เวลานัดพบเดิมที่ตกลงกันเอาไว้ คือ เวลาสิบโมงเช้าที่ห้องชันสูตรศพของโรงพยาบาล แต่ผมอยากหาเวลาพูดคุยก่อนเริ่มงาน ผมจึงโทรศัพท์ไปหาเขาอีกครั้งและฝากข้อความเอาไว้ โดยไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะรับข้อเสนอนั้น แต่อีกหลายชั่วโมงต่อมา ผมได้รับข้อความพิมพ์ตอบกลับผ่านระบบเมสเสจโทรศัพท์มือถือจากเขา ว่าผมจะสะดวกไหม ถ้าไปรับเขาที่บ้านในเวลาแปดโมงเช้า ไปดื่มกาแฟและกินอาหารเช้า คุยกันเรื่องประเด็นในคดีที่ผมอยากให้เขาตรวจสอบเบื้องต้นในคาเฟ่สักแห่งด้วยกันก่อน แล้วค่อยไปห้องชันสูตร ผมตอบเขาไปว่า ตกลงตามนั้น พร้อมขอบคุณเขาอีกครั้งที่ช่วยเหลือ
ความจริงแล้ว บ้านของเราสองคนอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่ช่วงถนน ใช้เวลาเดินจากบ้านของผมไปที่บ้านของเขาไม่เกินสิบห้านาทีด้วยซ้ำไป ทั้งที่อยู่ใกล้กันแค่นี้ แต่เรากลับไม่เคยรู้และไม่เคยพบกันเลยแม้สักครั้ง
ระหว่างที่ออกจากบ้าน และขับรถจากบ้านผมไปที่บ้านของเขา ผมอดคิดถึงสิ่งที่ ดร. เบนจามิน เวสต์ ที่เป็นทั้งอาจารย์และเพื่อนร่วมงานของเขาที่กล่าวกับผมเมื่อวันที่ผ่านมาไม่ได้
...............................................
“ดร. ฟอล์กเนอร์กลับมาทำงานที่ลอนดอนก็จริง แต่ประสบการณ์การทำงานของเขาไม่น้อย ถ้าเทียบกับแพทย์รุ่นเดียวกัน”
ดร. เวสต์เล่าให้ผมฟังขณะเดินไปยังที่จอดรถด้วยกัน เขากำลังจะไปศาลเพื่อให้การในฐานะพยานผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งเป็นหน้าที่หนึ่งของแพทย์นิติเวช หลังจากคดีที่เขาเป็นผู้ชันสูตรศพขึ้นไปสู่ชั้นศาล ส่วนผมกับจ่ามัสเกรฟกลับไปหามิสซิสพ็อตต์อีกครั้งเพื่อสอบถามข้อมูลจากเธอและสาวใช้ที่อยู่ในบ้านด้วยกันเพิ่มเติม แต่ยังไม่ได้อะไรมากนัก
“ดร. แฮมิลตัน อาจารย์ที่สนับสนุนเขามาตลอด รวมถึงผมด้วย ไม่ชอบใจเลยที่เขาต้องยอมแลกมาด้วยสุขภาพของเขา" น้ำเสียงของเขาฟังดูหงุดหงิด ทั้งที่ตามปกติแล้ว เขาเป็นคนนิ่ง ๆ และใจเย็น "การกิน Suppressant ต่อเนื่องเพื่อหยุดช่วงฮีทตามปกติของโอเมก้าระหว่างทำงานในพื้นที่ภัยพิบัตินาน ๆ ไม่ใช่เรื่องดี แต่มันก็จำเป็นในสถานการณ์อย่างนั้น เพราะมันคงดีกว่าที่เขาจะ... ถูกทำร้ายอีก”
พูดถึงตรงนั้น แพทย์นิติเวชก็เงยหน้าขึ้นมองผม ก่อนยิ้มและส่ายหน้าช้า ๆ เหมือนเห็นปฏิกิริยาของผมที่มีต่อสิ่งที่เพิ่งได้รับรู้
“สารวัตรเฟย์ ผมรู้ว่าคุณรู้สึกผิดที่ทำให้เขาต้องลำบาก แต่อย่าได้คิดอย่างนั้น และอย่าไปบอกเขาเชียวละว่า คุณเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่อย่างนั้น เขาจะทิ้งคุณไปแล้วกลับบ้าน แล้วห้ามไม่ให้คุณเข้าใกล้เขาในระยะร้อยเมตรไปตลอดชีวิตแน่ ๆ”
เมื่อฟังสิ่งที่เขาเอ่ยถึง ดร. ฟอล์กเนอร์ ผมคิดว่าแพทย์นิติเวชอาวุโสผู้นี้คงเป็นมากกว่าแค่ครู แต่ยังนับว่านับเอาคนที่ตนพูดถึงเป็นเสมือนเพื่อนหรือญาติของตนเองด้วย เพราะน้ำเสียงและแววตาของเขายามเอ่ยถึงผู้อ่อนวัยกว่าบ่งบอกว่า เขารู้จักนิสัยใจคอและเห็นอีกฝ่ายผ่านเรื่องราวต่าง ๆ มาตลอดระยะเวลาหลายปี สายตาที่เขามองตำรวจสืบสวนคนอื่น ๆ ที่ดูไม่เป็นมิตรกับ ดร. ฟอล์กเนอร์แตกต่างจากสายตาที่เขามองผม
“พวกฟอล์กเนอร์เป็นชิฟเตอร์ตระกูลแมว" เขาบอก "ลงพวกแมวเกิดปักใจอะไรขึ้นมาสักอย่าง ต่อให้ห้ามสักเท่าไหร่ ก็ห้ามไม่ได้หรอก สารวัตรอย่าห่วงไปเลยว่า เมื่อเขารับปากแล้วจะเปลี่ยนใจทีหลัง”
ในความคุ้นเคยและเป็นมิตรของ ดร. เวสต์ มีความคาดหวังซ่อนอยู่ด้วย เขาไม่ได้บอกออกมาตรง ๆ แต่การที่เขาให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของ ดร. ฟอล์กเนอร์แก่ผมมีวัตถุประสงค์บางอย่างแฝงอยู่ และเขาเชื่อว่า ผมเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการ
ผมรู้ว่า เขาต้องการอะไรจากผม
โอเมก้าที่มีการศึกษาและศักยภาพในตัวเองล้นเหลืออย่าง ดร. ฟอล์กเนอร์ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าความเคารพและเชื่อถือในความรู้ความสามารถโดยไม่คำนึงถึงสถานะทางสังคมและสถานะทางเพศ
โอเมก้าเป็นชนชั้นที่อยู่ในระดับต่ำสุดของสังคม สถานะของโอเมก้าชายที่มีจำนวนน้อยที่สุด ย่ำแย่ที่สุดในบรรดาเพศรองทั้งหมด แม้ว่าจะเกิดในตระกูลที่มีหน้ามีตาหรือสถานะทางสังคมสูงส่งแค่ไหนก็ตาม เพราะพวกเขามีความสามารถในการเจริญพันธุ์ต่ำ มีโอกาสให้กำเนิดลูกน้อยกว่าโอเมก้าเพศหญิงหลายเท่า จึงแทบไม่ต่างอะไรจากของเล่นบนเตียงในความครอบครองของอัลฟ่า
คำพูดของ ดร. เวสต์ทำให้มั่นใจได้ว่า ผมควรปฏิบัติกับ ดร. ฟอล์กเนอร์อย่างไร
เขาไม่ใช่คนที่รับมือยากหรือแปลกแยกอย่างที่ตำรวจคนอื่นเคยบอก และการที่เขาตอบรับข้อเสนอที่ผมจะไปรับเขาที่บ้าน ทำให้ผมรู้สึกว่า เขายอมลดกำแพงให้ผมอย่างง่ายดายกว่าที่เคยคิดเอาไว้ และทำให้ผมตั้งความหวังว่า เราจะทำงานร่วมกันได้ด้วยดี แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็อดหวั่นใจไม่ได้ว่า ผมจะสามารถควบคุมตัวเองเอาไว้ได้หรือไม่ แม้ว่า ดร. เวสต์จะคาดการณ์ไว้ว่า มีโอกาสสูงมากที่เขาจะใช้ยากดฮอร์โมนในช่วงฮีทที่เหลืออยู่เอาไว้ แต่ก็ยังมีโอกาสที่ยาดังกล่าวจะออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มที่เมื่อใช้ในระยะสั้นหรือกระชั้นมากเกินไปอยู่เช่นกัน ผมหวังว่า ผมจะควบคุมตัวเองได้และหยุดตัวเองอยู่ ถ้าโอกาสที่มีอยู่น้อยนิดนั้นเกิดขึ้น
ผมคลาดกับโทเบียส ฟอล์กเนอร์มาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งผมไม่เสียใจที่ตัดสินใจเช่นนั้น แต่ในคราวนี้ ผมมีโอกาสที่สอง และผมก็ไม่อยากเสียมันไปอีก
...............................................
ผมจอดรถไว้ริมถนนหน้าบ้านของเขา เปิดประตูรั้วที่ไม่ได้ล็อกเข้าไปภายใน กดอินเตอร์คอมหน้าประตูบอกให้คนในบ้านทราบ ผมแน่ใจว่า ผมมาไม่ผิดบ้าน เพราะกลิ่นประจำตัวของเขามีอยู่ให้สัมผัสอย่างชัดเจน แต่คนที่ออกมาเปิดประตูให้ผม คือ อัลเฟรด คอร์ตนีย์ เบต้าเพศชาย เพื่อนสนิทของเขาตั้งแต่สมัยเรียนในโรงเรียนประจำเอกชน ซึ่งมาขอเช่าห้องที่ว่างอยู่ในบ้านของเขาเป็นที่พัก
คอร์ตนีย์เป็นชายหนุ่มหน้ากลมท่าทางเหมือนไม่ได้นอนมาทั้งคืน และตอนที่ผมพบเขา เขาหาวหวอด แล้วเล่าให้ผมฟังว่าเขาเป็นนักเขียนและบรรณาธิการต้นฉบับที่ชอบทำงานกลางคืนมากกว่ากลางวันซึ่งก็ตรงกับนิสัยของร่างค้างคาวอีกร่างหนึ่งของเขาพอดี
“โทบี้ลงมาแล้ว แต่ลืมของไว้ในห้องเลยกลับไปเอาน่ะครับ” เขาบอกหลังจากเราแนะนำตัวทำความรู้จักกันแล้ว น้ำเสียงและท่าทางของเขาเป็นมิตร แม้ดูเหมือนพร้อมจะหลับได้ทุกเมื่อ “ตามสบายนะครับ ผมขอตัวไปนอนก่อน”
ผมกล่าวขอบคุณเขา และถือวิสาสะหย่อนตัวลงนั่งบนโซฟาของชุดรับแขก กวาดตาสำรวจการตกแต่งและตัวบ้านเงียบๆและพบว่าที่ผนังด้านหนึ่งและเรียงเรื่อยขึ้นไปตามบันได คือ ชั้นหนังสือติดผนังที่อัดแน่นด้วยหนังสือทอดตัวขึ้นไปจนสุดทาง สิ่งนี้ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นไปเดินดูว่ามีหนังสืออะไรอยู่บ้างตามประสาของคนชอบอ่านหนังสือ เคยหลงรักคนที่รักหนังสือ และมีความผูกพันกับร้านหนังสือมาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา
ผมชอบกลิ่นของหนังสือเก่ากลิ่นของลิกนิน ซึ่งเป็นสารที่ซ่อนตัวอยู่ในเนื้อเยื่อของกระดาษ ส่งกลิ่นหอมเหมือนวานิลลาออกมา และนั่นเป็นเหตุผลว่าเพราะเหตุใดหนังสือเล่มเก่าจึงให้กลิ่นหอมที่อบอุ่นกว่าหนังสือใหม่ โดยเฉพาะหนังสือที่ผ่านกาลเวลามายาวนานและซึมซับเอากลิ่นอายของเจ้าของเดิมเอาไว้ ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนมือมายังผู้อ่านคนต่อไป
กลิ่นของหนังสือเก่าที่เรียงรายอย่างเป็นระเบียบตลอดแนวชั้นทำให้ผมอดนึกถึงแมรี่ไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็อดนึกถึงคนที่แวะไปเยี่ยมเยียนร้านหนังสือเก่าของเธอเมื่อสิบกว่าปีก่อนไม่ได้ด้วยเช่นกัน
ผมไล่อ่านชื่อหนังสือที่ปรากฏบนสันปกหนังสือทีละเล่ม ในวันที่เขาแวะไปที่ร้านหนังสือของแมรี่ เขาก็คงจะหยิบจับหนังสือที่มีเรื่องราวทำนองนี้อย่างที่ผมกำลังทำ
ประเภทของหนังสือบนชั้นทำให้ผมนึกสนใจเขามากขึ้นอีกเล็กน้อย ที่คนในวิชาชีพที่อยู่กับวิทยาศาสตร์เกือบตลอดเวลาอย่างเขาสนใจเรื่องตำนานและความเชื่อเก่าแก่เป็นพิเศษ เพราะหนังสือเก่าในหัวข้อดังกล่าวแต่ละเล่มล้วนมีกลิ่นประจำตัวของเขาติดอยู่ น่าแปลกใจไม่น้อย ที่เมื่อกลิ่นของดอกเฮเธอร์จากตัวของเขากับกลิ่นจาง ๆ ของวานิลลาจากกระดาษเก่ากลับทำให้รู้สึกสบายใจอย่างประหลาด และทำให้เห็นภาพเจ้าของหนังสือนอนขดตัวหรือไม่ก็เหยียดยาวอยู่บนโซฟาตัวที่ผมนั่งอยู่เมื่อครู่นี้ และจมดิ่งไปในเนื้อหาของหนังสือในมือได้อย่างชัดเจน
ความสงบนิ่งและหัวใจที่เต้นในจังหวะปกติแม้จะได้กลิ่นประจำตัวของ ดร. ฟอล์กเนอร์อวลอยู่รอบตัว ทำให้ผมค่อยวางใจว่า ทุกอย่างคงจะดำเนินไปได้ตามปกติ
“ขอโทษที่ทำให้รอครับ สารวัตร ผมลืมโทรศัพท์มือถือไว้ในห้องเลยกลับไปเอา”
เสียงของนายแพทย์หนุ่มแว่วมาจากชั้นสองของบ้านพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ก้าวเดินมาตามพรมหนา เมื่อเขาเดินลงมาหาผมที่ยืนดูหนังสือตรงชานพักของบันได
“ไม่เป็นไรครับ คุณหมอ ผมมาถึงก่อนเวลานิดหน่อย” ผมเอ่ยตอบ และรับคำขอโทษที่ไม่จำเป็นเลยของเขา
ดร. โทเบียส ฟอล์กเนอร์ที่อยู่ตรงหน้าของผมในเวลานี้ ดูต่างไปจากที่ผมได้เห็นเขาผ่านโปรแกรมสื่อสารออนไลน์วานนี้ราวกับคนละคน เมื่อเขาอยู่ในเสื้อคอเต่าไหมพรมสีเทาอมฟ้า โค้ตแบบมีฮู้ดสีกรมท่า กับกางเกงยีนสีเข้ม ผมสีบลอนด์ทรายหวีเสยขึ้นเหนือหน้าผากอย่างเรียบร้อย ดวงตาสีเขียวของเขาดูแจ่มใสขึ้น เช่นเดียวกับใบหน้าที่ดูผ่อนคลายมากขึ้นร่องรอยความกังวลเกี่ยวกับสภาพที่ไม่พร้อมจะพบเจอใครอย่างวันวานจางหายไปแล้วแต่ผมสามารถสัมผัสได้ถึงอารมณ์บางอย่างที่ยังตกค้างอยู่อยู่ตัวเขามีบางอย่างในสายตาคู่นั้นบอกผมว่า เขากำลังพยายามเก็บซ่อนบางสิ่งเอาไว้
“ยินดีที่ได้พบ ขอบคุณที่มารับด้วยครับ” เขายื่นมือออกมาจับมือกับผม แต่ในเสี้ยวนาทีที่ผมยื่นมือออกไปสัมผัสมือกับเขา ผมรู้สึกได้ทันทีว่า เขาชะงักไปชั่วขณะ
ไม่ใช่แค่เขา ผมเองก็เช่นเดียวกัน
วินาทีที่มือของเราสัมผัสกัน ผมรู้สึกว่าลมหายใจของตัวเองสะดุดไปชั่วครู่ หัวใจเต้นถี่ขึ้นทุกขณะ ผมแน่ใจว่า ไม่ใช่เพราะอำนาจของฟีโรโมน และลำพังเพียงกลิ่นอ่อนจาง สงบเย็นของเฮเธอร์ซึ่งเป็นกลิ่นประจำกายของเขาไม่อาจปลุกเร้าสัญชาตญาณและความปรารถนาเบื้องลึกให้ตื่นขึ้นมาได้
เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับผมมาก่อน โดยเฉพาะกับคนที่เพิ่งรู้จักชื่อ เพิ่งได้พบหน้า และได้พูดคุยกันเพียงไม่กี่คำ
นี่คือแรงดึงดูดที่เกิดขึ้นระหว่างคนที่เป็นคู่แท้ใช่ไหม... ผมถามในใจ แต่ไม่มีใครเลยที่ให้คำตอบผมได้ แม้แต่ตัวของผมเอง
ความรู้สึกที่มีคนเปรียบว่าเหมือนผีเสื้อนับพันบินอยู่ในท้อง ไม่เกินความเป็นจริงนัก เพราะผมรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ แม้ว่าจะพยายามกดเก็บความรู้สึกที่ไม่ควรเกิดกับคู่หมายที่เพิ่งพบหน้า และบอกตัวเองว่า เรายังจะต้องเป็นเพื่อนร่วมงานกันต่อไปในอนาคตอย่างที่สุดแล้วก็ตาม
ผมบอกตัวเองให้หายใจเข้าลึก ๆ ทำทุกอย่างให้เป็นปกติ แล้วปล่อยมือจากเขาเสีย แต่เมื่อผมเงยหน้าขึ้นและสบตากับเขา ความพยายามของผมก็สิ้นสุดเพราะสิ่งที่อยู่ในใจของผมกำลังสะท้อนอยู่ภายในดวงตา ใบหน้าและในภาษากายของคนตรงหน้าเช่นกัน
เขาต้องการผม เช่นเดียวกับที่ผมต้องการเขา
มีทางเลือกเพียงสองทาง คือ เราจะหยุดตัวเองเอาไว้เพียงเท่านี้ พยายามทำเป็นลืมมันไปเสีย หรือปล่อยทุกอย่างไปตามเสียงเรียกร้องในใจตัวเอง ที่เราต่างเข้าใจตรงกันโดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำ
“เรายังพอมีเวลาอยู่ใช่ไหม...”
ผมจำไม่ได้ว่า ใครเป็นคนกระซิบถามคำถามนั้น แต่ไม่มีใครยอมเสียเวลาตอบคำถามที่ว่า และไม่จำเป็นต้องพูดสิ่งใด เมื่อริมฝีปากของเราสองคนแลกเปลี่ยนคำตอบกันไปแล้ว
ผมรู้ว่ามันอาจเร็วเกินไป แต่ความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นในเวลานั้น รุนแรงเกินกว่าจะยับยั้ง ผมอยากจะหยุด ก่อนที่เขาไม่ยินยอมแล้วผมจะห้ามตัวเองไว้ไม่อยู่ แต่การตอบสนองของเขาเป็นคำตอบให้ผมว่า เราไม่จำหยุดมันเอาไว้กลางคัน
สิิ่งที่เกิดขึ้นในใจของผม คือ ความโหยหา... เป็นความโหยหาที่ไม่ควรเกิดกับคนที่เพิ่งพบหน้าเป็นครั้งแรก แต่มันก็เป็นไปแล้ว เป็นความโหยกระหายในสัมผัสที่อยากจะแน่ใจว่า คนที่อยู่ตรงหน้าเป็นความจริง ไม่ใช่ความฝัน และปรารถนาที่จะตักตวงเอาความรู้สึกที่ห่างหายไปจากชีวิตมาเนิ่นนานเอาไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ริมฝีปากของเขาอบอุ่น เส้นผมของเขาอ่อนนุ่มเหมือนเส้นไหม กลิ่นหอมจากร่างกายของเขาอวลอยู่ที่ปลายจมูก ทุกอย่างบอกว่าคู่แท้ที่ผมไม่เคยรู้ว่าเป็นใคร มีตัวตนตรงหน้าของผม อยู่ในอ้อมแขนของผมและกำลังตอบสนองทุกสัมผัสของผมคืนมา
กลิ่นประจำกายและไออุ่นจากลมหายใจที่เราแลกเปลี่ยนกระตุ้นเร้าสัญชาตญาณเบื้องลึก และปิดกั้นความยับยั้งชั่งใจที่ควรจะทำหน้าที่ของมันให้หยุดอยู่กับที่ ทั้งที่ก้าวขึ้นบันไดอีกเพียงไม่กี่ขั้นก็จะถึงห้องของเขาอยู่แล้ว แต่ระยะทางของบันไดเพียงไม่กี่ขั้นก็ดูห่างไกลเกินไป เมื่อเทียบกับความอดทนที่ใกล้จะหมดเต็มที
ทันทีที่ประตูห้องของเขาปิดลง และแน่ใจว่ามีเพียงเราลำพัง มือของเราก็ต่างไขว่คว้าและฉุดรั้งร่างกายของอีกคนหนึ่งเข้าหา แต่ในขณะเดียวกันก็ถอดทึ้งเอาเสื้อผ้าที่ขวางกั้นเราเอาไว้ให้พ้นตัว ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวที่เรายอมผละจากริมฝีปากและร่างกายของกันและกัน
เช่นเดียวกับโอเมก้าทุกคนที่ผ่านประสบการณ์ช่วงฮีทมาแล้ว เขาไม่ได้ไร้เดียงสา หรือไม่ประสีประสากับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นระหว่างเราในตอนนี้ แต่ท่าทีลังเล และรีรอเมื่อแรกเริ่มของเขาบ่งบอกว่า เขากำลังหวาดหวั่นกับการมีสัมพันธ์ใกล้ชิด
"อยากหยุดไหม"
เขาไม่ได้เอ่ยตอบ ไม่ได้ผลักไสหรือปฏิเสธ แต่สนองรับเมื่อริมฝีปากของเขาแนบชิดกันอีกครั้ง มือของเขาเย็นและชื้นเหงื่อ เขาอาจยังหวั่นเกรงอยู่ลึก ๆ แต่ไม่ได้รังเกียจผม และอยากตอบรับความสัมพันธ์นี้
ผิวกายของเขาสะอาด นุ่มละเอียด และเรียบเนียนเหมือนประติมากรรมที่สลักจากหินอ่อน แต่ใช่ว่าจะไร้ตำหนิ เพราะเหนืออกซ้ายของเขา มีรอยแผลเป็นจาง ๆ เป็นแนวยาวประทับอยู่ เหมือนรอยที่เกิดจากกรงเล็บ และคนที่ทำร้ายเขาอยากฝากรอยนั้นเอาไว้อย่างจงใจ แต่ในเวลานั้น ไม่ใช่เวลาที่จะถามหรือพูดคุยกันเรื่องอื่น
โทเบียส ฟอล์กเนอร์กับผม เราต่างรู้ชื่อของกันและกัน แต่ความห่างเหินอย่างคนแปลกหน้าที่เพิ่งพบทำให้เราขัดเขินเกินกว่าจะเอ่ยเรียกชื่อของกันและกันออกมา ทั้งที่ร่างกายของเราทั้งสองคนกำลังทำความรู้จักและแลกเปลี่ยนบทสนทนาที่เกินกว่าคำว่าผิวเผิน
เขาฝังใบหน้าลงกับไหล่ของผม ซ่อนเสียงที่หลุดหลงออกมายามเผลอไผลระหว่างส่วนที่เปลือยเปล่าของเราบดเบียดและเสียดสีกัน ความหวาดหวั่นของเขาเมื่อแรกไม่หลงเหลืออยู่อีกต่อไปแล้ว มือของผมที่ไล้สัมผัสไปตามร่างกายของเขารับรู้ว่า เขาพร้อมแล้ว แต่ผมต้องชะงักไปชั่วขณะ
"ไม่เอา!"
เขาสะดุ้งเฮือก ปล่อยแขนที่โอบรอบคอของผมเอาไว้ทันที และทาบมือยันอกผมออกห่างตัว ขณะที่ผมรั้งเอวของเขาเข้ามาหา
“ผมหมายความว่า... อย่ามากกว่านี้...” ดวงตาของเขาหลุบต่ำ เสียงของเขาแผ่วเบา และสั่นไหวจนแทบจับความไม่ได้
“ผมรู้...” ผมกระซิบบอกว่ารับรู้คำปรามของคนเบื้องล่าง
ผมแนบหน้าผากของตัวเองกับหน้าผากของเขา เกลี่ยเส้นผมยุ่งเหยิงและชื้นเหงื่อจากใบหน้า ทาบมือลงที่ข้างแก้มไล้นิ้วตามแนวกรามของเขาแผ่วเบาเพื่อรับรองคำพูดนั้น ลมหายใจที่เหมือนจะสะดุดไปชั่วครู่และกล้ามเนื้อในร่างกายที่เกร็งอยู่ชั่วขณะของเขาจึงค่อยผ่อนคลายลง ก่อนที่ทุกอย่างจะที่หยุดไปก่อนหน้านั้น จะเริ่มต้นขึ้นใหม่ และดำเนินต่อไปสุดปลายทาง
...............................................
เมื่อผมออกมาจากห้องน้ำในห้องนอนส่วนตัวของดร. ฟอล์กเนอร์ หลังชำระล้างคราบรอยที่หลงเหลือหลังจากต่างคนต่างช่วยกันปลดเปลื้องความต้องการที่เกิดขึ้นออกไปไม่ให้ใครจับได้ว่า เราเพิ่งผ่านสิ่งใดมา เจ้าของห้องและผ้าเช็ดตัวที่ผมยืมใช้กำลังจัดเสื้อผ้าของตนเองให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย เขาหันมามองผม และเราต่างมองกันโดยไม่มีใครพูดอะไร ขณะที่ผมหยิบเสื้อผ้าของตัวเองที่วางพาดอยู่บนเตียงของเขาขึ้นมาสวม
ในบางครั้ง การปล่อยให้ความเงียบพูดแทนก็อาจเป็นการสนทนาที่ดีที่สุด และเข้าใจกันได้ง่ายที่สุด
เรายังไม่รู้จักกันมากพอที่จะผูกชีวิตเอาไว้ด้วยกันด้วย ‘พันธะ’ ที่ลึกซึ้งระหว่างอัลฟ่าและโอเมก้าที่ถูกกำหนดมาแล้วให้เป็นคู่ของกันและกัน แต่ทุกส่วนของเราที่สัมผัสและถ่ายทอดความรู้สึกกลับบอกว่า เราต่างรู้จักร่างกายของกันและกันจนแทบไม่ต้องเริ่มต้นเรียนรู้กันใหม่อีกต่อไปแล้ว
เราไม่ใช่คู่ที่คิดใคร่เพียงแค่ชั่วครั้งหรือชั่วคืนแต่เรายังต้องทำความรู้จักกันอีกมากกว่าที่จะตกลงใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันได้
เราต่างยังคงเป็นคนแปลกหน้ามากพอกับเป็นคนใกล้ชิดของกันและกัน
โทเบียส ฟอล์กเนอร์ ซึ่งจัดการกับเครื่องแต่งกายของตนเองเรียบร้อยแล้ว เดินเข้ามาหาและช่วยผมติดกระดุมเสื้อที่อยู่ด้านบนขึ้นไปโดยไม่ได้พูดอะไร ในขณะที่ผมปล่อยให้กระดุมเสื้อของผมเป็นงานของเขาแล้วหันไปยัดชายเสื้อเข้าในกางเกง และคาดเข็มขัดให้เรียบร้อย
“กลิ่นประจำตัวของคุณให้ความรู้สึกเหมือนแดดอุ่นๆ” เขาเอ่ย ท่าทีของเขายังขัดเขิน และสิ่งที่เอ่ยเป็นเหมือนบทสนทนาที่ไม่รู้ว่าจะหยิบยกอะไรมาพูดถึงเรื่องของเรา
"ไม่ได้ทำให้รู้สึกไม่ดีใช่ไหม" ผมถาม
เขาส่ายหน้า และยิ้มออกมาเป็นครั้งแรก "ผมชอบนะ"
ผมยิ้มตอบเขา และยิ้มกับตัวเองไปในเวลาเดียวกัน นิสัยชอบอยู่กับแดดอุ่น ๆ ของเขาสมกับเป็นแมวดีเหลือเกิน ที่จริง ผมอยากจะบอกเขาเช่นกันว่า ผมเองก็ชอบกลิ่นประจำตัวของเขาที่ทั้งทำให้สงบและหวั่นไหวได้ในเวลาเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป เพราะเกรงว่าเขาจะเขิน
ผมกล่าวขอบคุณเขาอีกครั้ง เมื่อเขารับเอาผ้าเช็ดตัวที่ใช้แล้วไปใส่ในตะกร้า เหลือบมองนาฬิกาข้อมือของตัวเอง
“ดูเหมือนอาหารเช้าของเราจะผิดแผนไปหน่อย...”
“ถ้าสารวัตรไม่รังเกียจอาหารขยะ ผมคิดว่า เราเปลี่ยนจากไปกินในร้านเป็นซื้อจากแมคโดนัลด์ไดรฟ์ทรูเอาก็ได้” เขาเสนอ “หรือไม่สารวัตรก็จอดรถรอสักครู่ ผมจะวิ่งลงไปซื้อกาแฟกับแซนด์วิชจากแพร็ตตามองเช่ หรือน้ำผลไม้กับพายของเกร็กส์มาให้ เราก็คงพอมีเวลากินก่อนถึงเวลานัดอยู่บ้าง”
“ตกลงตามนั้น”
ในที่สุด สิ่งที่ผมเคยกังวลเกี่ยวกับตัวเขาและตัวผมเองก็คลี่คลายไปในทางที่ดี แม้ว่าจะมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันอยู่บ้าง และนั่นก็ทำให้ผมต้องกลับมาคิดทบทวนความเชื่อของตัวเองเกี่ยวกับสิ่งที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้วเสียใหม่ แต่สุดท้าย ก็ไม่มีคำตอบใด ๆ กลับมาอีกเช่นเคย
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งหนึ่งที่ผมบอกตัวเองได้อย่างแน่ชัดแล้วในตอนนี้ คือ ผมไม่ได้สูญเสียโอกาสครั้งที่สองที่ผมได้รับมาไปอย่างที่ผมเคยทำ แม้จะยังไม่รู้ว่า ผมจะรักษาสิ่งที่อยู่ในมือของผมในเวลานี้ต่อไปได้นานสักเพียงไหน
ขณะที่ผมกำลังเดินไปรอที่รถ แล้วหันหลังกลับมาเห็นภาพด้านหลังของโทเบียส ฟอล์กเนอร์ที่กำลังล็อกประตูบ้าน ทำให้ผมรู้สึกแน่นหน้าอกอย่างบอกไม่ถูก ดวงตาของผมร้อนผ่าวเหมือนจะน้ำตาจะไหลออกมาเสียให้ได้
ครั้งสุดท้ายที่ผมยืนรอใครสักคนเพื่อที่จะเดินทางไปด้วยกัน และมองเห็นภาพเช่นนี้ คือ เมื่อสิบปีก่อน เมื่อครั้งที่ผมยังมีแมรี่อยู่เคียงข้าง และเมื่อเธอจากผมไป ผมก็ไม่คาดหวังหรือคาดคิดว่าจะได้เห็นภาพอย่างนี้อีก
ผมเงยหน้าขึ้นมองกลุ่มควันที่เกิดขึ้นจากลมหายใจที่ปะทะกับอากาศหนาวเย็นรอบตัว พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล แต่ดูเหมือนความพยายามของผมจะไร้ประโยชน์
เมื่อดึงมือออกจากกระเป๋าเสื้อโค้ตยาวที่สวมอยู่ และยกมือขึ้นเพื่อจะเช็ดน้ำตา ผมจึงได้สังเกตว่า บางสิ่งที่ผมถอดวางไว้บนโต๊ะหัวเตียงเมื่อคืนนี้หายไป เพราะผมลืมสวมมันติดมือมาด้วย โดยที่ผมไม่ทันได้คิดถึงหรือรู้สึกถึงมันเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ต่อให้ลืมเอาไว้ ผมมักฉุกใจคิดได้ก่อนที่จะออกจากบ้าน และต้องกลับเข้าไปเอามาไว้กับตัวด้วยซ้ำ
วันนี้ เป็นวันแรกในรอบสิบปีที่ผมไม่ได้ใส่แหวนแต่งงานของผมกับแมรี่บนนิ้วนางข้างซ้ายของตัวเอง
To be continued....
คุณหมอน่ารักมากๆๆๆๆๆๆ มีความแมวๆอยู่ในหลายๆช็อต
แต่เขิลสุดก็ตอนจับมือแล้วสปาร์กกันนี่ล่ะค่ะ
พวกเหมียวๆเนี่ย ถ้าไม่ชอบก็จะหยิ่งเชิดใส่ แต่ถ้าชอบก็ไม่เคยรีรอให้เสียเวลาเลย
น่าฟัดมากๆเลยค่ะคุณหมอ
ส่วนคุณสารวัตก็ดูจะเลือกทางข้างหน้าให้ตัวเองได้แล้วใช่มั้ยคะ
มันคงโหวงๆในใจที่คุณแมรี่จะเป็นความทรงจำแบบใหม่ ไม่ต้องทรมานกับความสูญเสียแล้วนะคะ
แต่มันมากร๊าวใจเอาตอนจับมือกันแล้วคุณหมอก็โอเคด้วยนี่แหละ! ฮือ เขินตัวบิดเลยทีเดียว
ตอนช่วงท้ายเป็นการก้าวเดินต่อแบบชัดเจนจริงๆนะคะ เวลาสารวัตรยังคงเศร้าและคิดถึงแมรี่อยู่ รู้สึกเห็นใจมากจริงๆ มันทั้งแอบใจหายและโล่งโปร่งแปลกๆดีค่ะ พอไม่ได้สวมแหวนแล้วเห็นภาพคุณหมอไขประตูบ้านแบบนั้น ;-;
เราชอบที่สองคนนี้ถูกใจในกลิ่นประจำตัวมากๆๆจริงๆค่ะ ฮือ แอบหลงใหลกลิ่นแดดอุ่นๆ เข้าใจวิถีแมวเบาๆเพราะเราเองก็เลี้ยงแมว โอย แค่คิดว่าจะได้รู้จักคุณหมอต่อไปเรื่อยๆก็รู้สึกถึงความน่ารักของคุณหมอ ;w; ตอนฉากช่วยติดกระดุมนั้นก็น่ารัก มีจุดน่ารักๆซุกซ่อนไว้เยอะมากๆเลย ชอบมากๆเลยค่ะ
เป็นกำลังใจให้นะคะ ขอโทษที่เพิ่งมาเม้นให้ทั้งที่เราได้อ่านตั้งแต่ตอนแรก ;-; แอบชอบภาษาและสำนวนของคุณมาโดยตลอดๆ เรื่องนี้เราชอบมากเลย รู้สึกอบอุ่นไปด้วย แถมเป็นฟิคโอเมก้าเวิร์สอีกตังหาก ขอบคุณมากนะคะที่แต่งมาให้อ่านกัน
สารภาพว่าเขินกับตอนนี้เหมือนกันค่ะ เหมือนสองจิตสองใจว่าจะเอาลงดีไหม เพราะตอนที่ลงในทวิตลองเกอร์ช่วงหลังจากที่หมอกับสารวัตรจับมือกันแล้ว ข้ามช็อตไปตอนที่จะออกจากบ้านเลย แต่พอเอามาลงตรงนี้ ก็ตัดสินใจเอามาลงด้วย แล้วก็เขินเอง กลัวนิด ๆ ด้วยละค่ะ ว่าจะมากไปไหม ><
สำหรับสารวัตรการได้เจอหมออีกหนหนึ่งเป็นเหมือนโอกาสจริงๆ ค่ะ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นจุดที่ต้องตัดสินใจแล้วด้วยว่า จะหยุดอยู่กับที่หรือจะไปต่อ สารวัตรเลือกไปต่อจริงๆ ค่ะ ถามว่าลืมแมรี่หรือเปล่าก็คงไม่ลืม แต่คงจำในแบบที่ต่างออกไปจากเดิมมากกว่า มันเป็นความใจหายปนกับการมีบางอย่างมาเติมเต็มช่องว่างที่เคยมี แต่ยังไม่รู้ว่าจะ fit in หรือไม่ขนาดไหน แต่อย่างน้อยก็มีเข้ามาในชีวิตที่เกือบจะเลิกคาดหวังไปแล้วละค่ะ
ดีใจที่เข้าใจฟีลแมว ๆ และก็เห็นมุมน่ารักที่พอจะมีกับเขาอยู่บ้างของหมอมาก ๆ นะคะ ฮา ส่วนตัวก็ชอบความแมวของหมออยู่เหมือนกันค่ะ
ขอบคุณสำหรับกำลังใจมาก ๆ เลยค่ะ แค่มาอ่านก็ดีใจมากแล้วอย่างที่บอกมาแต่ต้น ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเขียนโอเมก้าเวิร์สเลยค่ะ เรียกว่ามาไกลมากจริง ๆ ดีใจที่ชอบนะคะ ><