ในช่วงชีวิตมัธยมปลายของมิยะ อัตสึมุนั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความฝัน การค้นหา ความท้ายทาย ความทะเยอะทะยาน หรือความหวัง แน่นอนว่าสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นนั้นล้วนเป็นเรื่องรอง ความสัมพันธ์ของเพื่อนและคนที่ดูใจอยู่ด้วยต่างหากล่ะที่มาเป็นอันดับแรก ปัจจัยหลักในการไปโรงเรียนโดยส่วนมากแล้วก็มาจากเพื่อนและคนที่แอบชอบทั้งนั้นแหละ ใครจะไปโรงเรียนเพื่อเรียนบ้างล่ะจริงไหม เว้นแค่พวกเด็กเรียนในห้องที่ตั้งใจฟังสิ่งที่อาจารย์สอนก็แล้วกัน (แม้ส่วนมากจะเป็นตัวเขาเองก็เถอะที่พยายามชวนอาจารย์คุยนอกเรื่องแต่ก็ไม่ค่อยเป็นผลเท่าไหร่นัก) เอาเถอะ ตัวเขาล่ะหนึ่งที่ไม่ขออยู่ในกลุ่มนั้นด้วย ให้ฟังสิ่งที่อาจารย์สอนทุกคำคงได้เบื่อตายกันพอดี ยกเว้นวิชาพละกับคาบว่างก็แล้วกัน แต่…เฮ้! มันไม่ได้หมายความว่าเขาไม่เอาการเรียนเลยนะ แค่เล่นมากกว่าก็เท่านั้นเอง
ตั้งแต่ย่างเข้าสู่มัธยมปลายเต็มตัว สิ่งแรกที่อัตสึมุทำคือออกตามหาคู่เดทที่คู่ควรกับเขา ทั้งในและนอกโรงเรียน แม้จะโดนมิยะ โอซามุแฝดผู้น้องเตือนบ่อยครั้งด้วยน้ำเสียงเนือยๆ ก็เถอะว่า “นายควรคิดได้แล้วนะเรื่องการเข้ามหาลัยในอีกไม่ถึงสามปีข้างหน้า” ราวสุนัขจิ้งจอกวิ่งเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา อัตสึมุยังคงตามหาคู่เดทต่อไป เรื่องแบบนี้ให้ตัวเขาในอนาคตเป็นคนจัดการดีกว่าน่า ค่อยคิดตอนขึ้นมัธยมปลายปีสองก็ยังไม่สาย ชีวิตตอนนี้มันมีอะไรมากกว่ามานั่งเครียดเรื่องเข้ามหาลัยนะ แต่ก็ช่างน่าเศร้าเมื่ออัตสึมุผลึกความคิดดูดี ๆ พบว่าการศึกษาในโรงเรียนไม่ค่อยเอื้ออำนวยเขาสักเท่าไหร่นัก
อีกสิ่งหนึ่งที่อัตสึมุและแฝดของเขาโปรดปรานคือการเล่นวอลเลย์บอล พวกเขาสมัครเข้าชมรมวอลเลย์บอลและด้วยฝีมือที่โดดเด่นของทั้งคู่ทำให้ได้เป็นนักกีฬาตัวจริงได้ไม่ยาก แน่นอนว่าเมื่อเป็นนักกีฬาโรงเรียนแล้วชื่อเสียงก็ต้องแผ่ขยายตามไปด้วย ไม่มีใครในโรงเรียนที่ไม่รู้จักฝาแฝดมิยะ แต่อัตสึมุมักเป็นหัวข้อที่ถูกสนทนาถึงมากกว่า —โดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิงในโรงเรียน
จากคำบอกเล่าที่ส่งต่อไปทั่วทั้งโรงเรียนโดยพวกเธอ —หรืออาจเป็นสิ่งที่ทุกคนรับรู้ได้อยู่แล้ว คารมคมคาย ถ้อยคำแยบยล ทีเล่นทีจริง เจ้าเล่ห์เพทุบาย นิสัยเหล่านี้สร้างให้เขาเป็นอัตสึมุที่ใครต่อใครก็ต่างต้องการค้นลึกเข้าไปในจิตใจคล้ายกับการไขลายแทงสมบัติที่ซับซ้อน ราวกับพลอยต้องสาปดึงดูดผู้คนให้ตกหลุมพรางหากได้เผลอใจไปเสี้ยววินาที แม้ริมฝีปากและตาจะยกยิ้ม แต่ใครเล่าจะหยั่งรู้ได้ว่ารอยยิ้มที่เจือปนความขี้เล่นแบบนั้นออกมาจากใจจริง ผู้คนที่ถูกความเจ้าเล่ห์หลอกล่อนั้นล้วนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “เพราะงั้นเขาถึงน่าดึงดูดยังไงล่ะ”
แต่ด้วยนิสัยสุนัขจิ้งจอกของตัวเองอีกนั่นแหละที่เป็นต้นเหตุก่อความวุ่นวาย (ที่เขาคิดว่า) ใหญ่หลวงที่สุดในชีวิต คือวันที่รถไฟมากกว่าสองสายชนกันดังโครม! ไม่ใช่เพราะสับรางไม่ทัน แต่เป็นเพราะสึนะ รินทาโร่ (เพื่อนในทีมวอลเลย์บอลที่ครั้งหนึ่งเคยถ่ายคลิปเขาและโอซามุทะเลาะกัน) ดันเผลอปล่อยภาพที่เขาเดินจับมือกับรุ่นพี่คนหนึ่งในโรงเรียนต่างหาก! กว่าอัตสึมุจะรู้ตัวว่าภาพนั้นว่อนเต็มโลกโซเชี่ยลคงเป็นตอนที่รถไฟมากกว่าสองสายพร้อมใจกันดักรอเขาที่หน้าโรงเรียนโดยไม่ได้นัดหมาย พร้อมใจกันตั้งคำถาม พร้อมใจกันก่นด่า และพร้อมใจกันบอกเลิกพัฒนาความสัมพันธ์ ช่างเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างเร็วโดยไม่ทันตั้งตัวและตัดจบได้ไวเฉกเช่นกัน
โอซามุที่ยืนข้างผู้เป็นต้นเหตุของเหตุการณ์ทั้งหมด (และเกือบโดนลูกหลงเข้าเสียแล้วหากพวกเขาทั้งคู่ไม่ได้มีผมสีเดียวกัน) เดินเข้าไปตบบ่าพี่ชายฝาแฝดของตัวเอง “สมน้ำหน้า” แน่นอนว่าพูดด้วยใบหน้าเนือย อัตสึมุไม่ตอบโต้อะไรกลับเหมือนอย่างเคยเพราะยังงุนงงกับเหตุการณ์ที่เพิ่งจบไป —ใช่ อัตสึมุกำลังทำสีหน้าที่ตีความได้ว่า “เอ้า โดนด่าเฉยเลย” หรือ “สิ่งที่ฉันทำมันผิดตรงไหนกัน” โอซามุถอนหายใจ เดินล้วงกระเป๋ากางเกงเข้าประตูโรงเรียน ทิ้งให้อัตสึมุยืนงงงวยเป็นจิ้งจอกหัวเน่าไว้คนเดียวท่ามกลางพยานผู้เห็นเหตุการณ์นับสิบ
ช่างเป็นยามเช้าที่สุนทรีย์เหลือแสน
เมื่อพระอาทิตย์เริ่มหลับใหล อัตสึมุตัดสินใจไม่ไปซ้อมวอลเลย์บอลหลังเลิกเรียนเหมือนอย่างเคย โดยให้เหตุผลกับกัปตันทีมว่า “ผมคิดว่าผมได้รับแรงกระทบกระเทือนต่อจิตใจ” เดินล้วงกระเป๋ากางเกงกลับบ้านอย่างเอื่อยเฉื่อย เตะก้อนหินด้วยอาการเซ็งสุดขีด ในหัวคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเช้า ไม่ว่าจะคิดกี่ตลบก็ยังไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาทำในรูปมันผิดตรงไหนอยู่ดี…ก็แค่จับมือกันมันร้ายแรงขนาดนั้นเลยหรือไง…เขาจึงทิ้งเรื่องหนักใจไว้กับดอกไม้ริมทาง แล้วผิวปากพร้อมออกเดินด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลง
ทุกจังหวะการย่างก้าว เขาพบว่าตัวเองนั้นได้หลุดเข้ามาอีกโลกหนึ่งราวสุนัขจิ้งจอกหลงฝูง อัตสึมุเดินผ่านเก้าอี้ยาวที่คู่รักกำลังผลัดกันป้อนไอศกรีม เดินผ่านแมวสองตัวที่เดินคลอเคลียกันไปมา เดินผ่านคุณตาที่ซ่อนดอกไม้ช่อใหญ่จากคนรักหวังเซอร์ไพรส์ เดินผ่านหญิงสาวที่หอมแก้มหญิงสาวอีกคน และเดินผ่านคู่รักอีกคู่ที่ยืนจูบกันโดยไม่สนใจผู้คนที่พบเห็น อัตสึมุมองภาพเหล่านั้นด้วยความรู้สึกว่างเปล่า คล้ายว่าหัวใจตนเองนั้นได้หล่นหาย ละลายไปพร้อมกับสิ่งที่เขากำลังเฝ้าใฝ่หา แววตาที่มักฉายแววแสนกลตกกระทบด้วยแสงยามเย็น สะท้อนความโหยหาผ่านนัยน์ตา เผลอเอ่ยขึ้นกับตัวเองอย่างเผลอไผล “ความรัก…”
ยามเดือนคล้อย อัตสึมุนอนไม่หลับ พลิกตัวไปมาบนเตียงชั้นสอง ส่งผลให้ทั่วทั้งเตียงเกิดเสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าด โอซามุที่นอนเตียงชั้นล่างขมวดคิ้ว “เลิกขยับได้แล้วมันนอนไม่หลับ” อัตสึมุได้ยินดังนั้นจึงแกล้งขยับตัวอีกสองสามครั้งแล้วหยุดนิ่ง (โอซามุบอกกับตัวเองว่าถ้าหากโดนก่อกวนนานกว่านี้สักสองวินาที รับรองได้เลยว่าอัตสึมุจะต้องโดนเตะจากข้างล่างแน่) ดวงตาสีเดียวกับเส้นผมจดจ้องเพดานสีขาว ตัดสินใจระบายถึงเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดในวันนี้
“…แล้วนายคิดว่าไงซามุ” เมื่อพูดจบอัตสึมุก็ห้อยหัวลงมาทันที คนถูกถามสะดุ้งจนศีรษะโขกกับหัวเตียง สบถคำหยาบลอดไรฟัน ตัวต้นเหตุหัวเราะเมื่อแกล้งสำเร็จ จากนั้นจึงกลับไปนอนที่เดิม “ฉันว่านะ…” โอซามุจ้องมองต้นไม้ริมระเบียงผ่านรอยแง้มของผ่าม่าน “เรื่องจับมือมันไม่ผิดหรอก” อัตสึมุได้ยินดังนั้นจึงเผลอลุกขึ้นยืนด้วยความดีใจที่มีคนคิดเหมือนเขา ส่งผลให้ศีรษะกระแทกเข้ากับเพดานห้องอย่างจัง โอซามุเหยียดยิ้มด้วยความสะใจหลังจากได้ยินเสียงแฝดพี่สบถคำหยาบออกมา อัตสึมุกำลังจะห้อยหัวลงมาอีกครั้งหากไม่ได้ยินประโยคถัดมาเสียก่อน “แต่มันก็ไม่สมควรทำอยู่ดี”
เกิดประโยคคำถามมากมายในหัวอัตสึมุ ราวกับโอซามุรู้ดีว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรจึงชิงพูดขึ้นมาก่อน “ใช่ มันไม่ผิดหรอกที่นายไปจับมือกับใครก็ได้เพราะนายยังไม่ได้มีคู่เดท” โอซามุเดินไปเปิดผ้าม่าน แสงนวลจากจันทร์เต็มดวงสาดส่องทั่วห้อง จากนั้นจึงทิ้งตัวลงบนเตียง หลับตาและพูดต่อ “พนันได้เลยว่าเด็กพวกนั้นคงไม่รู้แน่ว่านายคุยซ้อน นั่นไง (โอซามุตัดสินจากเสียงเดาะลิ้น) คิดถึงใจคนที่คุยกับนายด้วย ถ้าเด็กพวกนั้นไม่ใช่สำหรับนายจริงๆ ก็แค่เลิกคุยซะแล้วปล่อยให้พวกเธอไปเจอกับคนใหม่ อย่าให้ความหวังลมๆ แล้งๆ อย่าลังเลจนทำให้คนรอเสียเวลา เวลาคนรอมันนานกว่าที่นายคิดนะไอบ้าสึมุ แล้วนายก็ทำแบบนี้ลับหลังอีก เด็กพวกนั้นเลยโกรธ —ไม่สิ เสียใจจนโกรธมากกว่า เป็นแค่คนคุยก็จริงแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำแบบนี้ได้หรอกนะ”
อัตสึมุกะพริบตา นับเป็นครั้งแรกในรอบปีที่แฝดน้องของตัวเองพูดยาวเหยียดขนาดนี้และยังเป็นการสั่งสอนอีกต่างหาก “แต่ฉันก็ไม่โกรธนะถ้าพวกเธอทำแบบที่ฉันทำ” โอซามุถอนหายใจ ตอบขณะที่ยังหลับตาไปด้วย “คนเราไม่เหมือนกันหรอกนะ สึมุ” อัตสึมุนิ่งเงียบ จ้องมองต้นไม้ริมระเบียง “คนรอมันทรมาน เจอแบบนั้นเป็นใครก็ปวดใจ มีแค่คนโง่เท่านั้นแหละที่ทนได้ แต่…ใช่…ฉันเองก็เป็นคนโง่เหมือนกัน” น้ำเสียงที่อ่อนลงและเบาวิวจนแทบไม่ได้ยินของโอซามุทำให้เขาทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอีกครั้งจนกระทั่งผล็อยหลับไปพร้อมกับความคิดที่เปลี่ยนแปลงไป เหลือเพียงโอซามุที่นอนไม่หลับ หยิบภาพคู่—ตัวเขากับใครอีกคน—ใต้หมอนมาเชยชมพร้อมความปวดร้าวในหัวใจท่ามกลางแสงจันทร์ยามเดือนคล้อย
เช้าวันใหม่มาเยือน ขณะเดินทางสู่โรงเรียน อัตสึมุเดินล้วงกระเป๋ากางเกงและผิวปาก ซักถามเรื่องเมื่อคืนที่โอซามุได้พูดออกมา “ว่าแต่คนที่นายโง่ยอมคุยต่อด้วยนี่ใครกันซามุ ใช่คนนั้นหรือเปล่า” โอซามุเบนสายตาหนี พยายามหลบตาฝาแฝดของตัวเอง ฉลาดนักล่ะกับเรื่องแบบนี้ การกระทำนั้นทำให้อัตสึมุมั่นใจว่าตนเองเดาถูก ยกยิ้มอย่างมีเลศนัยพร้อมดีดนิ้วเป็นจังหวะ “รู้แล้วยังจะถามอีก” โอซามุชกไหล่คนข้างกายเบาๆ คนโดนชกหัวเราะเยาะแฝดน้องของตัวเองดังลั่น
ระหว่างการเดินทาง อัตสึมุก้มเด็ดดอกไม้ริมทางสีขาวดอกหนึ่งเก็บใส่กระเป๋าเสื้อ โอซามุซักถามด้วยความใคร่รู้ เขายักไหล่ “ก็แค่เก็บเรื่องที่เคยทิ้งไว้มาเตือนใจ”
เมื่อเริ่มก้าวเดินใหม่อีกครั้ง อัตสึมุพบว่าหัวใจตนเองยังคงหล่นหาย ความรู้สึกโหยหาใครสักคนยังไม่ถูกเติมเต็ม หวังว่าคงมีคนเก็บหัวใจที่ทำหล่นไว้ส่งคืนให้ตัวเขาในสักวันหนึ่ง เมื่อถึงวันนั้นดอกไม้ริมทางคงไม่จำเป็นอีกต่อไป
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in