแค่สองชั่วโมงมันจะมีประโยชน์อะไร น่าจะเล่นต่อไปจนกว่าจะถึงเวลาไปโรงเรียนคงคุ้มกว่า แต่นั่นก็เกือบทำให้คุโระโอะลากเคนมะไปอาบน้ำแต่งตัวแทนเจ้าตัวรวมถึงแบกขึ้นหลังเป็นกระสอบทรายพาไปโรงเรียนด้วย
แม้เคนมะจะมีนิสัยเสียแบบนี้แต่ผลการเรียนนั้นกลับตรงกันข้าม ดีเยี่ยมเสียจนตัวเขาเองยังตกตะลึงเมื่อเจอใบประกาศผลสอบของเคนมะที่ได้เอเกือบทุกวิชา ถึงแม้คุโระโอะจะเป็นคนติวสอบให้ —แม้จะเรียนคนละชั้นปีก็ตาม— แต่ก็ไม่ได้คาดหวังว่าน้องชายข้างบ้านที่ติดเกมจะทำออกมาได้ดีขนาดนี้ เขาล่ะทึ่งในมันสมองของหมอนั่นจริง ๆ
และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่คุโระโอะทำหน้าที่เป็นติวเตอร์จำเป็นเนื่องจากเคนมะเอาแต่หลับในห้องทำให้แทบไม่ได้รับความรู้อะไรเข้าหัวสมองเลยสักนิด เขาเปิดสมุดโน้ตของตัวเองเมื่อปีที่แล้วให้ลูกศิษย์ชั่วคราวอ่านทำความเข้าใจ “ฉันจะเรียนไปทำไมในเมื่อแค่อ่านสมุดของคุโระก็ทำให้ฉันเข้าใจหมดแล้ว” เมื่อพูดจบก็ฟุบหน้าลงกับโต๊ะไม้ญี่ปุ่น ทำสีหน้าซังกะตายเพราะอยากเล่มเกมมากกว่าไปโรงเรียน แล้วก็ไม่อยากอ่านหนังสือสอบด้วย คุโระโอะจึงหลอกล่อด้วยการบอกว่าถ้าคะแนนสอบออกมาดีเหมือนเดิมจะซื้อเกมที่ใกล้วางแผงขายในอีกสามสัปดาห์ให้ คนที่ฟุบหน้าลงกับโต๊ะไม้ญี่ปุ่นเงยหน้ามองเขาด้วยสายที่ดูมีชีวิตชีวามากกว่าเดิม
เกือบทั้งวันที่เคนมะดูกระตือรื้อร้นกับการอ่านหนังสือมากเท่ากับการเล่มเกม (คุโระโอะยังได้ถ่ายภาพตรงหน้าที่หาดูได้ยากเอาเก็บไว้ด้วย)
“แล้วคุโระไม่อ่านหนังสือบ้างเหรอ” น้องชายข้างบ้านถามขึ้นเมื่อพบว่าคุโระโอะไม่ได้แตะหนังสือแม้แต่นิดเดียว เขากระแอมเล็กน้อยแล้วเหยียดยิ้มก่อนตอบ “คนอย่างฉันทบทวนก่อนเวลาสอบแค่แปบเดียวก็ทำได้แล้ว” เคนมะได้ยินดังนั้นจึงเบ้ปากแล้วก้มหน้าอ่านหนังสือต่อจนผล็อยหลับไปทั้งอย่างนั้น
คุโระโอะเงยหน้าจากนิตยสารวอลเลย์บอลประจำเดือน เห็นลูกศิษย์นอนหนุนหนังสือด้วยใบหน้าอ่อนล้าที่ได้มาจากการเล่นเกมจนดึกดื่นก็ทำใจปลุกไม่ลงจึงพยุงตัวไปไว้บนเตียงแทน ไม่บ่อยครั้งเท่าไหร่นักที่เขาเห็นเคนมะหลับคากองหนังสือ สงสัยคงอยากได้เกมออกใหม่นั่นมาก นิ้วมือเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้า เก็บกองหนังสือให้เข้าที่เข้าทางแล้วย่องเท้าเบาหวิวออกจากห้องกลับบ้านตัวเอง
เมื่อวันประกาศคะแนนสอบมาถึง พบว่าลูกศิษย์คนนี้ยังคงทำออกมาได้ดีเหมือนเดิม เขาจึงพาเคนมะซ้อนจักรยานปั่นไปซื้อแผ่นเกมตามที่เคยสัญญาไว้ ระหว่างทางได้ขับผ่านถนนลูกรังทำให้จักรยานสะเทือนอยู่บ่อยครั้ง เคนมะกลัวว่าตนเองจะตกลงไปจึงเกาะหลังผู้นำทางไว้แน่น นั่นทำให้คุโระโอะรู้สึกประหม่าขึ้นมา เผลอเพิ่มความเร็วจนทำให้เกือบชนกำแพงอยู่หลายต่อหลายครั้ง คนซ้อนหลังโวยวายเสียงดังลั่นทั้งยังเผลอฝากรอยข่วนไว้บนหลังคอผู้นำทางอีกด้วย
เมื่อถึงจุดหมายปลายทาง เคนมะรีบไปหยิบแผ่นเกมที่ว่านั่นทันที คุโระโอะเหงื่อตกนิดหน่อยตอนจ่ายด้วยเงินเก็บเกือบเกินครึ่งของตัวเองให้กับพนักงาน แต่เมื่อได้เห็นดวงตาเป็นประกายของน้องชายข้างบ้านก็คิดว่ามันคุ้มค่าเหลือล้นยิ่งกว่าจำนวนเงินที่จ่ายไปทั้งชีวิตเสียอีก
ระหว่างทางกลับบ้าน จู่ ๆ เคนมะก็ถามคำถามที่เขาไม่เคยคิดมาก่อน “คอยดูแลแต่ฉันตั้งแต่เด็ก ๆ ไม่เบื่อบ้างเหรอ” คุโระโอะชะงักกับคำถามนั้น เมื่อลองคิดย้อนกลับไปตลอดเจ็ดปีก็เห็นแต่ภาพที่เขาคอยตามดูแลน้องชายข้างบ้านไม่ห่าง ยามไม่สบายก็คอยช่วยคุณแม่ของเคนมะปรนนิบัติ ยามหิวข้าวก็พยายามทำไข่ให้กินแต่ผลลัพธ์คือพวกเขาทั้งคู่คิดว่ายอมออกไปซื้ออาหารสำเร็จรูปมากินเองคงดีกว่า ยามทะเลาะกันก็มักเป็นตัวเขาที่ยอมอ่อนข้อให้ก่อน ยามเคนมะร้องไห้ก็มีเขาคอยปลอบไม่ห่างกาย ยามเคนมะอมผักไว้ในปากไม่ยอมกลืนเขาจะพยายามบังคับให้เคนมะกลืนผักให้ได้ และตอนนี้ก็เป็นตัวเขาอีกนั่นแหละที่ให้เคนมะซ้อนท้ายจักรยานพามาซื้อแผ่นเกมตามสัญญา (แต่ถึงแม้ผลสอบจะออกมาไม่ดียังไงเสียเขาก็คิดจะซื้อให้อยู่แล้ว)
เมื่อสุ้มเสียงอ่อนโยนเอื้อนเอ่ย สายลมจึงพัดปลิวคำพูด ส่งให้ใครอีกคนได้รับสารที่สื่อจากก้นบึ้งของหัวใจ “อยู่ด้วยกันมาเกือบครึ่งชีวิตแล้วจะเบื่อลงได้ไง”
วินาทีนั้นหัวใจคุโระโอะรับรู้ได้ว่าตัวเขาหลงรักเคนมะมาโดยตลอดเจ็ดปี
Chapter IV
เมื่อวิเชียรมาศส่งเสียง
ยามเช้าในฤดูใบไม้ผลิปีที่ 18 ของคุโระโอะ เหล่านกร้องเพลงบินเกาะตามกิ่งไม้ เป็นวันที่อากาศเย็นสบายแต่คงจะดีกว่านี้ถ้าหากไม่ใช่วันที่ต้องไปโรงเรียน คุโระโอะเดินอ้าปากหาวน้ำตาคลอ ข้างกายมีเคนมะที่เดินกดเกมในโทรศัพท์ ไม่สนใจรอบข้างจนศีรษะเกือบชนเสาไฟฟ้าข้างทางหากคุโระโอะไม่จับหัวพุดดิ้งนั่นไว้เสียก่อน (ฉายาที่ตั้งโดยเขาและยามาโมโตะเพราะเคนมะย้อมผมสีบลอนด์ทั้งหัว แต่เมื่อโคนผมดำเริ่มยาวขึ้นทำให้เคนมะมีผมสองสีเหมือนพุดดิ้ง) “ดูทางหน่อยสิเคนมะ” กล่าวตักเตือนพร้อมจัดทรงผมคนข้างกายให้เป็นทรงเหมือนเดิม “ขอบใจคุโระ” เคนมะพูดโดยที่ยังก้มหน้ากดโทรศัพท์ต่อ ไม่สะทกสะท้านกับเหตุการณ์เมื่อกี้เลยสักนิด คุโระโอะถอนหายใจ ไม่อยากนึกภาพหากเคนมะไม่มีตัวเขาคอยดูแลแบบนี้ล่ะก็คงชีวิตสั้นแน่ ๆ
จู่ ๆ คนข้างกายก็หันซ้ายทีหันขวาที เก็บโทรศัพท์มือถือไว้ในกระเป๋ากางเกง วิ่งเข้าไปในตรอกซอยหนึ่งที่ไม่คุ้นเคย คุโระโอะเดินตามหลังเคนมะด้วยความสงสัย กำลังจะอ้าปากถามแต่เมื่อเห็นขนมแมวเลียในมือก็เข้าใจได้ทันที วิเชียรมาศตัวป้อมกำลังคลอเคลียผู้ที่ให้อาหารมันอยู่ ทั้งยังส่งเสียงร้องออดอ้อน เคนมะลูบหัวแมวตัวนั้น “ไม่ยักรู้ว่านายเลี้ยงแมวด้วย” เขาพูดยียวนน้องชายข้างบ้าน น้องชายหัวพุดดิ้งตอบโดยที่ยังเกาคางวิเชียรมาศ “เห็นชอบเข้ามาคลอเคลียด้วยเลยถูกชะตา ฉันก็อยากเลี้ยงไว้สักตัวนะแต่ไม่น่ารอด ขอผ่านดีกว่า”
แสงแดดเล็ดรอดผ่านแมกไม้สู่ใบหน้าของผู้พูด นัยน์ตาสีอำพันเหมือนแมวนิลเจิดจ้าสะท้อนแสงวาววับ เมื่อกะพริบดวงตาวิฬาร์ เกิดเป็นภาพช้าในภวังค์ ผู้ลอบมองกุมหัวใจตัวเองที่เต้นผิดจังหวะ เบือนหน้าหนีภาพตรงหน้าราวกับว่าถ้าหากมองนานกว่านี้ความรู้สึกที่พยายามกักเก็บไว้จะล้นทะลักออกมา ความเงียบที่ก่อตัวขึ้นชั่วคราวถูกปกคลุมด้วยเสียงร้องของวิเชียรมาศ
Chapter V
เมื่อเวลาเท่ากำปั้นทราย
เมื่อทั้งคู่เข้าสู่ภายในรั้วโรงเรียน ก่อนแยกย้ายกันไปเรียนตามอาคารเรียนของตัวเอง คุโระโอะได้รั้งแขนอีกฝ่ายไว้ “เดี๋ยวไปหาที่ห้องตอนเลิกเรียนแล้วไปโรงยิมพร้อมกัน เจอกันเคนมะ” จากนั้นจึงหันหลังเดินเข้าตึกเรียน เจ้าของชื่อยักไหล่ เดินอย่างคนหมดแรงไปทางอาคารเรียนตัวเองได้เพียงสามก้าวก็ต้องเอี้ยวตัวหันหลังกลับเมื่อโดนคนที่บอกลาไปแล้ววิ่งมาจับไหล่ทั้งสองข้างให้เผชิญหน้ากันอีกครา คนโดนรั้งครั้งที่สองทำหน้างุนงงเหมือนแมวที่วิ่งหนีสุนัขแล้วหาทางกลับบ้านไม่ได้
“มีอะไรหรือเปล่าคุโระ”
ผู้ถูกขานชื่อทำท่าจะเอ่ยอะไรสักอย่าง แต่ด้วยความป๊อดในจิตใจที่เกิดขึ้นมากะทันหันจึงปิดปากฉับ สองมือจึงแก้เนคไทและผูกให้อีกฝ่ายอย่างลนลานแก้เก้อแทน “เนคไทมันเกือบหลุดแล้วเลยผูกให้ใหม่ ฉันไปจริง ๆ แล้ว ไว้เจอกัน” เมื่อพูดจบคุโระโอะก็วิ่งขึ้นตึกเรียน (แบบจริง ๆ ) ทันที เจ้าของเนคไทเอ่ยขอบคุณเบา ๆ ตามหลังแม้ในใจคิดว่าตัวเองผูกไว้แน่นพอสมควรแล้วก็ตาม แต่เอาเถอะ ไม่ใช่ว่าเหตุการณ์แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเสียหน่อย
เมื่อคุโระโอะถึงห้องเรียน ยากุเขย่งเท้ากอดคอเขาทันที (เรียกว่ากระโดดกอดคอก็คงไม่ผิดถนัดนัก) “สรุปได้ถามหรือยังคุโรโอะ” เขาส่ายหัวเป็นคำตอบ เพื่อนที่ตัวเล็กกว่ายี่สิบสองเซ็นติเมตรมุ่ยหน้า “ไอบ้า! มันก็ยิ่งเสียเวลาสิ ใกล้จบมัธยมแล้วก็กล้า ๆ หน่อย เหลือเวลาแค่นิดเดียวเอง ใช่ไหมไค” ยากุหันไปทางเพื่อนตัวสูงอีกคนเพื่อขอความเห็น ไคที่นั่งลอกการบ้านของยากุอย่างเร่งรีบพยักหน้า
“มันไม่ได้พูดกันง่าย ๆ นะเว้ย” คุโระโอะขยี้ศีรษะตัวเองอย่างหงุดหงิดใจ ถ้ามันง่ายเหมือนบล็อกลูกวอลเลย์บอลก็คงไม่ต้องรอให้ถึงป่านนี้หรอก
เขาถอนหายใจ เหม่อมองไปทางหน้าต่าง
แสงแดดอ่อนแตะเหล่าไม้ยืนต้น ใบไม้ร่วงหล่นตามแรงลม สีเขียวบนต้นไม้เริ่มหายไปในแต่ละวันที่พ้นผ่านแต่ยังคงไว้ซึ่งกิ่งก้านแข็งแรง ทะเลกลีบดอกไม้ใต้อาคารเรียนพริ้วไหวชวนให้นึกถึงสีระเรื่อบนแก้มของใครบางคน จริงอย่างที่เพื่อนตัวเล็กพูด “เหลือเวลาไม่มากแล้ว…”
เมื่อกริ่งยามเลิกเรียนดังขึ้น เหล่าเด็กนักเรียนต่างพากันจับกลุ่มเดินออกนอกรั้วโรงเรียนทันที บ้างก็ชวนกันไปร้องคาราโอเกะ บ้างก็เข้าห้างสรรพสินค้า บ้างก็ไปเรียนเสริม “เหนื่อยชะมัด อยากไปดูหนังบ้างจัง” แต่ไม่ใช่กับกลุ่มแก๊งของคุโระโอะ นักกีฬาอย่างพวกเขาต้องอยู่หลังเลิกเรียนซ้อมวอลเลย์บอลต่อ
เพื่อนที่ตัวเล็กที่สุดในกลุ่มฟุบใบหน้าทรุดโทรมซึ่งมาจากการเรียนอย่างหนักหน่วงลงกับโต๊ะ ไคเดินมาตบบ่ายากุเป็นการปลอบใจด้วยใบหน้าที่ไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก เว้นแต่คุโระโอะที่อารมณ์ดีมาจากไหนไม่รู้ผิวปากเป็นเพลงสบายอารมณ์ สะพายกระเป๋าเดินออกจากห้องพร้อมทิ้งประโยคหนึ่งไว้ “พวกนายไปโรงยิมก่อนเลย เดี๋ยวฉันตามไปพร้อมเคนมะ” ยากุเบ้ปาก รอให้เจ้าตัวเดินไปได้สักพักจึงหันไปพูดกับไค “มันก็รักของมันมาตั้งนานแล้วนะ” ไคพยักหน้าเห็นด้วย “ไม่อยากนึกภาพวันที่หมอนั่นจบจากโรงเรียนเลย”
Chapter VI
เมื่อถูกย้อมเป็นสีม่วง
เสียงกระทบลูกวอลเลย์บอลกับพื้นกึกก้องไปทั่วโรงยิมเฉกเช่นเดียวกันกับเสียงตะโกนของเหล่านักกีฬา ฝ่ามือหลายคู่ปาดหยาดเหยื่อจากความเพียรให้พ้นกรอบหน้า สองขาวิ่งในสนามไปมาเข้าตำแหน่งของตัวเอง สายตาทั้งหมดล้วนจดจ้องไปที่ลูกทรงกลมลอยล่องถึงจุดยอดเหนือตาข่าย ทั้งสองฝ่ายต่างประมวลผลหาวิธีตั้งรับและโต้ตอบ ภายนอกอาจแลดูตรึงเครียดแต่บรรยากาศในสนามกลับตรงข้าม ปล่อยใจล่วงเลยไปพร้อมกับสายธารหยดเหงื่อและรื่นเริงในห้วงเวลาแห่งชีวิต
เมื่อเวลาพักที่ใครต่อใครต่างต้องการเดินทางมาถึง เคนมะดื่มน้ำชดเชยพลังงานที่เสียไป ใช้ผ้าเช็ดหน้าสีขาวเช็ดหยาดเหงื่อตามใบหน้าและลำคอ จากนั้นจึงเดินออกจากโรงยิมเพื่อสูดอากาศภายนอกอย่างเงียบ ๆ
คุโระโอะลอบมองแผ่นหลังของน้องชายข้างบ้านเดินไปนอกโรงยิม สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อไคเดินเข้ามาตบไหล่จากข้างหลัง “ไม่น่าเชื่อว่าพวกเราเป็นพี่ปีสามกันแล้ว” เขาตอบรับในลำคอ มองภาพเลฟที่อู้จากการฝึกเสิร์ฟลูกกำลังอ้อนวอนขออนุญาตยากุให้ตัวเองซ้อมรวมกับคนอื่น ปากก็พร่ำบ่นไปด้วยว่า “ผมจะเป็นสุดยอดเอส!” แน่นอนว่าคนอย่างยากุไม่มีทางใจอ่อนกับสีหน้า (ที่ปั้นให้) เหมือนลูกแมวออดอ้อน ช่างเป็นใบหน้าที่ดูฝืนและปลอมมากสำหรับคุโระโอะและไค เพื่อนตัวเล็กของเขาลากคอรุ่นน้องไปซ้อมต่อโดยไม่สนใจเสียงโอดครวญของเจ้าตัวที่ดังไปทั่วทั้งโรงยิม “แต่ฉันก็เห็นใจเลฟอยู่นิดหน่อยแฮะ” คุโระโอะพูดพร้อมปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก จากนั้นจึงเบนสายตามองไปยังทิศทางที่เคนมะเพิ่งเดินออกไปอีกครั้ง
เรื่องเมื่อเช้า…ยังไงดี…จะตามหรือปล่อยผ่าน
แสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องเข้ามาในโรงยิม ไคเอ่ยกับคุโระโอะ “วันนี้อากาศดีนะว่าไหม” เขาตอบรับโดยที่ยังคงจดจ้องอยู่ที่เดิม “ฉันว่านายควรออกไปสูดอากาศข้างนอกสักหน่อยนะ” ไคพูดพร้อมกอดคอเขาไปด้วย
“โอกาสแม้เพียงนิดอยู่ตรงหน้าใช่ว่าจะหมดหวัง แค่เสี้ยวเดียวเท่านั้น…แค่ชั่วพริบตา…การเปลี่ยนแปลงของชีวิตอาจอุบัติ อย่าหลงลืมว่าเวลามีแค่กำปั้นทราย”
เมื่อได้ยินประโยคนั้นตัวเขาแทบหยุดนิ่ง หวนนึกถึงเหตุการณ์ที่ยากุเคยพูดกับเขาเมื่อเช้า นึกถึงดวงตาสีอำพันแวววาวยามแสงตกกระทบ นึกถึงความรู้สึกภายใต้อกข้างซ้ายเต้นรัวเร็วแต่ก็สงบใจไปพร้อมกัน นึกถึงผืนฟ้าที่งดงามเสมอเมื่ออยู่กับใครอีกคน แล้วออกตัววิ่งไปตามแรงโน้มถ่วงซึ่งเรียกว่าหัวใจ เสียงร้องบางอย่างกระซิบบอกความรู้สึกให้รับรู้ได้แล้วว่าอย่าต้านแรงโน้มถ่วง
อย่าต้านแรงดึงดูดของหัวใจ
“ขอบใจมากไค อากาศข้างนอกดีกว่าที่คิดไว้อีก” เจ้าของชื่อตะโกนไล่หลัง “บอกแล้ว!”
Chapter VII
เมื่อเศษเสี้ยวรวมตัวกัน
อาทิตย์อัสดงหยอกล้อสีสันทั้งผืนฟ้าและผืนพิภพ ก่อนหลับใหล ได้ทิ้งท้องฟ้าถูกย้อมเฉดสีม่วงไว้เป็นของอำลา มหาสมุทรบุปผาปกคลุมทั่วทางเดินถูกสายลมพัดปลิว เต้นระบำกลางเวหาบอกลาดวงอาทิตย์เข้านอน ฝูงนกบินผ่านหมู่เมฆเกิดเป็นทางสีขาว ทิ้งคำร้องเพลงไว้ระหว่างกลับรัง วิเชียรมาศตัวเดิมพูดคุยพร้อมเกลือกกลิ้งไปมาบนมหาสมุทรบุปผา และชายหนุ่มสองคนที่นั่งข้างกันใต้ต้นไม้ไร้ใบ
“สวยเนอะ” เคนมะพยักหน้าน้อย ๆ ขณะเกาพุงวิเชียรมาศที่แอบเดินเข้ามาโดยที่ยามไม่ทันสังเกตเห็น คุโระโอะเหลือบตามองคนข้างกายเล็กน้อย จากนั้นจึงสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะโพล่งคำถามที่ถูกกักเก็บไว้มาเนิ่นนาน “เคยคิดอยากมีแฟนบ้างไหม” ผู้ตั้งคำถามอ่านภาษากายจากคิ้วขมวดบนใบหน้านั่นได้ว่า “ถามอะไรของนาย โดนยามาโมโตะตบลูกวอลเลย์บอลใส่หัวหรือไง” เป็นดั่งที่คิดไว้ไม่มีผิด เพราะทันทีที่ถามจบเคนมะก็พูดประโยคนั้นขึ้นมาจริง ๆ เขาจึงอ้อนวอนให้อีกฝ่ายตอบ คุโระโอะเบนสายตามองไปทางวิเชียรมาศที่นอนบนตักเคนมะโดยหวังว่ามันจะลดอาการประหม่าลงได้ แต่นั่นก็ไม่ช่วยเลยสักนิดเพราะสุดท้ายแล้วเขาก็แอบเหลือบมองคนข้างกายเหมือนอย่างที่ทำมาตลอดอยู่ดี
เกิดเป็นภาพซ้อนทับกันระหว่างภาพเมื่อทศวรรษที่แล้วและ ณ วินาทีนี้ นัยน์ตาสีอำพันยังคงเจิดจรัสดุจสียามฤดูใบไม้ร่วงไม่มีผิดเพี้ยน อัตราการเต้นของหัวใจพุ่งสูงขึ้นทะยานสู่เวหา ถ้าหากมันกลายเป็นนกแทนเส้นกราฟได้คงบินว่อนเป็นร้อยตัวเหนือหัวของทั้งเขาและเคนมะไปแล้ว
“ฉันไม่มีเวลาคิดเรื่องแบบนั้นหรอก แค่ตื่นเช้าไปโรงเรียน เจอผู้คนมากมาย เรียนหนังสือเกือบวันละ 7 ชั่วโมงก็เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว แถมตอนเย็นต้องมาซ้อมวอลเลย์บอลอีก บอกตามตรงว่าถ้าฉันไม่แอบอู้ตอนซ้อมล่ะก็ทั้งตัวคงพังไปหมดแล้ว ยังมีอีกนะ เวลาว่างฉันก็เล่มเกมแถมยังเอาแต่คิดว่า “เมื่อไหร่ฉันจะเล่นผ่านด่านนี้สักทีนะ” ไม่ก็ “เกมใหม่จะออกอาทิตย์หน้าแล้วตอนนี้ฉันเหลือเงินเก็บกี่บาทนะ” แล้วฉันก็จะเศร้าใจทุกครั้งที่เงินไม่พอซื้อ เพราะงั้นฉันก็เลยเอาเกมเก่าที่เล่นค้างไว้กลับมาเล่นต่อ แล้วก็ต้องตื่นเช้าไปโรงเรียนอีก เรื่องมีแฟนตัดออกไปได้เลยเพราะแค่ทำความรู้จักคนแปลกหน้าพลังงานมันก็ลดเหลือครึ่งหลอดแล้ว”
คุโระโอะได้ยินดังนั้นจึงถอนหายใจเบาพร้อมยกยิ้มน้อย ๆ ให้กับตนเอง ก่อนถามก็เตรียมใจไว้แล้วนั่นแหละว่าจะได้ยินคำตอบแบบไหนจากเจ้าตัว —ช่างเป็นคำตอบที่สมกับเป็นเคนมะจริง ๆ แต่คุโระโอะก็ต้องเปลี่ยนความคิดที่ว่านั่นทันทีเมื่อได้ยินน้องชายข้างบ้านพูดประโยคต่อมาโดยที่เขาไม่ได้คาดคิดหรือคาดหวังไว้
“แค่ฉันอยู่กับคุโระมันก็เพียงพอมากแล้วล่ะ”
เจ้าของชื่อในประโยคฉีกยิ้มกว้าง หูและหางที่ลู่ตกชี้ขึ้นฟ้า แววตาเกิดแสงประกายวาววับสบตากับอีกฝ่าย เคนมะมองหน้าคุโระโอะด้วยเครื่องหมายคำถามเกือบสิบ “ดีใจอะไรนักหนา” คุโระโอะจึงเอ่ยปากขอกอดคนตรงหน้า เคนมะพยักหน้าน้อย ๆ เมื่อได้รับอนุญาตเขาจึงสวมกอดน้องชายข้างบ้านเข้าเต็มรัก
ทั้งคู่จมลงในทุ่งดอกไม้ร่วงหล่น (แน่นอนว่าวิเชียรมาศที่นอนอยู่บนตักรีบกระโดดหนีทันทีด้วยความตกใจ) ผู้ถูกสวมกอดจึงยกแขนกอดตอบ แม้จะยังคงสงสัยแต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากว่าอะไร มิหนำซ้ำยังเผลอยกยิ้มอีกต่างหาก —ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นักก็เถอะว่าเพราะเหตุใดกันจึงต้องยิ้มออกมา
ท้องฟ้าสีม่วงล้อมรอบ เมฆเฉดสีเดียวกับท้องฟ้าเคลื่อนที่ มหาสมุทรบุปผาพริ้วไหว กับหัวใจดวงหนึ่งที่เต้นระบำอย่างปรีดาและหัวใจอีกดวงหนึ่งที่เริ่มตระหนักได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่เก็บสะสมไว้มาเนิ่นนานเพียงแค่ไม่รู้ตัวก็เท่านั้น
Chapter VIII
เมื่อถูกห้ามและพบเห็น
“ไอ้เจ้าหัวพุดดิ้งนั่นอู้อีกแล้วเหรอ ไปอยู่ไหนของหมอนั่นนะ คุณคุโระโอะก็หายไปอีกต่างหาก”
“เอาเถอะน่ายามาโมโตะ เดี๋ยวพวกนั้นก็กลับมา”
“โห! วันนี้ท้องฟ้าสวยดีนะครับ ผมขอไปดูสักหน่อยเดี๋ยวกลับมาซ้อมต่อ”
“ไปช่วยยากุฝึกเลฟดีกว่า ดูนั่น เลฟยังไม่คืบหน้าเลย“
“แค่แปบเดียวเองครับ เดี๋ยวผมมา สองวิก็ได้เอ้า!”
“ก็ได้ แต่ไปแบบตีนแมวนะ”
“ท้องฟ้าเป็นไง”
“ค่อนข้างเป็นใจให้ใครบางคนครับ”
“โห้ เข้าใจพูด”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in