วันนี้เป็นวันสุดท้ายของเทศกาลสงกรานต์ วันรวมญาติของครอบครัวฉัน การแบกหน้าไปเจอคนนั้นที คนนี้ที โดยที่ไม่รู้ว่าเค้าเป็นใคร เป็นญาติเราหรือแค่คนรู้จัก ฉันเบื่อและเหนื่อยหน่ายกับเทศกาลนี้เหลือเกิน พอ ๆ กับปีใหม่
ฉันได้งานแล้ว แต่งานที่ได้เป็นงานที่ไม่มั่นใจเลยว่าจะทำได้ เมื่ออ่านเนื้ิอความและทำเทสกับฝ่ายบุคคลแล้ว ฉันพบว่าฉันยังขาดประสบการณ์ด้านนี้ค่อนข้างมาก ฝ่ายบุคคลไม่ได้บอกวันเริ่มงานที่แน่นนอน ทำให้ฉันเหมือนโดนลอยแพว่าจะได้ทำงานนี้จริง ๆ หรือเปล่า การเดินทาง การหาหอพัก การหาเงินมาใช้ระหว่างทำงานเป็นอะไรที่หนักอึ้งสำหรับฉัน ในเมื่อฉันก็ยังไม่มีเงินเดือน น้องตกงาน มีเพียงเงินบำนาญของยายเดือนละไม่ถึงหมื่นพยุงให้ครอบครัวเราผ่านอะไรหลายอย่างไปได้
ฉัน overdosed ไปตอนต้นเดือน สาเหตุมาจากน้องชายตัวเองที่ไม่ยอมรับฟังอะไรจากฉันเลย การเปิดใจคุยกันแค่พี่กับน้องยังทำไม่ได้ ฉันเป็นคนที่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางจริง ๆ ฉันพยายามพูดทุกอย่างที่ฉันรู้สึกให้น้องตัวเองฟัง โดยที่ทางน้องก็ไม่ได้เต็มใจจะฟัง บวกขึ้นเสียงและอารมณ์ร้อนใส่ฉันด้วย ประเด็นที่พูดคือการถามน้องตัวเองว่าถ้ายายไม่อยู่เราจะทำยังไง น้องตอบว่า ถามแบบนี้อีกล่ะ ไม่อยากฟัง เครียด แค่นี้ก็จะไม่รอดอยู่แล้ว ฉันยังคงพูดในความต้องการของตัวเอง บอกว่าซึมเศร้าของฉันเกิดขึ้นได้ยังไง แล้วรู้ไหมที่ยายไปหาหมอเพราะอะไร แล้วรู้อะไรมากกว่านั้นไหม น้องส่ายหน้าพร้อมกับบอกว่า ไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้นแหละ ฉันร้องไห้ด้วยความอดทนอดกลั้นที่จะไม่ระเบิดตามน้องไปด้วย การเปิดใจคุยกันมันยาก และนี่เป็นการเริ่มต้นครั้งแรกของฉันเกี่ยวกับการพูดอะไรแบบนี้กับน้อง ฉันยังคงร้องไห้ไม่หยุด มองเพดานแล้วนึกว่า มันจะฟังเราตอนไหนเหรอ ฉันขอกอดน้อง ฉันขอสองอย่างกับน้องคือหนึ่ง อย่าทำอะไรเสียงดังได้ไหม ไม่ว่าจะเป็นเสียงเปิด-ปิดประตู เสียงทีวี เสียงคุยโทรศัพท์ หรือแม้กระทั่งเสียงเล่นกับลูก ฉันขอไปมาก อีกเรื่องคือการขอว่าเวลาพูด มองตาคนฟังได้ไหม การที่ครอบครัวเราห่างเหินกันขนาดนี้ ฉันว่ามันน่าจะมาสาเหตุนี้ประมาณหนึ่ง บ้านฉันไม่เคยกินข้างพร้อมหน้าพร้อมตากันเลยซักครั้ง ต่างคนต่างแยกกันกิน อึดอัดกับการเดินสวนกัน
แล้วฉัน overdoed ทำไม
ฉัน overdosed เพื่อประชดน้องที่ทำให้ฉันเจ็บกับการกระทำหรือการพูดของเค้า แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ฉันไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น ไม่มีความสุข ไม่มีความทุกข์ ฉันนอนในโรงพยาบาลไปสามวัน โรงพยาบาลประจำจังหวัดในวอร์ด med ไม่คิดว่าจะมีแอร์อยู่แลัว แล้วมันก็ร้อนมาก ไม่รู้ว่าคนอื่นทนได้ไง ยายต้องนอนตอนกลางคืนข้างเตียงที่พื้นวอร์ดเพื่อเฝ้าฉัน ยังคงไม่เข้าใจตอนนี้ว่าโรงพยาบาลให้เฝ้าทำไม ฉันเจอเพื่อนเก่าที่เป็นหมอด้วย แต่ก็ไม่คิดจะทักเพราะเราห่างเหินกันพอสมควร ยายยังคงคั้นคะยอบอกว่าให้ไปทักเค้าไหม ฉันมองเห็นเพื่อนกำลังใส่ท่อช่วยหายใจให้คนไข้ หา vocal cord อย่างตั้งใจ และใส่เสร็จไม่ถึงสองนาที พอเห็นแบบนี้แล้วก็คิดว่า ทำไมชีวิตเราไม่ success แบบเพื่อนคนอื่นบ้างวะ มีงานทำ มีบ้านให้อยู่แบบไม่ต้องเช่า มีรถขับ ถึงแม้มันจะแลกมาด้วยความเหนื่อยล้าจากการทำงานแต่การทำงานที่เค้าชอบคงไม่ลำบากใจอะไรมากนักในมุมมองของฉัน สุดท้ายแล้ว ก็คิดแค่ว่าเมื่อไหร่จะได้ออก คิดแค่ว่าน้องมันจะรู้ถึงความผิดของตัวเองที่ทำให้พี่สาวตัวเองเป็นแบบนี้ไหม ฉันคิดว่าไม่ ระหว่างที่แอดมิด ฉันจำอะไรไม่ค่อยได้ นอกจากพี่จิตวิทยามาคุยว่าเกิดอะไรขึ้น บวกกับการที่หมอมาคุยครั้งสุดท้ายก่อนออกจากโรงพยาบาล บอกว่าไป consult ไซไคอาทิตย์หน้านะ ฉันหยักหน้าหงึก ๆ แต่ในคิดว่าปล่อยไปแม่งเหอะ เหนื่อยละ
ฉันออกจากโรงพยาบาลมาเพื่อมาทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นกับน้องและฉัน หลานปรี่เข้ามาถามว่าทวดกับป้าหายไปไหน ทวดได้แค่ตอบว่าไปโรงพยาบาลมา แล้วบทสนทนาก็จบแค่นั้น อีกสามสี่วันฉันต้องทำ CBT กับพี่ที่โรงพยาบาลผ่าน zoom การคุยครั้งนี้ทำให้ฉัน reflect กับตัวเองค่อนข้างมากเลย อย่างแรกคือการไม่รู้จักคำว่า "พอ" ในเมื่อการพูดของฉันกับน้อง แล้วน้องไม่รับฟัง ฉันก็ควรจะพอได้แล้ว ไม่ต้องไปดราม่า ร้องไห้สะอึกสะอื้นต่อหน้าน้องให้มันได้อะไรขึ้นมา อย่างที่สองคือการ "หนี" ในเมื่อมันเป็นสถานการณ์ที่สองคนไม่พร้อมที่จะรับฟังหรือพูดคุยกัน ฉันควรหนีและลุกออกไปได้แล้ว จะมาทนนั่งฟังน้องพูดสิ่งที่เค้ากำลัง aggressive ใส่เราทำไม ตอนนั้นฉันคิดอะไรแบบนี้ไม่ได้เลย และอย่างสุดท้ายคือการ "ขอ" การขอที่มากเกินไป การขอที่เป็นความต้องการโดด ๆ ของฉันและเป็นการขอแบบเห็นแก่ตัวด้วยส่วนหนึ่ง การขอเพื่อให้ตัวเองสบายใจ โดยที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่ขอไปนั้นมันเป็นไปได้ยาก และการขออะไรจากคน ๆ หนึ่งมันต้องใช้เวลาปรับ tune กันไม่รู้กี่สิบอย่าง หรืออาจจะมาด้วยข้อแลกเปลี่ยนบางประการก็เป็นได้
เมื่อคุย CBT เสร็จ ฉันก็พบว่าการกระทำของฉันมันงี่เง่ามาก ตอนเดินออกมาจากน้องแล้วไปนั่งร้องไห้ใต้ต้นไม้มันดูงี่เง่ามาก ร้องจนหายใจไม่ทัน ฉันเดินไปเปิดประตูรถเพื่อดูว่ารถล้อคอยู่หรือเปล่า เดินไปหาเตาที่พอจะเอามาจุดรมควันตัวเองได้ แต่ทั้งหมดก็ไม่ได้เกิดขึ้น พระเจ้าคงไม่ได้รักฉันขนาดนั้น
สุดท้ายที่อยากทิ้งไว้คือ พอเถอะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in