มีร้านดอกไม้ร้านหนึ่งอยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยของซองจินไปเพียงสองช่วงตึก เพื่อนร่วมคลาสของเขาบอกว่าร้านเพิ่งเปิดได้เพียงสองอาทิตย์ แต่กลับมีลูกค้าหลั่งไหลเข้าไปมากมายจนเมื่อสามวันก่อนร้านต้องหยุดชั่วคราวเพื่อเติมของ ตอนที่ฟังเรื่องนี้ซองจินรู้สึกว่ามันเกินจริงไปมาก ข้อขัดแย้งแรกคือ ในฤดูร้อนแบบนี้จริงอยู่ว่าดอกไม้คงออกดอกกันบานสะพรั่ง แต่ก็ไม่ได้มีเทศกาลอะไรให้ต้องแห่กันไปซื้อดอกไม้ขนาดนั้น ดังนั้นจึงสอดคล้องกับข้อขัดแย้งถัดมาว่า ไม่มีความจำเป็นอะไรที่คนต้องแห่แหนกันเข้าไปในร้านขนาดนั้นเลย
และจริง ๆ แล้ววันนี้ซองจินก็ไม่ได้อยากจะไปร้านดอกไม้ร้านนั้นเลยด้วยซ้ำ เขามีซ้อมกีตาร์กับวงดนตรีของตัวเองต่อตอนหกโมงเย็นที่ห้องซ้อมห่างจากแถวนี้ไปสี่สถานี แต่นี่จะห้าโมงเย็นแล้วเขายังไม่ออกจากหน้าตึกคณะเลย สาเหตุก็เพราะคุณเพื่อนสนิทอย่างเจฮยองที่บอกให้เขาไปร้านดอกไม้เป็นเพื่อน แต่กลับชักช้าทำอะไรอยู่ก็ไม่รู้จนเวลาล่วงมาขนาดนี้แล้ว
ดังนั้นพอเจอหน้ากันซองจินจึงถามทันที
“ทำไมมาช้าขนาดนี้”
“ทะเลาะกับยองฮยอน”
“ฮะ?”
ซองจินหน้าเหวอไป ลอบสังเกตสีหน้าของคนข้างตัว เขากลัวเจฮยองจะกังวล เพราะเขารู้ดีว่าสำหรับเจฮยองแล้วยองฮยอนเป็นเพื่อนคนสำคัญมาก มากกว่าแฟนเก่าสิบสองคนของเจฮยองเสียอีก
“แล้วนายโอเคไหมเนี่ย?”
“เออ ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้น” เจฮยองถอนหายใจ ยืนบิดขี้เกียจใส่เขาสองทีแล้วขยับแว่น “แต่ยิ่งรู้สึกว่าต้องไปร้านดอกไม้เดี๋ยวนี้เลย รีบไปเหอะ!”
ซองจินไม่แน่ใจว่าที่เจฮยองรีบวิ่งไปโดยไม่คิดจะนั่งรถเมล์เพราะรีบจริง ๆ อยากซื้อดอกไม้ไปง้อยองฮยอน ซึ่งก็ไม่รู้ว่ายองฮยอนจะชอบไหม หรือเพราะนึกได้ว่าเย็นนี้มันกับเขาต้องซ้อมดนตรีด้วยกันกันแน่
ยังไม่ทันพ้นหัวมุมตึก ซองจินก็ประจักษ์แก่สายตาว่าความแน่นขนัดของผู้คนในร้านดอกไม้เป็นอย่างไร เพราะแถวที่รอเข้าคิวไปซื้อนั่นยาวขดจนเหมือนว่ามีนักร้องชื่อดังมาแจกลายเซ็นอยู่ในร้าน พวกเขาเดินไปใกล้แถวอย่างระมัดระวัง ซองจินเห็นเพียงว่าร้านเป็นห้องหนึ่งของอาคารพาณิชย์รูปทรงแบบยุโรป ตัวอาคารสีเหลืองอ่อนและประดับด้วยไม้ดอกเล็ก ๆ เต็มไปหมด กระถางดอกหน้าแมวห้อยระย้าลงมา สลับกับช่อดอกวิสเทอเรีย สีม่วงสลับขาวของดอกไม้ทั้งสองและสีเขียวของใบไม้เข้ากับพื้นหลังสีเหลืองอ่อนเป็นอย่างดี กระจกในร้านเป็นแบบใสแต่เห็นแค่สีเขียวของใบไม้ของพืชด้านในที่ซองจินระบุพรรณไม่ได้
“คนเยอะขนาดนี้” ซองจินพึมพำ จงใจให้เพื่อนได้ยิน “ยังแน่ใจว่าจะต่อแถวซื้อใช่ไหม?”
“เออสิ” เจฮยองตอบทันที “ฉันดูมีทางเลือกเหรอ มาต่อด้วยกันเลย”
“แล้วซ้อมเย็นนี้เอาไง”
เจฮยองถอนหายใจ “ยองฮยอนมันไม่ไปหรอก โทร.บอกโดอุนให้ยกเลิกซ้อมไปเลย ไว้เจอกันวันพุธดีกว่า”
ซองจินฟังแล้วถอนหายใจตาม เขาเดินเข้าไปยืนต่อแถวถัดจากเจฮยอง เห็นพนักงานในชุดผ้ากันเปื้อนสีเขียวเข้มส่งยิ้มให้ ขณะที่มือกดเบอร์โทร.หารุ่นน้องที่เป็นมือกลองประจำวง รอสายไม่ถึงสองวินาทีก็ได้ยินเสียงทุ้ม ๆ ของปลายสายทันที
“ครับ พี่ซองจิน”
“โดอุน ซ้อมวันนี้พวกพี่ติดธุระอะ ไปไม่ได้จริง ๆ” เขาไม่ได้ขยายความว่าทำไม “รายละเอียดเดี๋ยวเจอกันแล้วจะเล่าให้ฟัง เลื่อนซ้อมไปเป็นวันพุธได้ไหม?”
“ได้ ๆ ผมยังไปไม่ถึงเลย งั้นเดี๋ยวผมจองห้องล่วงหน้าไว้ให้”
“โอเค ได้เลย เดี๋ยวเจ–”
คำพูดของซองจินหายไปโดยไม่รู้ตัว ตอนที่ประตูร้านเปิดออกพร้อมกับช่อดอกทานตะวันช่อใหญ่ตามออกมา… เขาเห็นพนักงานที่หน้าร้านรับมันไปถือ ก่อนจะส่งยิ้มให้ชายคนที่หอบมันออกมาด้วยรอยยิ้มที่แสนสดใส
…สดใสยิ่งกว่าทานตะวันเสียอีก
“พี่ซองจิน?”
เสียงจากปลายสายเหมือนดึงซองจินกลับมาสู่ปัจจุบัน เขากะพริบตาปริบ ๆ ก่อนรีบร้อนกดตัดสายรุ่นน้องอย่างเลือดเย็น ซองจินมองเจ้าของนัยน์ตาเป็นประกายนั้นเหมือนโดนสะกด ก่อนจะรู้สึกตัวตอนโดนคนข้างหน้าถองศอกเข้าให้เบา ๆ
“มองอะไรขนาดนั้น”
เป็นเจฮยองนั่นเอง ซองจินหันขวับ “ทำไม?”
“เขาเป็นเจ้าของร้านไง นี่แหละสาเหตุที่คนเยอะขนาดนี้” คนรู้ข้อมูลอธิบาย “คิมวอนพิล อายุ 21 ปี จบมัธยมมาจากเมืองนอกเมืองนาแต่ต้องมารับช่วงกิจการดอกไม้ต่อที่บ้าน เลยเรียนสาขาเกี่ยวกับพฤกษศาสตร์อยู่ที่ม…”
“เดี๋ยว” ซองจินขัดไว้ก่อน “ทำไมรู้เยอะขนาดนี้?”
“ฉันสงสัยมากกว่าว่าทำไมนายถึงไม่เคยรู้” เจฮยองหรี่ตา “คิมวอนพิลเป็นนักเปียโนมืออาชีพที่ดังมากตอนเรียนมัธยม เขาเคยคัฟเวอร์เพลงลงอินเทอร์เน็ตด้วยซ้ำ นิตยสารดนตรีบ้านเราก็เคยสัมภาษณ์”
ซองจินรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่คนละโลกกับเจฮยอง ทำไมเขาไม่เคยเห็นหรือรับรู้เรื่องพวกนี้เลย
“งั้นคนก็แห่มาดูเขากันเหรอ?”
“ก็ส่วนหนึ่งแหละ” เจฮยองว่าต่อ “แต่ร้านดอกไม้ร้านนี้เป็นสาขาย่อยของร้านใหญ่ที่อยู่แถวคังนัม แล้วร้านนั้นแพงมาก แต่ร้านนี้ขายถูกกว่าลงมาหน่อย มีบริการจัดช่อดอกไม้งานอีเวนต์ด้วย ถ้าเดินทางไกลหน่อยแต่ได้ราคาดีกว่าเป็นใครก็อยากมาใช่ไหมล่ะ?”
“ก็จริง” ซองจินไม่ปฏิเสธ
“แล้วก็ถ้าโชคดีก็จะได้เจอคิมวอนพิลออกมาหน้าร้านด้วย”
“ถ้าโชคดี?” ซองจินขมวดคิ้ว “ปกติเขาไม่ได้ออกมาเหรอ?”
“ร้านเปิดมาสองอาทิตย์ คิมวอนพิลเคยออกมาหน้าร้านแค่สามวัน นี่เป็นวันที่สี่ เท่าที่ฉันรู้นะ” เจฮยองตอบเรื่อย ๆ ขณะที่สายตาของซองจินก็ลอบมองคนที่เดินยิ้มน้อย ๆ คุยกับคนโน้นคนนี้ไปเรื่อย มีคนทำท่าจะจับมือเขาด้วย “พวกเรานี่โชคดีเหมือนกันแฮะ”
“อืม…”
ซองจินรับคำในลำคอ ขณะที่คิมวอนพิลเดินกลับเข้าไปแล้ว และแถวหน้าร้านก็ค่อย ๆ ขยับเหมือนตัวขี้เกียจนี่ไม่อยากเคลื่อนตัวไปไหน ซองจินชะโงกหน้าออกจากแถวไปถามพนักงานที่รับดอกทานตะวันมาจากวอนพิล
“ขอโทษนะครับ ดอกทานตะวันนั่นขายหรือเปล่าครับ?”
ซองจินไม่ได้รู้สึกว่าชีวิตนี้ตัวเองจำเป็นจะต้องมาซื้อดอกไม้อะไรนักหนา เขาไม่ได้มีโอกาสพิเศษที่ต้องมอบอะไรให้ใคร พ่อแม่เขาไม่นิยมรับดอกไม้แต่ชอบให้พาไปกินข้าวมากกว่า ส่วนเพื่อนนี่ลืมไปได้เลยว่าจะต้องมาซื้อดอกไม้ให้มัน
แต่สองอาทิตย์มานี้ซองจินมาร้านดอกไม้ของวอนพิลทุกวันเลย เขาไม่ได้มาซื้อดอกไม้ แต่มารายงานผล
“ไม่ได้ขายครับ”
เสียงเจ้าของร้านดังอยู่ในหัวเมื่อนึกย้อนถึงประโยคคำถามที่เขาเอ่ยถามพนักงานคนนั้นไปเมื่อครั้งแรกที่มาร้าน ซองจินอึ้งไป ก่อนจะหันไปมองหน้ายิ้ม ๆ ของคนที่ตอนแรกเดินเข้าร้านไปแล้ว
“ถ้าไม่ได้ขายแล้วเอาออกมาทำไมเหรอครับ?” ซองจินถาม “เอ่อ ผมไม่ได้จะหาเรื่องนะ สงสัยเฉย ๆ”
คิมวอนพิลขยับยิ้มให้เขากว้างกว่าเดิมนิดหน่อย “เอามาประดับเฉย ๆ ครับ น้องอยากได้แสงที่มากกว่าในร้าน”
การเรียกดอกไม้ว่า ‘น้อง’ สะกิดต่อมความรู้สึกบางอย่างจนซองจินอยากยกมือขึ้นมากุมหัวใจ แต่ทำได้เพียงพยักหน้ารับ
“แต่ผมอยากได้จริง ๆ นะครับ”
แต่ยังไม่ยอมละความพยายาม
เจฮยองเคยบอกว่าเขาเป็นคนที่มุ่งมั่นกับเพื่อนที่ไม่น่ามุ่งมั่น เช่นครั้งหนึ่ง ซองจินเคยจะมีเรื่องกับอาจารย์วิชาโทเพราะอาจารย์ไม่ยอมอนุญาตให้กินน้ำในห้องเรียนได้ หรือยืนเถียงกับแม่ค้าเป็นหลายสิบนาทีเพื่ออธิบายความแตกต่างระหว่างปลาสองชนิดที่แม่ค้าบอกผิด
และนี่ เขาเพิ่งบอกว่าไม่ขาย ก็ยังบอกว่าอยากได้อีก
สีหน้าวอนพิลเปลี่ยนไปทันทีที่เขาพูดแบบนั้น ก่อนจะพยายามฝืนยิ้มตอบ “ไม่ได้หรอกครับ ผมไม่ได้ปลูกมาขายนี่นา ช่อนี้”
“คือว่า” แล้วซองจินก็ได้ตัดสินใจพูดในสิ่งที่ทำให้เจฮยองต้องหันมามองหน้าเขาอย่างตกใจ “ผมกำลังทำวิจัยเรื่อง ‘ดนตรีในฐานะสิ่งเร้าต่อดอกทานตะวัน’ อยู่น่ะ…”
เจฮยองหันควับมาทันที
ส่วนคนฟังตาเป็นประกาย
“ดนตรีอะไรเหรอครับ?”
“กีตาร์คลาสสิกครับ”
ซองจินตอบไปเช่นนั้น
และนี่คือสาเหตุที่คิมวอนพิลแบ่งดอกทานตะวันให้เขาถึงสองดอก ให้คำแนะนำการปลูกอย่างดีเยี่ยมจนซองจินกังวล เกิดมันตายขึ้นมาเขาจะทำยังไง
โชคดีที่วอนพิลให้เขา ‘ยืม’ น้องรักของวอนพิลมาฟรี ๆ โดยมีเงื่อนไขว่า ต้องเข้าร้านเพื่อรายงานกับวอนพิลทุกครั้งว่าดอกทานตะวันมีพัฒนาการอย่างไร
เขากระชับสมุดโน้ตในมือแน่น ขณะปั้นสีหน้าไม่ให้ดูตื่นเต้นมากเกินไปเพื่อจะผลักประตูร้านที่วันนี้ไม่มีคนมากนักเข้าไป
ซองจินไม่ได้มีปัญหาเรื่องบันทึกพัฒนาการของดอกทานตะวันต่อสิ่งเร้าอะไรอยู่แล้ว เพราะจุดประสงค์จริง ๆ ของเขาเรื่องดอกทานตะวัน ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการพยายามหาข้ออ้างมาเจอวอนพิลทุกวันอยู่แล้ว
“คุณชอบดอกทานตะวันมากเหรอครับ?”
คำถามวอนพิลวันนั้นไม่มีเหตุผลให้ต้องปฏิเสธ เพราะซองจินก็ชอบดอกทานตะวันมากจริง ๆ
แต่เขาแค่ชอบคนปลูกดอกทานตะวันมากกว่าแค่นั้นแหละ
FIN
- สุดท้ายยองฮยอนก็หายโกรธเจฮยองเพราะดอกไฮเดรนเยียสีฟ้าอ่อนสวยมาก และความหมายดี (ตามที่ยองฮยอนแอบไปเสิร์ชในเว็บเพิ่ม)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in