วันนี้เรานัดกันที่จะไปเดินเล่นที่ท้องฟ้าจำลองด้วยกัน
เขาแต่งตัวสบายๆ เสื้อยืด กางเกงขายาว กับรองเท้าคู่โปรดของเขาสะพายเป้ใบเดิม ส่วนฉันใส่เสื้อแขนยาว กับกางเกงขายาว เปลี่ยนจากกระเป๋าไปเป็นเป้ กับรองเท้าผ้าใบเน่าๆ เขายิ้มให้ตอนที่เจอฉันบนชานชาลา
“เธอนี่เหมือนเด็กชะมัด”
“เด็กตรงไหนกันล่ะ” ฉันขมวดคิ้วใส่ เขามองฉันแล้วยิ้มขำรถไฟฟ้าเทียบชานชาลา ฉันเดินนำเข้าไปนั่งที่เดิมส่วนเขานั่งข้างๆ ฉันเหมือนวันแรกที่เจอกัน
“ฉันจำเธอได้ตั้งแต่วันแรกที่เจอกันเลยนะ” จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นระหว่างเดินทางจนฉันขมวดคิ้วใส่
“จำได้ตั้งแต่วันแรกเลยหรอ” ฉันถามขึ้น
“ใช่สิ ตอนนั้นเธอยังหอบหนังสือเล่มใหญ่ๆ เดินเข้าร้านกาแฟอยู่เลยแถมแย่งโต๊ะตัวโปรดของฉันด้วยนะ” เขาเล่าไปยิ้มไป ส่วนฉันนั่งนึก ว่ามันคือช่วงเวลาไหนของชีวิต
“เมื่อช่วงต้นปียังไงล่ะ” เขาคงเห็นฉันนั่งนึกอยู่แน่ๆ แต่ยังไงฉันก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดี
“โต๊ะตัวโปรดเธอ? ตัวที่ฉันนั่งประจำหรอ?” ฉันถามด้วยความแปลกใจ นี่เราเจอกันมานานแล้วอย่างนั้นหรอ
“นั่นแหละโต๊ะประจำฉัน แต่ฉันไม่ได้ไปที่ร้านนั้นมาซักพักนึงพอกลับมาอีกที ก็โดนเธอแย่งไปแล้ว ฉันก็เลยย้ายไปนั่งอีกโต๊ะแทน”
“แล้วที่เธอขึ้นรถไฟฟ้ากลับพร้อมฉันล่ะ” ฉันถามกลับ
“เวลานั้นคนน้อยยังไงล่ะ กลับช้าหน่อยแถมอยู่ในร้านกาแฟอุ่นๆ ด้วย ก็ไม่ทำให้อารมณ์เสียแล้ว” เขาตอบยิ้มๆ
“ทำไมฉันรู้สึกเหมือนเพิ่งเคยเจอเธอล่ะ”
“อาจจะเป็นเพราะเธอไม่ได้สังเกต หรือไม่ได้มองล่ะมั้ง” เขายิ้มน้อยๆ แล้วสะกิดฉันว่าถึงสถานีที่จะต้องลงแล้ว
เขาเดินนำฉันไปหยุดยืนที่หน้าประตูทางเข้าของท้องฟ้าจำลองเขาทำตัวเหมือนเด็กคนนึงที่ไม่เคยมาที่ท้องฟ้าจำลองฉันมารู้ทีหลังว่าเขามาที่นี่บ่อยมาก แทบจะเรียกได้ว่าเดือนละครั้งเลยก็ได้
เขาไปซื้อตั๋วทางเข้าท้องฟ้าจำลองมาให้ฉัน พาฉันเดินดูในพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ ฉันจำไม่ได้ว่าเข้ามาล่าสุดคือเมื่อไหร่ น่าจะสมัยยังเป็นเด็ก ตอนนี้มีของเล่นใหม่เข้ามาให้เล่นเยอะแยะ มีส่วนใหม่ๆ เพิ่มขึ้นเยอะเขาพาฉันเดินไปดูในจุดๆ นึง
“ฉันชอบบริเวณนี้มากเลยนะ” เขาถอดรองเท้าเดินขึ้นไปบนแผนที่ของเมือง ที่ขยายใหญ่ ฉันเดินตามเขาขึ้นไปดูแล้วชี้สถานีรถไฟฟ้าที่เราลงพร้อมกัน
“ฉันเห็นบ้านของฉันด้วย” แล้วเขาก็ชี้ให้ฉันดู “แล้วบ้านของเธออยู่ไกลรึเปล่า” เขาถามด้วยความตื่นเต้นเหมือนเขาได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง
“อยู่ตรงนี้ไง” ฉันชี้ฝั่งตรงข้ามบ้านของเขาให้เขาดู
“ไปดูตรงนั้นกัน ของเล่นใหม่เพิ่งมา” เขาเปลี่ยนเรื่องแล้วชี้ให้ฉันดูของเล่นใหม่ตรงนั้นเครื่องเล่นที่หมุนๆควงคนที่นั่งอยู่ตรงกลางให้เหมือนอยู่ในสภาพไร้แรงโน้มถ่วง เห็นแล้วน่ากลัวชะมัด “ไปเล่นกัน” เขาชวน
“ไม่เอา เดี๋ยวก็อ้วกหรอก” ฉันปฏิเสธไป
“งั้นฉันเล่นนะ” เขาบอกก่อนจะฝากเป้ไว้กับฉัน ฉันพยักหน้าให้เขาแล้วยืนดูเขาขึ้นเครื่องเล่นนั้นอยู่ห่างๆ ตอนที่เครื่องเล่นนั่นจับเขาห้อยหัวลงเหมือนค้างคาวมากเลย แต่ฉันจะไม่บอกเขาหรอก “มันสนุกมากเลยล่ะ” เขาลงจากเครื่องเล่นแล้วรับเป้จากฉันไป
“เธอไม่กลัวหรอ” ฉันถาม
“กลัวสิ แต่ถ้าเธอลองเล่นดู แล้วจะรู้ว่ามันสนุกแค่ไหนคนเรามันต้องก้าวออกจากความกลัวบ้างนะ ไม่อย่างนั้นชีวิตจะมีสีสันได้ยังไงล่ะ” เขาตอบแล้วยิ้มกว้างให้ฉัน
“เธอพูดอย่างกับเธอพร้อมรับผลที่ตามมาอย่างนั้นแหละ”
“บางครั้งเราไม่จำเป็นต้องพร้อมรับผลหรอกแค่มีความสุขในสิ่งที่เราเลือก มันก็พอแล้วล่ะ”
“ต่อให้สิ่งที่เธอเลือก มันจะทำให้เธอเสียใจอย่างนั้นหรอ”
“ใช่แล้วล่ะ สิ่งที่ฉันเลือก ส่วนมากมักจะทำให้ฉันเสียใจแต่ฉันก็พร้อมรับมันนะ เพราะฉันเลือกสิ่งนั้นเอง”
เสียงประกาศตามสายดังขึ้นประกาศให้รอบของเราเข้าท้องฟ้าจำลองได้ เขาจูงมือฉันพาเดินไปที่ท้องฟ้าจำลองออกจากพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ แล้วพาเดินไปนั่งภายในท้องฟ้าจำลองในจุดที่มองเห็นสบายที่สุด ฉันเหลือบมองเขาเป็นระยะ แล้วก็พบว่าเมื่อเขาได้อยู่กับสิ่งที่เขาชอบ อย่างท้องฟ้าตอนกลางคืน ดวงดาว ดวงตาเขาก็สดใสราวกับกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง เขาเล่นสนุกในสิ่งที่เขาชอบ พาไปเดินดูจุดต่างๆ จนทั่ว แล้วมาจบที่กินไอศกรีมที่ร้านภายในท้องฟ้าจำลอง ฉันพาเขาขึ้นรถไฟฟ้ากลับ เขานั่งหลับเป็นเด็กๆ พิงกับที่กั้นใสริมประตู
“เธอนี่เด็กชะมัด” ฉันพูดยิ้มๆ ใส่เขาที่กำลังหลับอยู่
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in