เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ประตูสีน้ำเงินBlue door
พื้นที่ทับซ้อนกับความทรงจำซ้อนทับ
  • “เจอกันอีกแล้วนะ”

    “....”


    เด็กหนุ่มนักเรียนมัธยมปลายกล่าวทักฉันในขณะที่เขานั่งอยู่ชั้นบนสุดของสแตนเชียร์ ทั้งสนามฟุตบอลเงียบเชียบเหลือฉันกับเขาเพียงสองคน

    เอาเข้าจริงฉันจำไม่ได้แล้วว่าเรามาเจอกันในที่แห่งนี้กี่ครั้งแล้ว บรรยากาศเดิมๆ ความเงียบเหงาเดิมๆ แต่ที่น่าแปลกคือฉันไม่เคยนึกชื่อเด็กหนุ่มคนนั้นออกสักครั้ง มันเหมือนกับว่าฉันรู้จักเขา แถมยังรู้จักดี จนนั่นเป็นเหตุผลที่ตอนนี้ฉันจำชื่อเขาไม่ได้แล้ว

    เหมือนเคยฉันเดินขึ้นสแตนเชียร์ไปนั่งชั้นล่างรองจากเขา 1 ชั้น สายตาของเขาไม่เคยเปลี่ยนจากที่เราเจอกันทุกวัน สายตาที่เยือกเย็นจนเหมือนอากาศในฤดูหนาวแต่ก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนวันปีใหม่


    “ทำไมวันนี้มาช้า”

    “....”

    “รู้มั้ยกูนั่งรอตั้งนาน”

    “....”

    เขาถอนหายใจแล้วมองตรงไป


    ฉันก็ไม่รู้ทำไมฉันถึงไม่ตอบเด็กหนุ่มคนนั้นกลับ รู้เพียงว่าสมองบอกให้ฉันเงียบ การที่ไม่คุยกับเขานั่นแหละดีที่สุด

    “คิดถึงที่นี่เหมือนกันเนอะ” เขายังคงมองไปรอบๆ “มันไม่เคยเปลี่ยนไปเลย...แค่ในที่แห่งนี้นะ”แล้วเขาก็ละสายตามองมาที่ฉันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม 


    สำหรับฉันนี่มันเริ่มจะพิศวงมากขึ้นไปทุกที ฉันรู้ว่าที่แห่งนี้มันคือโรงเรียนที่ฉันเคยเรียนตอนมัธยม และนี่ก็เป็นเย็นหลังเลิกเรียนตอน 5 โมง แต่ให้ตายเถอะ! ฉันจบจากที่นี่มาเกือบ 4 ปีแล้ว ไม่มีทางที่ตอนนี้ฉันยังคงอยู่ในโรงเรียนนี้อีกแน่นอน 

    และที่น่าฉงนมากที่สุดคือเมื่อต้นปีที่แล้ว ตอนที่กลับมาเยี่ยมโรงเรียน สแตนตัวนี้มันหายไปแล้วนะ สีตึกข้างหน้านี่ก็ด้วย มันถูกทาจากสีเขียวอ่อนกลายเป็นสีเขียวที่เกือบเป็น Green screen ไปแล้วนิ

    ฉันรู้ว่าตอนนี้ฉันคงกำลังฝันไปเหมือนทุกครั้ง และทุกครั้งที่ฉันฝันเรื่องนี้ก็จะมีเด็กหนุ่มกับสแตนเชียร์วางอยู่ตรงนี้เสมอ เรื่องแบบนี้มันวนเวียนอยู่ในฝันของฉันไม่รู้ว่ากี่ร้อยกี่พันครั้งแล้ว


    “ทับซ้อนไปหมดเลย”

    ฉันไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาเพิ่งพูดออกมา

    “ดูโน่นดิ!” เขาชี้ไปทางโกลฟุตบอล “วันนั้นมันเจ๋งมากเลย กูเตะโคตรสวย”

    ฉันยังคงเงียบทั้งที่ในใจมันกำลังมีก้อนคำพูดมากมายที่อยากจะพรั่งพรูออกมา

    “เสื้อหมายเลข 7 รองเท้าสีเหลือง อะไรที่ทำให้วันนั้นกูใส่คู่นั้นนะ”


    ถึงฉันจะจำอะไรเกี่ยวกับเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ได้ก็จริง แต่ฉันจำเกี่ยวกับโรงเรียนนี้ได้อย่างแม่นยำ หลังเลิกเรียนฉันมักจะมานั่งอยู่บนสแตนนี้ นั่งดูความเงียบสงบของโรงเรียนชายล้วนที่เจี๊ยวจ๊าวจากเสียงเด็กเตะฟุตบอลในสนามแห่งนี้ ความหลังระหว่างฉันกับเพื่อนกรูเข้ามาในความทรงจำ ตอนนั้นโลกที่กว้างใหญ่ดูเล็กลงไปในทันตา พวกเราไม่เคยกลัวอะไรเลย ในทางกลับกันพวกเราพร้อมชนกับทุกปัญหา แถมยังมีอะไรมากมายที่เราอยากทำ อย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านัั้นมันก็เป็นเพียงอตีดที่แทบไม่หลงเหลือแล้วในวันนี้


    เมื่อเด็กหนุ่มคนนั้นเห็นฉันนั่งเหม่อเขาจึงค่อยๆก้มตัวลงมาโบกมืออยู่ข้างหน้าฉัน

    “นี่มึงเป็นอะไรเนี่ย!.....คุยมาตั้งนาน ตกลงมึงจำกูได้ไหม” สายตานั้นจ้องมองจนทิ่มแทงบาดลึกเข้าไปในใจ  “กูชื่ออะไร?”

    ฉันพยายามเงยหน้ามองใบหน้านั้น และคิดถึงคำตอบของคำถามที่ตอนนี้มันเลือนลางเหมือนโดนฝุ่นจับตัวกันหนาเป็นเมตร จนกระทั่งแสงจ้าจากดวงอาทิตย์ตอนเย็นสะท้อนมาจากด้านหลังของเด็กหนุ่ม มันกระทบเข้ามาในดวงตา ทำให้ภาพทุกอย่างล้วนกลายเป็นสีขาวในทันที

    มืออุ่นกระชับมือฉันไว้แน่น พวกเราต่างพากันวิ่งไปบนอาคารเรียนที่เงียบงัน แต่ละห้องที่เราผ่านไปฉันถูกกระแสคลื่นความทรงจำพัดทับซ้อนกับความจริงจนน่าสับสน ฉันเห็นเด็กหนุ่มคนนั้นอยู่กับฉันในทุกๆห้องที่ผ่านไป โดยฉันเห็นตัวเองกำลังพูดคุยกับเขาอย่างสนุกสนานแต่เขาตอบกลับมาเพียงเล็กน้อย


    ห้องถัดมาฉันเห็นตัวเองยืนหลบมุมอยู่ที่หน้าต่างแอบดูเด็กหนุ่มกำลังทำประตูฝ่ายตรงข้ามในวันกีฬาสีได้ ถัดมาที่หน้าห้องน้ำฉันเห็นตัวเองยื่นสิ่งของอะไรบางอย่างให้เด็กคนนั้นพร้อมวิ่งออกไป และมาหยุดที่ห้องสุดท้ายฉันเห็นตัวเองก้มหน้าร้องไห้อยู่หลังห้อง

    มืออุ่นของเด็กหนุ่มคนนั้นยังคงพาฉันวิ่งต่อไป จนกระทั่งพวกเรามาหยุดอยู่หน้าระเบียงชั้น 5  ลมหอบใหญ่พัดมากระทบร่างจนฉันรู้สึกถึงเสื้อผ้าที่ใส่อยู่ มันเป็นชุดนักเรียนที่ฉันไม่ได้ใส่มาเกือบ 4 ปี


    “พอเถอะ! ช่วยออกไปจากความทรงจำกูทีได้ไหม?” คราวนี้ถึงตาฉันพูดบ้าง “กูจำไม่ได้หรอกนะว่ามึงเป็นใคร กูรู้แต่ว่ากูต้องลืมมึง กูอยากไปข้างหน้าแล้ว….กูไม่ได้อยากจะมาที่นีี่ทุกครั้งที่ฝันหรอก”

    “แต่ทุกอย่างที่กูทำกูทำเพื่อมึงนะ”

    “มึงหยุดพูดอะไรที่กูต้องเป็นคนพูดเถอะ! กูรู้ว่านี่มันคือความฝัน กูสร้างให้มันตรงข้ามกับความเป็นจริง ความจริงแล้วมึงไม่เคยเห็นกูอยู่ในสายตาเลย”

    “.....” คราวนี้เป็นตาที่เด็กหนุ่มต้องเงียบบ้าง

    “กูแค่อยากลืมมึง!….กูขออะไรมากไปเหรอ?”

    ความสับสนที่เกิดขึ้นทำให้ฉันต้องวิ่งหนีไปให้ไกลที่สุด ตอนนี้ทุกอย่างมันเกินจริงไปหมด ตกลงคนที่เรากำลังคุยด้วยคือใคร? คือคนที่เราอยากจะลืมเขาจริงๆ หรือเรากำลังคุยกับตัวเองที่สร้างเขาคนนั้นขึ้นมากันแน่ 


    ฉันวิ่งจนสุดแรงจนมาหยุดอยู่ที่ห้องศิลปะ ฉันเดินเข้าไปมองเห็นสภาพห้องเดิมๆที่คุ้นเคย ห้องนี้ถูกจัดไว้ให้นั่งเป็นกลุ่ม ฉันเดินเข้าไปนั่งโต๊ะกลุ่มริมหน้าต่างขวามือ เพราะตอนเรียนฉันจะนั่งอยู่ตรงนี้เป็นประจำ ความเงียบของห้องนี้มันทำให้ความสับสนของฉันทุเลาลงไปได้บ้าง

    “ไปไกลกว่านี้แล้วไม่ได้ใช่ไหม?” เด็กหนุ่มคนนั้นเดินเข้ามาในห้องศิลปะ เขาเอาตัวพิงกับกระดานหน้าห้อง มองมาโต๊ะที่ฉันนั่ง

    “....”

    “จะวิ่งหนีให้เหนื่อยทำไมก็ไม่รู้”

    “ถ้ากูเป็นคนสร้างมึงขึ้นมาในฝัน ทำไมกูไม่สร้างให้มึงอยู่เงียบๆบ้างวะ”

    “ทำไมมึงแน่ใจว่ากูไม่ใช่กูตัวจริง”

    “ถ้ามึงเป็นกูในชีวิตจริง มึงจะไม่คิดว่าตัวมึงเองจะพูดประโยคที่มึงพูดมาทั้งหมดในวันนี้”

    “มึงพูดอะไรวะ?” เด็กหนุ่มคนนั้นหัวเราะกับสิ่งที่ฉันพูดที่ฟังดูน่าสับสน

    “ตัวจริงมึงโคตรใจร้าย”

    เด็กหนุ่มผละตัวออกจากกระดานมานั่งข้างๆฉัน “แล้วทำไมมึงไม่ใช้โอกาสนี้ให้คุ้มหละ ถ้าตัวจริงกูมันใจร้ายนัก”

    ใจฉันเต้นรัวกับประโยคที่เขาเพิ่งพูด ต่อให้ฉันจะรู้ว่าทั้งหมดมันคงเป็นเพียงแฟนตาซีของฉันเองก็ตาม “มึงรู้มั้ยทำไมตอนเรียนมึงถึงได้นั่งกับกู”

    “ทำไม?”

    “กูเป็นคนจัดการให้โต๊ะนี้มันเหลืออีกทีเดียวเองแหละ”

    “ร้ายนะ!” 

    “มึงเชื่อมั้ยคาบศิลปะกูเคยวาดรูปให้มึงด้วย กูรู้ว่ามึงวาดรูปโคตรห่วย”

    “ตัวจริงกูห่วยขนาดนั้นเลย?”

    “ไม่หรอก! มึงแม่งโคตรเจ๋ง ใครๆก็ชอบมึงทั้งนั้น ส่วนกูนิโคตรห่วย แค่จะบอกชอบมึงกูยังไม่กล้าเลย”

    “มึงก็เลยต้องเก็บมาฝันอยู่อย่างนี้”

    ถึงแม้ว่าสิ่งที่เด็กชายคนนั้นพูดมันจะเป็นความจริงจนน่าเจ็บปวดใจ แต่มันก็ทำให้ฉันอดขำกับความน่าสมเพชของตัวเองไม่ได้ 


    “ทำไมตอนมึงตื่นไม่ลองไปบอกกูตัวจริงดูละ เผื่อมันจะมีอะไรดีขึ้นก็ได้”

    “ผ่านมาตั้งเกือบ 4 ปีแล้วนะ ปล่อยให้มันเป็นอย่างนี้แหละดีแล้ว”

    “กูถามจริงๆ มึงอยากจะลืมกูจริงๆเหรอ?”

    “กูไม่รู้ ที่จริงกูก็ยังชอบมึง แต่มึงก็เป็นเหตุผลที่ทำให้กูไปไหนไม่ได้”

    “กูอยากให้มึงจำกูให้ได้จัง”

    ฉันเงียบไปพักใหญ่ 

    “มึงจำกูให้ได้ได้ไหม?”

    ใบหน้าคมค่อยๆขยับเข้ามาใกล้ จนฉันเห็นรายละเอียดได้ชัดเจนในทุกส่วน สายตาคู่นั้น คิ้วดกหนา ริมฝีปากที่ชมพูเหมือนกลีบกุหลาบ ทุกความทรงจำมันซ้อนทับลงบนใบหน้าที่เห็นอยู่ตรงหน้า ก่อนที่ทุกอย่างจะกระจ่างชัดเมื่อริมฝีปากของเราประกบกัน

    ความมร้อนผ่าวที่ฉันไม่เคยสัมผัสได้ในชีวิตจริง ดึงให้ฉันลืมเหตุผลต่างๆที่ฉันพยายามหนีมันมาตลอดทั้ง 4 ปีไปจนหมดสิ้น ทำไมฉันจะจำไม่ได้ ฉันจำได้ทั้งหมด จำได้ทุกเสียงหัวเราะ จำได้ทุกการเคลื่อนไหว จำได้ทุกน้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ย จำเสื้อฟุตบอลหมายเลข 7 นั้นได้ และก็จำได้ทุกความเย็นชาจากการได้แค่เป็นคนแอบชอบอยู่ฝ่ายเดียว


    ฉันพยายามลืมทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวเขา เพราะฉันรู้ว่ามันคงถึงเวลาที่จะต้องก้าวไปข้างหน้าได้แล้ว แต่สุดท้ายส่วนลึกในใจมันก็พาฉันมาในที่แห่งนี้ “พื้นที่ทับซ้อนที่ถูกความทรงจำซ้อนทับ” เพื่อเป็นการหลอกตัวเองจากความจริงอันแสนโหดร้าย และคราวนี้ฉันมั่นใจแล้วว่าฉันจะยอมรับมัน...ฉันยังลืมเขาไม่ได้ และฉันยังคงเลือกที่จะจำเขาต่อไป แม้ว่าเรื่องทั้งหมดมันจะเป็นจริงได้แค่ภายในพื้นที่ทับซ้อนแห่งนี้ก็ตาม

    เราสองคนค่อยๆผละตัวออกจากกัน

    “คราวนี้จำกูได้หรือยัง” 

    เสียงกระซิบของเขาดังขึ้นในขณะที่เรายังคงสบตา

    “ภูมิ”

    ฉันเงยหน้าขึ้นสบตากับเด็กหนุ่มคนนั้น พร้อมเอ่ยชื่อของเขาเพียงเสียงกระซิบแต่มันกลับดังกลบทุกความทรงจำ ฉันรู้ว่าอย่างไรฉันก็แพ้ให้กับเขา ฉันอยากให้ภูมิยังอยู่ในชีวิตของฉัน ไม่ว่าฉันต้องแลกมากับอะไรก็ตาม ฉันยอมอยู่กับที่เพื่อคิดถึงเขาทุกลมหายใจ


    ภาพเด็กหนุ่มที่ชื่อภูมิตอนนี้มันค่อยๆบิดเบี้ยวเหมือนภาพจากทีวีเก่าที่มีสัญญาณแทรก ความสั่นไหวอันน่าเหลือเชื่อปรากฏขึ้นพร้อมกับแสงสีขาวที่ละลายให้ภาพทั้งหมดหายไปในทันตา

    ฉันกลับมายืนอยู่หน้าสแตนเชียร์ที่มีเด็กหนุ่มนั่งอยู่ชั้นบนสุด และฉันรู้ว่าหลังจากนี้ต่อให้ฉันต้องกลับมาเริ่มต้นใหม่แบบนี้ตลอดไปฉันก็ยอม ขอเพียงให้เด็กหนุ่มคนนั้นยังคงอยู่ในความทรงจำและอยู่ในความฝันของฉันต่อไป แค่นี้ฉันก็พอใจแล้ว


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in