Trigger warning: เนื้อหาตอนนี้ มีส่วนที่พูดถึง sexual harassment/assault และผลกระทบที่ตามมา ถ้าจิตใจไม่พร้อมหรือคาดว่าอาจส่งผลกระทบต่อจิตใจ กรุณาหลีกเลี่ยงนะคะ
(1)
ผมเคยใช้ชีวิตอย่างปกติไม่เคยมีข้อกังวลอะไรมากนัก
ผมเรียนโรงเรียนชายล้วน และมีเพื่อนเป็นผู้ชายทั้งหมด
ผมไม่เคยรู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างผมกับเพื่อน
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเคยเป็น และเคยมีเปลี่ยนไป
ด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวของผม ในวันที่ผมไม่เคยลืม
วันที่ผมรู้สึกว่า ทุกอย่างอยู่เหนือการควบคุมของตัวเอง
และเป็นวันที่ทุกอย่างในชีวิตของผมไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
วันนั้น คือ วันที่ผมได้รู้ว่าตัวเองเป็นโอเมก้า
(2)
ในวันที่ผมรู้ว่าตัวเองเป็นโอเมก้า
โลกที่ผมเคยรู้จักกลับตาลปัตรไปหมด
ถ้าหากผมรู้ว่าตัวเองเป็นอะไรตั้งแต่แรกเกิด
ก็คงจะดีกว่านี้ แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากยอมรับ
ถึงจะรู้อย่างนั้น แต่ผมก็ยังเกลียดความรู้สึกที่ว่า
ผมต้องยอมจำนนให้กับสิ่งที่ธรรมชาติกำหนด
ทั้งที่ใจของผมไม่ต้องการและต่อต้านมันอย่างไม่มีทางสู้
ผมไม่ต้องการมีความสัมพันธ์กับคนที่ผมไม่ชอบ
แต่ร่างกายของผมกลับเรียกร้องหาความสัมพันธ์ชนิดนั้น
โดยไม่เกี่ยงเลยว่าเขาหรือเธอเป็นคนที่ผมรู้จักหรือไม่
ดังนั้น หนทางเดียวที่ผมมี คือ พาตัวเองออกห่างจากอัลฟ่า
ในช่วงเวลาที่สัญชาตญาณในตัวต้องการอัลฟ่ามากที่สุด
เพราะเพื่อนของผมส่วนใหญ่เป็นอัลฟ่าและเบต้า
อาจารย์ที่โรงเรียนจึงต้องแยกผมออกจากคนอื่นในบางวิชา
ผมกลายเป็นคนนอก ทั้งที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของทุกคน
ผมต้องเรียนรู้เรื่องสรีระของตัวเองและสิ่งที่ต้องระวังอีกมาก
และในบางครั้งผมก็อดรู้สึกระแวงไม่ได้ว่า หากวันหนึ่ง
เพื่อนที่เป็นอัลฟ่าของผมเพื่อนที่เคยกอดคอเล่นหัวกันมา
แพ้สัญชาตญาณของตัวเองแล้ว เราคงจะเป็นเพื่อนกันไม่ได้อีก
ผมพอสมควรใช้เวลาในการปรับตัวและเริ่มกลับมาวางใจคนอื่น
เมื่อเพื่อนของผมยังคงเหมือนเดิมและปฏิบัติต่อผมเหมือนเดิม
ผมเริ่มสบายใจที่จะก้าวต่อไปข้างหน้าถึงจะต้องเปลี่ยนแผนบ้าง
อย่างไรก็ตาม บ้านไม่ใช่สถานที่ผมอยากกลับไปบ่อย ๆ อีกแล้ว
พ่อดีกับผมแต่ผมไม่อยากเห็นความผิดหวังที่พ่อซ่อนเอาไว้
รวมถึงพี่ชายคนอื่นๆ ของผมที่มองผมเป็น 'อย่างอื่น' ไปแล้ว
คงเหลือแต่แม่ที่เป็นโอเมก้าเหมือนกัน และกีเดี้ยน พี่ชายของผม
ที่ผมอยู่ด้วยแล้วสบายใจและเปิดเผยสิ่งที่ผมกังวลกับพวกเขาได้
แม่ทิ้งงานที่ต้องเดินทางไปโน่นมานี่มาทำงานเขียนอยู่กับบ้าน
นั่นเป็นสิ่งที่เราเหมือนกันและแม่ให้คำแนะนำส่วนใหญ่กับผมได้
แต่หลายครั้งการกลับบ้านไปเป็นเด็กชายตัวเล็ก ๆ ในสายตาแม่
กอดแม่นั่งเบียดอยู่กับแม่โดยที่ไม่ต้องพูดอะไร ก็มากเพียงพอแล้ว
ผมรู้ว่าพ่อกับแม่เป็น ‘คู่แท้’ ของกันและกัน และพวกเขารักกันจริง ๆ
แต่ผมนึกไม่ออกว่าโอเมก้าที่เป็นผู้ชายอย่างผมจะเจอคนคนนั้นง่าย ๆ
สำหรับกีเดี้ยนถึงเขาจะเป็นอัลฟ่าเหมือนพี่ชายคนอื่น ๆ ของผม
แต่เขายังคงมองผมเป็นน้องชายคนสุดท้องที่เล่นซนด้วยกันคนเดิม
ผมได้รูปร่างหน้าตาของแม่มา ส่วนเขาทำในสิ่งที่แม่เคยทำก่อนที่จะแต่งงาน
เขาให้ความมั่นใจกับผมว่า การที่เราไม่ถูกคาดหวังให้ต้องใช้ชีวิตแบบไฮอัลฟ่า
เป็นเรื่องที่ดีมากขนาดไหนเพราะผมเรียนแพทย์ เขาเป็นนักประวัติศาสตร์ศิลปะ
ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับการเมืองหรือธุรกิจใด ๆ ไม่ต้องวุ่นวายกับผู้คนที่ไม่รู้จัก
แม่กับกีเดี้ยนทำให้ผมรู้สึกว่า การเป็นผู้ชายและการเป็นโอเมก้า
ไม่ใช่เรื่องที่ขัดกันและไม่ได้แย่สักเท่าไหร่ ถ้าหากยอมรับสิ่งที่ตัวเองเป็นได้
โชคดีที่เพื่อนในโรงเรียนแพทย์กับอาจารย์ต่างเข้าใจและสนับสนุนผมเสมอ
ในตอนนั้น ผมมีความเชื่ออยู่ลึกๆ ว่า ถ้าหากผมประสบความสำเร็จ
ถึงจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรแต่อย่างน้อยโอเมก้าอีกหลายคน
อาจมั่นใจในความสามารถของตัวเองมากขึ้นและทำให้คนยอมรับได้
(3)
ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี จนกระทั่งวันที่ผมทำผิดพลาดอย่างยิ่ง
ความผิดพลาดนั้นเกิดจากการรับคำของเฮคเตอร์พี่ชายคนรองอย่างเสียไม่ได้
ทิมพี่ชายคนโตของผมเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ส่วนเฮคเตอร์พี่ชายคนที่สองทำธุรกิจนำเข้าและส่งออกเฟอร์นิเจอร์
การเมืองธุรกิจ งานสังคม งานการกุศลเป็นเรื่องที่มีส่วนเกี่ยวเนื่องกันเสมอ
การเข้าสังคมไปพบปะผู้คนอย่างเป็นงานเป็นการเป็นครั้งคราว
ถือเป็นเรื่องภาคบังคับที่บางครั้งผมเองก็หลีกเลี่ยงได้ยากและจำเป็นในบางที
ทิมไม่พูดมาก แต่ผมรู้ว่าเขาคาดหวังให้ผมไปงานนี้สักครั้ง
ส่วนเฮคเตอร์คะยั้นคะยอให้ผมต้องรับปากตัดรำคาญออกไปจนได้
ผมคิดกับตัวเองว่า ไปทักทายคนในงานตามหน้าที่และแยกตัวไปตามลำพัง
ปล่อยให้ทิมกับเฮคเตอร์เจรจาธุรกิจของตัวเองไปตามเรื่องตามราวของตัวเอง
แล้วค่อยกลับบ้านไปพร้อมกับพวกเขาเมื่อเลิกงาน โดยไม่ต้องยุ่งกับใครก็พอ
ผมคิดว่ามันจะเป็นเหมือนงานเลี้ยงอื่นที่ผมเคยไป แต่ผมคิดผิด
ผมรู้สึกว่า ตัวเองตกเป็นเป้าสายตาของใครต่อใครในงาน
คนที่เข้ามาทักทายและพูดคุยกับผมตามที่พี่ชายแนะนำล้วนเป็นอัลฟ่า
จนผมอดคิดไม่ได้ว่าพี่มาผมมาให้อัลฟ่าคนอื่น ๆ ‘ดูตัว’หรือเปล่า
อัลฟ่ากับโอเมก้าเป็น ‘เพศ’ ที่จับคู่กันได้เหมาะสมที่สุด
เพราะธรรมชาติได้กำหนดให้ต่างคนต่างมีคู่แท้เป็นฝ่ายตรงข้าม
ซึ่งเมื่อได้พบแล้วอัลฟ่าและโอเมก้าคู่นั้นจะรู้ได้ทันทีว่า ได้พบ ‘คู่แท้’
แต่ในที่นี้ผมไม่เพียงแต่ไม่พบคนที่ใช่ ยังอึดอัดกับการอยู่ท่ามกลางฝูงอัลฟ่าด้วย
เพราะในบรรดาโอเมก้าโอเมก้าที่เป็นผู้ชาย ‘หายาก’ กว่าผู้หญิงหลายเท่า
โดยเฉพาะคนที่เกิดมาในครอบครัวที่ผูกสัมพันธ์กันเฉพาะอัลฟ่าและโอเมก้า
สายตาของอัลฟ่าโดยเฉพาะอัลฟ่าที่เป็นผู้ชายเหมือนกันกับผมในงาน
ขุดค้นและรื้อฟื้นความรู้สึกแปลกแยกและแตกต่างที่หายไปให้กลับมา
บางคนไม่ได้มองผมในฐานะผู้ชายด้วยกันแต่มองผมเป็นโอเมก้า
เพศที่ด้อยกว่าอ่อนแอกว่า ฉลาดน้อยกว่า และมีหน้าที่ตั้งท้อง เลี้ยงลูก
ใบหน้าของผม รูปร่างของผมที่ถูกสะท้อนผ่านสายตาของบางคนที่มองมา
ทำให้ผมอับอายกับตัวตนของตัวเองที่กลายเป็นเหมือนวัตถุที่ล่อตาล่อใจพวกเขา
กลิ่นประจำตัวของอัลฟ่าและกลิ่นของฮอร์โมนจากร่างกายของคนที่รายล้อม
ทำให้ผมกระสับกระส่ายอึดอัด และรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกสิ่งนี้เร้ามากเกินไป
ถึงจะยังไม่ถึงช่วงฮีทแต่การถูกกระตุ้นด้วยกลิ่นของอีกฝ่าย ก็เร่งให้มันเกิดขึ้นได้
ผมอยากกลับบ้านใจจะขาดแต่พี่ชายของผมไม่อยู่ใกล้ ๆ ในเวลาที่ผมต้องการ
เสียงที่บอกให้ผมแยกตัวไปที่ห้องสมุดเหมือนดูออกว่า ผมกำลังมีปัญหา
เป็นเหมือนเสียงที่ดึงผมออกจากนรกที่ยืนอยู่แต่ผมไม่ทันเฉลียวใจเลยว่า
ผู้หวังดีที่พาผมออกไปนั้นจะคนที่ฉุดผมให้ตกนรกอย่างแท้จริงในเวลาต่อมา
(4)
ดวงตาสีฟ้าที่คมเหมือนเหยี่ยวและความเป็นไฮอัลฟ่าของคนคนนั้น
ทำให้ผมอดหวาดระแวงไม่ได้และในที่สุด ความหวาดหวั่นของผมก็เป็นจริง
เมื่อเราอยู่กันตามลำพังในห้องหนังสือของเขาจากผู้ช่วยเหลือกลับเป็นผู้คุกคาม
ผมคิดอะไรไม่ออกนอกจากต้องหนี และต่อสู้ดิ้นรนให้พ้นจากเขาให้ได้
“เธอเป็นโอเมก้าเธอจะฝืนธรรมชาติของตัวเองไปทำไม”
เสียงของคนที่ฉุดรั้งผมเอาไว้ดังอยู่ข้างหูสนเท่ห์ และเหยียดหยามในคราวเดียวกัน
ผมไม่หยุดขัดขืนแม้ว่าข้อมือทั้งสองข้างที่เขายึดไว้เจ็บร้าวเหมือนจะหักให้ได้
ผมจ้องหน้าของเขาตอบไม่พยายามปิดบังความเกลียดชังและต่อต้าน
“ผมไม่ได้ฝืนธรรมชาติของตัวเองแต่ผมไม่ยอมทำตามความต้องการของคุณ”
ผมยังจำสีหน้าของเขาที่มองกลับมาได้ดีเป็นสีหน้าอัลฟ่าที่ไม่เคยถูกโอเมก้าตอบโต้
แต่รอยยิ้มที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมาของเขาส่งความหนาวยะเยือกลงมาตามสันหลัง
เขาปล่อยมือแต่ไม่ได้หมายความว่าเขาปล่อยผมให้เป็นอิสระ
สภาพร่างกายที่กำลังเปลี่ยนแปลงกับการจู่โจมที่ผมคาดไม่ถึงจากกรงเล็บ
ที่สร้างบาดแผลลึกที่อกทำให้ผมเสียเลือดมากจนหมดแรงตอบโต้หรือขัดขืน
ผมไม่สามารถร้องขอความช่วยเหลือได้เพราะนั่นจะเรียกอัลฟ่าคนอื่นเข้ามาสมทบ
ผมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปล่อยให้เขาทำในสิ่งที่เขาต้องการจากตัวของผม
ผมไม่ได้อยากมองสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวเองหรือหน้าของคนที่กระทำกับตัวเอง
ผมไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้นแต่ผมยอมให้เขาทำเครื่องหมายแสดงความเป็นเจ้าของไม่ได้
ผมมองทุกความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นแต่ไม่รู้ว่าทำไมทุกอย่างถึงพร่าเลือนไปหมดจนแทบไม่เห็น
เป็นครั้งแรกที่ผมเกลียดความเป็นโอเมก้าของตัวเองอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
แม้จะรู้อยู่แก่ใจความผมไม่ผิดที่ผมเป็นโอเมก้า แต่อัลฟ่าคนนั้นต่างหากที่ผิด
แต่การโทษตัวเองอาจเป็นทางออกที่ง่ายที่สุดเมื่ออัลฟ่าไม่มีวันผิดมากกว่าโอเมก้าไปได้
ผมไม่รู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยาวนานสักเท่าใดก่อนที่ทุกอย่างจะจบลง
ผมจำอะไรไม่ได้สติสุดท้ายที่หลงเหลือสูญหายไปโดยที่ผมเองก็ไม่รู้ตัว
เสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราดของทิมและกลิ่นประจำตัวของเขาคือสิ่งสุดท้ายที่ผมรับรู้
ก่อนที่จะฟื้นคืนสติในเตียงของโรงพยาบาลบาดแผลที่อกของผมยังอยู่
ฝันร้ายที่เกิดขึ้นตามหลอกหลอนผมทั้งยามหลับและยามตื่นเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น
(5)
หลังจากเหตุการณ์วันนั้นทิมกับเฮคเตอร์แทบจะเข้าหน้ากันไม่ติด
ทิมมองผมด้วยสายตารู้สึกผิด ส่วนผมกับเฮคเตอร์ไม่คุยกันอีกนับแต่นั้น
พ่อกับแม่ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผมแม้แต่คำเดียว
นั่นเป็นสิ่งที่ผมอยากจะขอบคุณพวกท่านที่ไม่รื้อฟื้นมันขึ้นมา
และกีเดี้ยนก็ยังเป็นพี่ชายคนเดิมที่ยังปฏิบัติกับผมเหมือนเดิม
แม้ว่าระยะหลังเป็นต้นมาเขาดูจะหวงและห่วงผมมากกว่าเดิมก็ตาม
ผมใช้เวลาไปพอสมควรกว่าที่ชีวิตของผมจะกลับมาเข้าที่เข้าทางอีกครั้ง
ถ้าหากผมไม่ยอมก้าวต่อไปข้างหน้าผมก็จะไม่มีวันชนะมันได้อีกเลย
หลังจาก PTSD หรือ อาการเครียดหลังผ่านเหตุการณ์ร้ายแรงผ่านพ้นไป
อาการฝันร้ายยังมีอยู่บ้างอาการหวาดระแวงอัลฟ่าเบาบางจนเกือบเป็นปกติ
ผมเริ่มใช้ยากดฮอร์โมนของตัวเองไม่ให้เกิดช่วงฮีท หาทางกลบกลิ่นของตัวเอง
ผมรู้ว่า สิ่งเหล่านี้จะส่งผลต่อสุขภาพของผมในระยะยาว หากใช้นานเกินไป
แต่ผมจำเป็นต้องเลือกระหว่างความมั่นทางทางจิตใจกับทางร่างกายของตัวเอง
อาจารย์ที่ปรึกษาของผมอย่าง ดร. เวสต์กรุณากับผมอย่างยิ่ง
ในการให้ความช่วยเหลือทุกอย่างให้ผมกลับมาเรียนได้อย่างปกติที่สุด
อัลเฟรด คอร์ตนีย์ เพื่อนสมัยเด็กและเป็นแฟลตเมทของผมมาตลอด
อดทนกับผมโดยไม่มีขีดจำกัด เขารื่นเริงได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
เขากับกีเดี้ยนดึงผมให้ออกไปเจอโลกภายนอก และมีเริ่มความสุขกับมันอีกครั้ง
พวกเขาทำให้ผมเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น จนผมไม่รู้จะขอบคุณอย่างไรถึงจะพอ
ส่วนเดียน่า ทเวธส์ที่ปรึกษากฎหมายของเรา และเป็นเพื่อนรุ่นพี่ของทิม
เป็นอัลฟ่าหญิงและเป็นอัลฟ่าไม่กี่คนที่ผมไว้วางใจและดีกับผมมากว่าใคร
เราแบ่งปันความผิดหวังร่วมกันที่ไม่อาจทำอะไรในทางคดีที่ผมจะเสียมากกว่าได้
แต่อย่างน้อยที่สุด ผมก็ได้รับรู้ว่า ยังมีอัลฟ่าบางคนที่พร้อมยอมรับโอเมก้าอย่างเท่าเทียม
(6)
หลังกลับมาได้ ผมเรียนจบแพทย์ภายในระยะเวลาที่กำหนด และได้เกียรตินิยม
การเรียนจบไม่ใช่แค่ความสำเร็จที่จะต่อยอดไปในการงานที่ทำเพียงอย่างเดียว
แต่มันหมายถึงชัยชนะที่ผมมีต่อประสบการณ์เลวร้ายที่ผมเคยเผชิญในอดีตด้วย
หลังจากที่ผมทำงานในโรงพยาบาลได้ระยะหนึ่งก็เรียนต่อเฉพาะทางด้านนิติเวชศาสตร์
ซึ่งเป็นสาขาที่มีคนน้อยที่สุดในสหราชอาณาจักรจนเรียกได้ว่าเป็นสาขาขาดแคลน
การเป็นแพทย์นิติเวชซึ่งได้พบเจอกับคนในจำนวนจำกัดเป็นงานที่ลงตัวกับผมที่สุด
เป็นงานที่ทำให้เสียงของผมมีความหมาย ทั้งกับคนตายที่เขาให้ปากคำเองไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น บรรดาอัลฟ่าที่จำเป็นต้องยอมรับ และต้องฟังรายงานการชันสูตรของผม
(7)
ปัจจุบัน ผมไม่มีปัญหาในการทำงานกับเพื่อนที่เป็นอัลฟ่าซึ่งคุ้นเคยกันอยู่แต่ก่อน
แต่ยังคงมีปัญหากับคนแปลกหน้า และพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับอัลฟ่า
ผมรู้ทฤษฎีทางจิตวิทยาทุกอย่างดี และรู้ว่าตัวเองเป็นอะไร แต่ก็ยากที่จะควบคุมได้
ผมค่อย ๆ เลิกใช้ยากดฮอร์โมน แล้วเข้าสู่วงจรช่วงฮีทตามธรรมชาติ
ถึงช่วงเวลาดังกล่าวจะผิดเพี้ยนไปบ้างด้วยผลจากการใช้ยามานานก็ตาม
เหลือเพียงแค่พยายามหลีกเลี่ยงที่จะพบเจออัลฟ่าแปลกหน้าโดยไม่จำเป็น
ผมรู้ว่าตัวเองเฉยชากับคนอื่นมากขึ้นและไม่เป็นมิตรกับคนที่เพิ่งรู้จักมากนัก
เรื่องดังกล่าวเป็นปัญหาและไม่เป็นปัญหากับผมในเวลาเดียวกัน
เพราะในบางครั้งมันทำให้ผมรู้สึกเก้อเขินเวลาที่อยากจะเป็นมิตรกับคนอื่นบ้าง
สิ่งที่ผมคิดเกี่ยวกับตัวเองในเวลานั้นคือ ผมคงเป็นโสดและอยู่คนเดียวไปตลอดชีวิต
ความคิดนั้นอยู่กับผมมาตลอดจนกระทั่งผมได้พบเขา
คนที่ทำให้ผมรู้ว่า‘คู่แท้’ มีอยู่จริงบนโลกใบนี้
ไมเคิล เฟย์... สารวัตรจากสก็อตแลนด์ยาร์ดคนนั้น
(8)
ผมรู้ว่าเขาเป็นคู่แท้มาก่อนที่จะพบกันในคดีที่เขามาขอความช่วยเหลือ
แต่เขาไม่เคยรู้ว่าผมเป็นใคร และเราไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน
กลิ่นอายของกลิ่นประจำตัวของเขาที่ผมได้สัมผัสในครั้งแรกที่ร้านหนังสือ
แม้ว่าเราจะไม่เคยพบหน้าบอกผมว่า เขาเป็นคนอบอุ่นเหมือนแสงแดด
แม้ว่าเราจะคลาดกัน เพราะเขามีคนที่เขารัก ซึ่งผมไม่อาจแย่งเขาจากเธอได้
เพราะภรรยาของเขาเป็นผู้หญิงที่ฉลาด อ่อนหวาน และมีความสุขที่สุด
รอยยิ้มของเธอน้ำเสียงของเธอในเวลาที่เอ่ยถึงเขาสะท้อนให้รู้ว่าเขาเป็นคนเช่นไร
ผมบอกตัวเองในเวลานั้นว่า ไม่เป็นไร แค่ได้รู้ว่าเป็นอัลฟ่าที่ดีและมีอยู่จริงก็พอแล้ว
แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเพราะผมได้พบเขาในวันที่ผมไม่พร้อมจะพบใครมากที่สุด
(9)
เราพูดคุยกันผ่านระบบสื่อสารด้วยความเชื่อถือทั้งที่เราไม่รู้จักและร้องขอ ไม่ใช่สั่ง
เขาทำให้ผมอยากช่วยเขาอยากพบเจอเขา และทำในสิ่งที่ผมไม่เคยทำมาก่อนเมื่อพบเขา
ผมเคยสงสัยว่าหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและฝากรอยแผลไว้กับผมนั้นผ่านไป
ผมจะยังกลับมามีความสัมพันธ์กับใครสักคนโดยไม่หวาดกลัวได้อีกหรือไม่
และเขาเป็นคนที่ทำให้ผมรู้ว่าผมยังมีความรู้สึก มีความอ่อนไหวไม่ต่างจากคนอื่น
ความอ่อนโยนความใส่ใจของเขา และการที่เขายอมหยุด ไม่ทำในสิ่งที่ผมไม่ต้องการ
เป็นเหมือนกุญแจที่ไขโซ่ที่ล่ามกรงที่กักขังผมเอาไว้นานนับปีให้ผมได้เป็นอิสระอีกครั้ง
ความเคารพในกันและกันมิตรภาพที่เขามอบให้ และความเชื่อถือที่เขามีให้ผม
เป็นสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกถึงคุณค่าของตัวอย่างและเชื่อว่าสิ่งที่ผมทำนั้นถูกต้องแล้ว
แม้ว่าในบางครั้งฝันร้ายของผมจะยังคงตามมาหลอกหลอน
แต่การได้ตื่นขึ้นมาโดยมีใครบางคนอยู่เคียงข้างพร้อมคำปลอบใจ
ผมเชื่อเหลือเกินว่าในวันหนึ่ง ฝันร้ายที่เคยเกิดขึ้นจะทำร้ายผมไม่ได้อีกแล้ว
ตามมาอ่านทุกแพลตฟอร์มค่ะ 5555555555555555555