เมื่อกี๊แอบไปเปิดปฏิทินมา เราไม่ได้เจอคุณหมอมาแปดวีคแน่ะ สุดยอดไปเลย
หลังจากไปหาหมอและเริ่มลำดับความคิดได้ ก็เริ่มสังเกตตัวเองได้ว่า
เราเป็นคนที่ต้องการรับผิดชอบอารมณ์ของคนอื่นอยู่ตลอดเวลา
เราแคร์เกินความจำเป็นอยู่ตลอด
มันไม่ใช่ว่าเราเป็นคนดีหรืออะไรหรอก เหมือนเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติของเรามากกว่า
คิดในอีกแง่ มันอาจจะเป็นความเห็นแก่ตัวของเราด้วยซ้ำ ว่าเราอาจจะแค่อยากให้เค้ารู้สึกดีขึ้น
เพื่อที่เราจะได้รู้สึกดีกับตัวเอง และรู้สึกว่าตัวเองเป็นประโยชน์เหมือนกัน
เค้าสุขเรื่องนี้ เราก็มีความสุขตาม พอเค้าทุกข์เรื่องนั้น เราก็ทุกข์มากไปด้วย
แถมยังมานั่งวิเคราะห์ทุกความเป็นไปได้ ว่ามันเกิดจากอะไร หรือเกิดจากใคร
นั่งคิดหลายๆทาง ว่าเราสามารถทำอะไรให้เค้ารู้สึกดีขึ้นได้บ้างมั้ย
จนกระทั่งวันนึงที่เค้าทุกข์มากๆ เราทำตัวไม่ถูก แล้วดันไปทุกข์แข่งกับเค้า
เพราะเราไม่สามารถช่วยอะไรเค้าได้เลย แล้วเค้าก็ไม่ได้ดีขึ้นเลยในตอนนั้น
เรารู้สึกเหมือนเราบกพร่องในหน้าที่ เราผิดหวังในตัวเองจนเราจัดการความรู้สึกไม่ได้
ทำให้สุดท้ายเรากลายเป็นความทุกข์ของเค้าไปด้วย ....เป็นไงล่ะ พังกันไปหมด
เราเกลียดตัวเองมาก
แล้วหลังจากนั้น การให้อภัยตัวเองและกลับมารักตัวเองมันช่างยากเหลือเกิน
ทุกวันที่กลั้นน้ำตาทำงานจนจบวันแล้วกลับบ้านมาร้องไห้ บอกตัวเองว่าไม่เป็นไร
ทั้งที่ในใจอยากจะไล่ตัวเองให้ไปตายอยู่ทุกวัน เรานึกภาพไม่ออกเลยว่าเราจะผ่านความรู้สึกนี้ไปได้ยังไง
สุดท้ายพอผ่านไป เราก็ผ่านมันมาได้นี่นา
ณ ตอนนี้ก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องอยากตาย ไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายทุกวันอีกแล้ว
แต่ที่มาเขียนวันนี้เนี่ย เพราะมันเกิดความรู้สึกอยากรับผิดชอบคนอื่นขึ้นมาอีกแล้ว
ถึงตัวทริกเกอร์มันจะเล็กนิดเดียว แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นมันไม่เล็กเลย
แต่วันนี้มาเขียนไว้เพื่อไปคุยกับหมออาทิตย์หน้า และบันทึกเอาไว้ว่า เราเริ่มเก่งขึ้นมานิดนึงแล้ว
เรารู้สึกจริงๆแล้วว่า Your mental health is a priority
อารมณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ เราต้องรับผิดชอบด้วยตัวเอง
ลองคิดดีๆว่าสิ่งที่เรารู้สึก มันเป็นปัญหาของคนอื่น หรือเป็นปัญหาของเรา
ถ้ายังดูแลตัวเองให้ดีไม่ได้ ก็อย่าหวังว่าจะไปดูแลคนอื่นเลย มันจะพาลแย่ไปหมด
และบางครั้งมันก็ไม่ใช่ความผิดของคุณด้วยซ้ำที่คนอื่นไม่มีความสุข
ไม่ใช่หน้าที่ของคุณที่ต้อง Please ทุกคน เค้าต้องดูแลและรักษาจิตใจของตัวเองเหมือนกัน
อย่าโทษตัวเองมากจนเกินไปเลย บางอย่างคุณไม่ได้ผิดเลยด้วยซ้ำ
.
.
กว่าเราจะมานั่งตกตะกอนแล้วเขียนได้ขนาดนี้ เราใช้เวลาเกือบปี
อย่างที่เราเคยบอก เรากลัวการแสดงออกในหน้าโซเชียลเน็ตเวิร์คของเราสุดๆ
เราไม่อยากให้อารมณ์ของเราไปกระทบใครอีกแล้ว
และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เราเปิดบทความและเขียนทุกอย่างลงในนี้แทน
ตอนนี้ก็ยังมีบางวันที่เรา freak out อยู่ ซึ่งก็พยายามควบคุมอารมณ์ให้ได้แหละ
ทุกวันนี้เรากลับไปดูหนังคนเดียวได้แล้ว กินข้าวอร่อยแล้ว ทำงานได้แบบปกติ
ยังเกลียดตัวเองอยู่แหละ แต่ก็ไม่ดำดิ่งมากเกินไปแล้ว
ขอบคุณกัลยาณมิตรหลายๆคนที่คอยพยุงไว้ในวันที่แย่ที่สุด
ขอบคุณที่จับมือเราไว้ในวันที่เราน่ารังเกียจเหลือเกิน
สุดท้ายจริงๆแล้วถึงแม้จะไม่เหลือใคร แต่ก็จะพยายามรักตัวเอง และให้อภัยตัวเองในทุกๆวันนะ
มีเพลงนึงที่เราฟังอยู่ทุกวันในช่วงที่มืดมนของชีวิต
ไอยูเป็นคนที่ร้องเพลงแล้วเราสัมผัสได้ถึงความจริงใจที่เค้ามีให้ ทำให้เราร้องไห้ออกมาได้อย่างโล่งใจ
ขอบคุณที่อยู่เป็นเพื่อนกันในวันที่จิตใจอ่อนแอนะคะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in