(15)
เรา... ดร. โทเบียส ฟอล์กเนอร์และผม... ต่างโชคดีที่มีโอกาสได้พบกันเป็นครั้งที่สอง หลังจากต่างคนต่างเลือกละทิ้งโอกาสที่เราจะได้พบกับคู่แท้ไปแล้วเมื่อร่วมสิบปีก่อน แต่ท้ายที่สุดแล้ว กลับมีเหตุให้เราโคจรกลับมาพบกันอย่างไม่คาดคิดในช่วงเวลาที่เราต่างไม่มีใคร
ถ้าหากวัดจากมาตรฐานของคนอื่น หัวข้อสนทนาในคืนสุดท้ายของปีเก่าสำหรับคนที่เริ่มเรียนรู้กันตกมาตรฐานโดยสิ้นเชิง ผมไม่ได้เล่าเรื่องของตัวเองให้เขาฟังมากนัก เขาเองก็เช่นกัน เราคุยกันเรื่องงาน ลมฟ้าอากาศ ไปจนถึงเรื่องสัพเพเหระอื่น ๆ ที่ไม่น่าเอามาคุยกันบนโต๊ะอาหารได้ แต่นั่นก็ยังดีกว่าต่างคนต่างเงียบด้วยความอึดอัดอย่างที่เคยเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง เมื่อใครก็ตามพยายามจัดให้ผมได้รู้จักกับโอเมก้าหรือเบต้าสาวสักคน และถูกเธอถามเรื่องส่วนตัวที่ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองมีอะไรเป็นพิเศษกว่าคนอื่น และปฏิเสธความหวังดีของเพื่อน ๆ ไปหลังจากผมใช้ความพยายามในครั้งที่ห้าหรือหก แหวนแต่งงานที่ผมสวมอยู่ก็อาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่ง
ดร. ฟอล์กเนอร์ทำให้ผมคิดถึงแมรี่ ผมไม่ได้เปรียบเทียบเธอกับเขา แต่เขาทำให้ผมรู้สึกสบายใจที่ไม่ต้องพูดถึงเรื่องของตัวเองที่อึดอัดใจไม่อยากตอบใครมากนัก มันไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดีอะไร แค่ผมไม่อยากตอบเท่านั้นเอง ก่อนหน้าที่จะได้พบเขา แมรี่เป็นคนหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกแบบนั้น และทำให้ผมรู้สึกว่า อยากเจอคุยกับเธออีก อยากพบเธอบ่อย ๆ และอยากใช้ขีวิตกับเธออย่างจริงจังเสียที เขาทำให้ผมรู้สึกแบบนั้น
กับ ดร. ฟอล์กเนอร์ ผมยังไม่ได้คิดไปไกลนัก เพราะเราเพิ่งจะเริ่มต้น... อย่างน้อยที่สุด ผมเองก็เป็นฝ่ายที่อยากเริ่มต้นทำความรู้จักกับเขาให้มากขึ้น
การได้ใช้เวลากับเขาไม่ว่าในช่วงเวลางานหรือช่วงเวลาที่เป็นส่วนตัว แม้ไม่นานนัก แต่ก็มากพอที่ผมจะทำความรู้จักกับตัวตนของเขา ไม่ว่าใครจะพูดว่าเขาเป็นอย่างไร ผมยืนยันกับตัวเองได้ว่า เขาไม่ได้เย็นชา ขวางโลก และเกลียดมนุษย์โดยเฉพาะบรรดาอัลฟ่าชายทั้งหลายอย่างที่ใครเข้าใจ ต่อให้เขาเกลียด เขาก็มีเหตุผลสำหรับการพาตัวเองออกห่างจากคนอื่นที่เขาไม่ไว้ใจ
เขาเป็นคนพิเศษ... ผมไม่สนใจว่า เขาจะมีเพศรองเป็นอะไร ไม่ว่าจะเป็นโอเมก้า เบต้า หรือแม้กระทั่งอัลฟ่าเหมือนกันกับผม และต่อให้เขาไม่ใช่คู่แท้ ผมก็ยังอยากรู้จักเขา อยากเป็นมิตรกับเขาอยู่ดี และนั่นทำให้ผมดีใจที่ได้ยินจากปากของเขาว่า เขาดีใจที่ได้พบกับผมเหมือนกัน
ความไว้วางใจเป็นสิ่งมีค่าและเปราะบาง การได้รับความไว้วางใจจากเขาจึงมีความหมายมากเหลือเกิน การรักษามันไว้อาจไม่ใช่เรื่องง่ายนัก แต่ก็ไม่เกินความพยายาม
“สารวัตรครับ นั่นเสียงสไกป์คุณหรือเปล่า” ดร. ฟอล์กเนอร์ที่กำลังเช็ดโต๊ะอาหารหลังจากมื้อค่ำของเราเสร็จสิ้น ในขณะที่ผมเป็นคนอาสาล้างจานบอก ส่งผ้าเช็ดมือให้ผม “เดี๋ยวผมล้างต่อเอง”
เขามองหน้าผม ริมฝีปากขยับนิด ๆ เหมือนอยากหัวเราะที่ได้เห็นสีหน้าของผมเมื่อรู้ว่าต้องรับวิดีโอคอลล์ แต่ในขณะเดียวกัน ผมเห็นบางอย่างในสีหน้าของเขาที่กำลังบอกผมว่า คงไม่มีใครขโมยวันหยุดไปจากผมหรอก และเขาทายถูก
“สุขสันต์วันปีใหม่ล่วงหน้าฮะ ลุงไมเคิล”
เสียงแจ่มใสของโลเวลล์ หลานชายตัวดีของผมดังผ่านลำโพงโทรศัพท์มือถือออกมาจนผมรีบกดปรับเสียงลงแทบไม่ทัน แต่ก็ช้าเกินไป เมื่อเสียงของเจ้าสุนัขล่าเนื้อตัวน้อยนั่นทำให้ชิฟท์เตอร์แมวที่กำลังล้างจานแทนผมอยู่ถึงกับหันมาดู
“สวัสดีปีใหม่” ผมยิ้มให้หลาน ใช้ปลายนิ้วชี้แตะที่ริมฝีปากเตือนแกให้เบาเสียง ก่อนที่แกจะตะโกนเรียกแฟนนี่ น้องสาวของผมให้มาทักทาย และผมก็อดขันไม่ได้เมื่อเธอโบกมือให้ผม พร้อมทำมือไม้กำชับว่า อย่าคุยนานเกินห้านาที เพราะใกล้ถึงเวลานอนที่ตกลงกันเอาไว้แล้ว คือ ก่อนสามทุ่ม
“นี่ไม่ใช่บ้านลุงนี่นา...” แกทำตาโต ความช่างสังเกตของโลเวลล์ทำให้แฟนนี่ที่แอบอยู่ด้านหลังชิ้นิ้วมาทางผมบอกว่า ‘แกเหมือนพี่อย่างกับอะไรดีแน่ะ’ พร้อมกับกลั้นหัวเราะ
“ลุงอยู่ที่ทำงานเหรอฮะ แต่ไม่เหมือนเลยนี่นา” เสียงแกยังเจื้อยแจ้วผ่านหน้าจอสไกป์มา แต่เบาลงกว่าเดิมมาก
“ลุงอยู่ที่บ้านเพื่อน มาคุยเรื่องงาน แล้วก็ซื้ออะไรมากินด้วยกันนิดหน่อย”
ผมตอบหลาน แต่สิ่งที่แกเอ่ยในเวลาต่อมา กลับเป็นการเปิดการสนทนากับคนอีกคนที่ไม่ใช่ผม
“สวัสดีฮะ ผมโลเวลล์ คุณเป็นเพื่อนลุงไมเคิลใช่มั้ยฮะ”
ตอนแรกผมไม่ทันสังเกตว่า ในขณะที่ผมคุยกับหลานชายผ่านวิดีโอคอลล์ ‘เพื่อน’ ที่ผมพูดถึงก็ถือขวดไวน์แดงที่เหลืออยู่กับแก้วเดินผ่านด้านหลังผมไปอย่างเงียบเชียบเหมือนแมวเดิน แต่เสียงทักของโลเวลล์ที่ตาไวอย่างเหลือเชื่อทำให้เจ้าของบ้านชะงักฝีเท้าลง และทำให้ผมเพิ่งรู้ว่า เขาอยู่ด้านหลัง
หลานชายของผมโบกมือทักทายไปถึงคนที่ยังยืนงงว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก่อนที่ผมจะได้พูดอะไรกับหลานหรือเขา ดร. ฟอล์กเนอร์ก็วางแก้วกับขวดไวน์ลงบนชั้นที่ว่างอยู่ และเดินเข้ามองจอโทรศัพท์มือถือจากด้านหลังของผม
“ใช่แล้ว... สวัสดี โลเวลล์... ผม หมอโทบี้ ฟอล์กเนอร์ เป็นเพื่อนร่วมงานของสารวัตรเฟย์”
โลเวลล์นิ่งไปชั่วอึดใจ ตาโตสีฟ้าใสของเขากะพริบปริบ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนดวงตาคู่นั้นเบิกกว้างด้วยความพิศวง เมื่อได้พบความจริงบางอย่างที่เขาไม่คาดคิด หลังจากได้ยินเสียงของแพทย์นิติเวช
“ว้าว คุณเป็นผู้ชายนี่” ดวงตาของแกเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น “คุณสวยจัง”
สำหรับเด็กอายุเก้าขวบอย่างโลเวลล์ นั่นคือคำชมที่จริงใจที่สุดตามความคิดและความรู้สึกของแก แต่สำหรับคนที่ได้รับคำชม ผมไม่แน่ใจนักว่า เขาจะรู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่ได้ยิน
“ขอบใจ” คำตอบรับของโทเบียส ฟอล์กเนอร์เจือด้วยเสียงหัวเราะ ใบหน้าของเขาที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์ระหว่างการวิดีโอคอลล์ในเฟรมเดียวกับผมเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาระหว่างทักทายโลเวลล์เป็นรอยยิ้มอีกแบบหนึ่งซึ่งผมเพิ่งเคยเห็นจากเขาเป็นครั้งแรก คล้ายกับรอยยิ้มที่เขามีให้ ดร. ซาแมนธา เคน ซึ่งเป็นแพทย์ประจำบ้านของภาควิชา แต่น่ารักกว่านั้นหลายเท่า
“ยินดีที่ได้รู้จักนะ โลเวลล์”
ผมรู้สึกได้ว่า คางของคนที่เข้ามาสมทบจากทางด้านหลังเกยอยู่กับบ่าของผม ท่าทีแบบแมวที่กำลังสบายใจและอารมณ์ดีพอที่จะคลอเคลียกับสิ่งมีชีวิตอื่นที่อยู่ด้วยกันในเวลานั้นได้ทำให้ผมคลายใจ
อาการนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ก่อนหน้านี้ของเขาเกิดจากความขัดเขินมากกว่าขุ่นเคือง เขารับรู้และเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นดี และผมต้องขอบคุณเขาเป็นอย่างยิ่งที่ถนอมความรู้สึกของหลานชายของผมที่ทักทายเขาออกไปอย่างตรงไปตรงมาอย่างนั้น
โลเวลล์ไม่ได้ทำอะไรผิด เพราะแกเองยังไม่รู้ปัญหาของผู้ใหญ่ที่มีเพศรอง อย่างไรก็ตาม ผมต้องหาเวลาคุยกับแม่ของแกสักวัน ให้แนะนำเรื่องการแสดงความเป็นมิตรด้วยความระมัดระวังให้มากขึ้นอีกสักหน่อย แม้จะเชื่อใจน้องสาวว่า เธอรู้ว่าควรจะบอกอะไรกับลูกบ้างก็ตาม
ก่อนที่จะไปถึงเรื่องนั้น ณ ตอนนี้ ผมถูกหลานทิ้งไปหาคนใหม่ที่น่าสนใจยิ่งกว่าเรียบร้อยแล้ว และมีแนวโน้มที่ผมจะต้องตอบคำถามของคนในครอบครัว ที่จะโทรศัพท์มาถามผมถึงเรื่องวันนี้กันอย่างพร้อมเพรียงแน่ ๆ
“คุณทำงานกับลุงไมเคิล แสดงว่าคุณเป็นหมอนิติเวชใช่ไหมฮะ” โลเวลล์ชวนคุยอย่างคุ้นเคย แต่ดูเหมือนว่า คนที่อยู่หลังผมจะไม่มีทีท่าว่ารำคาญใจ
“ใช่... เราทำคดีด้วยกัน สารวัตรเฟย์เพิ่งปิดคดีหนึ่งได้”
เจ้าหนูร้องว้าวอีกรอบ และถ้าอยู่ในร่างสุนัขก็คงส่ายก้นไปมาจนหางแทบหลุดหรือไม่ก็วิ่งวนไปรอบตัว ดร. ฟอล์กเนอร์ด้วยความตื่นเต้นที่ได้เจอคนถูกใจเข้าให้
“ตอนที่ลุงไปหาหลานกับแม่ที่วิทบี้ ลุงจะเล่าให้ฟัง โอเคมั้ย” ผมตัดบทก่อนที่โลเวลล์จะซักยาวไปกว่านั้น “เรามีข้อตกลงเรื่องการเข้านอนว่ายังไง จำได้หรือเปล่า และตอนนี้กี่โมงแล้ว”
หลานชายผมทำหน้าสลดนิดหน่อย แต่ไม่กี่อึดใจแกก็กลับมายิ้มได้เหมือนเดิม เมื่อผมยืนยันว่า จะเล่าเรื่องคดีที่ผมทำให้แกฟังทั้งคดีเก่าและคดีล่าสุดที่เพิ่งปิดไปวันนี้
“ราตรีสวัสดิ์ฮะ ลุงไมเคิล” แกโบกมือให้ผม และฉีกยิ้มกว้างให้ ดร. ฟอล์กเนอร์ “ราตรีสวัสดิ์ครับ คุณหมอ”
ดร. ฟอล์กเนอร์ตอบรับแกด้วยรอยยิ้ม ผมโบกมือตอบ “ฝันดี โลเวลล์ ลุงรักหลานนะ”
ถ้าหากอยู่ด้วยกัน โลเวลล์คงกระโจนใส่ผมจนล้มกลิ้ง แต่แกทำได้เพียงแค่ยิ้มจนตาหยี ส่งโทรศัพท์มือถือคืนให้แฟนนี่ เธอเอ่ยลา ดร. ฟอล์กเนอร์กับผมก่อนปิดแอพพลิเคชั่นวิดีโอคอลล์ และพาลูกชายไปนอน
ผมกดโทรศัพท์มือถือเข้าโหมดพักหน้าจอ และเก็บเข้าในกระเป๋ากางเกง ดร. ฟอล์กเนอร์ผละจากผมไปรินไวน์ที่เหลือใส่แก้วสองใบที่เตรียมมา แล้วส่งให้ผมใบหนึ่ง
“หลานชายสารวัตรเป็นเด็กน่ารักนะครับ” เขาออกปาก และคำพูดนั้นไม่ได้เสแสร้ง “ช่างสังเกตมากทีเดียว”
“ขอบคุณครับ คุณหมอ” ผมตอบ ปฏิเสธไม่ได้ว่าคำชมนั้นทำให้ผมแอบปลื้มแทนหลานอยู่ในใจ “ขอโทษด้วย ถ้าแกทำให้รำคาญ”
“ไม่เลยครับ สารวัตรไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นเลย” แพทย์นิติเวชส่ายหน้า แล้วเอียงศีรษะมองผม “ถ้าไม่บอกว่าเป็นหลาน ผมคิดว่าแกเป็นลูกชายสารวัตรด้วยซ้ำ เพราะมีหลายอย่างที่เหมือนกันมากจริง ๆ”
“ผมก็อยากรับแกเป็นลูกของผมเหมือนกัน” ผมสารภาพกับเขาตามตรง “แฟนนี่เลี้ยงโลเวลล์ตัวคนเดียวมาตลอด ก่อนที่พ่อของแกจะตาย โลเวลล์ก็ติดผมกับน้องชายของผมมากกว่าพ่อแท้ ๆ ที่โผล่หน้ามาให้เห็นปีละไม่กี่หนเสียอีก”
ทั้งที่ตั้งใจพูดแค่ประโยคแรก แต่ผมก็เผลอพูดเรื่องในครอบครัวและแสดงความไม่พอใจที่ผมมีต่ออดีตสามีของน้องสาวของผมออกไปจนได้
“ขอโทษที ผมคงพูดมากเกินไป”
“ไม่หรอกครับ” ดร. ฟอล์กเนอร์แตะแขนผม “น้องสาวกับหลานชายสารวัตรโชคดีที่อยู่ในครอบครัวที่เอาใจใส่”
เหมือนคำปลอบใจ แต่มีสำเนียงบางอย่างที่บอกผมว่า เขากำลังคิดถึงเรื่องของตัวเองอยู่เหมือนกัน ในขณะที่ผมจำเป็นต้องอยู่ลอนดอนในช่วงเวลาที่ควรกลับไปหาครอบครัว และมีคนที่คิดถึงอยากให้ผมกลับไปติดต่อมาหา แต่เขาเลือกจะหลบเลี่ยงการสังสรรค์กับคนในครอบครัวทั้งที่ควรอยู่กันพร้อมหน้า
“ระหว่างมื้อค่ำ คุณหมอบอกว่าอยากกลับไปเที่ยววิทบี้อีกสักครั้ง” ผมวางมือลงเหนือมือของเขา “ผมลางานเอาไว้ช่วงกลางเดือนมกรา เพราะสัญญากับโลเวลล์ไว้ว่าจะไปหา ถ้าช่วงนั้นคุณหมอว่าง ไปด้วยกันกับผมไหม”
เขานิ่งคิด ท่าทีเหมือนอยากไปมากกว่าไม่อยากไป แต่ยังลังเลอยู่เล็กน้อย
“ไปดูเดอะแฮนด์ออฟกลอรี่ที่พิพิธภัณฑ์กันว่า มันไม่ได้แอบหนีมาลอนดอน แล้วมายุ่งกับคดีของเรา”
ข้อเสนอนั้นของผมทำให้เขาหัวเราะพรืด ดีที่ไม่สำลัก แต่ก็เกือบทำไวน์กระฉอกออกจากแก้ว
“ผมได้ยินว่าคุณหมอไม่ได้ออกไปเที่ยวไกล ๆ มานานแล้ว ก็เลยชวนดู ยังไม่ต้องตัดสินใจตอนนี้ก็ได้” ผมหัวเราะ ยื่นมือออกไปเช็ดไวน์ที่เขาใช้หลังมือเช็ดออกไม่หมดที่ข้างริมฝีปาก “เสียดายที่เราไม่ได้มือตากแห้งที่คลาร่า พ็อตต์ใช้อำพรางว่าสามีของเธอถูกมือผีนั่นบีบคอจนตายมา แต่ผมคิดว่าไม่เป็นไร เพราะมิสซิสพ็อตต์ให้ความร่วมมือกับเราอย่างดี และยังมีหลักฐานอีกหลายอย่างที่มีน้ำหนักพอที่จะใช้ในการดำเนินคดี แล้วก็รื้อฟื้นคดีเก่าที่อาจเกี่ยวข้องกับเจมส์ พ็อตต์กับพวกได้”
“มันอาจจะเดินทางไปหาพรรคพวกที่วิทบี้ก็ได้ ใครจะไปรู้” ดร. ฟอล์กเนอร์เป็นฝ่ายทำให้ผมหัวเราะกับมุกหน้าตายของเขาที่ย้อนพูดถึงเดอะแฮนด์ออฟกลอรี่ที่ผมกล่าวถึงบ้าง
“ถ้าช่วงกลางเดือนหน้า ผมลาได้ จะบอกนะครับ... ผมอยากกลับไปที่วิทบี้จริง ๆ ผมอยากรู้ว่า ร้านหนังสือมือสองที่เชิร์ชสตรีทที่ผมเคยไปร้านนั้นยังอยู่หรือเปล่า”
ถึงไม่เอ่ยชื่อ แต่ผมรู้ว่า ร้านหนังสือนั้น ‘เคย’ เป็นของใคร... เราต่างรู้กันดี
“ยังอยู่ครับ คุณหมอ แต่บรรยากาศอาจต่างไปจากเดิมนิดหน่อย” ผมบอก “ลอว์เรนซ์ น้องชายของแมรี่เป็นคนรับช่วงกิจการของครอบครัวต่อ ชั้นหนังสือที่สูงขึ้นไปถึงเพดานเมื่อสิบกว่าปีก่อน ก็ยังเป็นจุดเด่นของร้านเหมือนเดิม”
แพทย์นิติเวชพยักหน้าว่า เขาจำมุมนั้นของร้านได้ดี “ผมชอบที่ร้านมีบันไดเลื่อนได้ แล้วก็มีสารานุกรมกับหนังสือแปลก ๆ เยอะมาก แต่ที่ผมประทับใจที่สุด คือ เจ้าของร้าน เธอเป็นนักอ่านตัวจริง แล้วก็ขายหนังสือเก่งมากด้วยสิครับ”
สิ่งที่เขาพูดเกี่ยวกับเธอถูกต้องทุกประการ นั่นคือแมรี่ แลงก์เดล เฟย์ในความทรงจำตลอดยี่สิบกว่าปีของผม แต่ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ในวันหนึ่ง หลังจากที่เธอจากไปแล้ว ผมจะได้พูดคุยเรื่องของเธอกับใครคนหนึ่งที่ทำให้ผมนึกถึงชีวิตคู่กับการเปิดใจรับคนสักคนเข้ามาในชีวิตอีกครั้ง โดยที่เขาคนนั้นกำลังเอ่ยถึงเธอด้วยความประทับใจด้วยเช่นกัน
“แมรี่เคยเล่าให้ผมฟังว่า มีคนเคยซื้อหนังสือเกี่ยวกับตำนานภูตผีของอังกฤษกับไอร์แลนด์ รวมถึงหนังสือเกี่ยวกับพวกพืชสมุนไพรไปหลายเล่ม”
ใบหน้าของ ดร. ฟอล์กเนอร์ระบายด้วยรอยยิ้ม “คงจะเป็นผมเอง ถ้าอยู่ต่อนานอีกสักหน่อย ผมอาจจะซื้อสารานุกรมบริททานิกาทั้งชุดกลับลอนดอนเลยก็ได้”
และถ้าเขาอยู่ที่ร้านต่อไปนานกว่านั้น เขากับผมอาจได้พบกัน... ผมคิดไว้ในใจ โดยไม่พูดออกไป
“แมรี่ชอบคุณหมอมากนะครับ” ผมบอก “เธอพูดถึงลูกค้าที่คุยกันถูกคอที่สุดตั้งแต่พบมาไม่หยุดเลย”
“ผมก็ชอบเธอครับ” ดร. ฟอล์กเนอร์สบตากับผม “ถ้าผมไม่ใช่โอเมก้า และเธอยังโสด ผมจะขอเดทกับเธอแน่ ๆ”
“ถ้าเป็นแบบนั้น เราคงต้องเป็นคู่แข่งกันแล้ว คุณหมอ... คนอื่นผมไม่กลัว แต่ถ้าเป็นคุณ ผมคงต้องทำงานหนัก”
โทเบียส ฟอล์กเนอร์ยิ้มตอบกลับมา หัวเราะเบา ๆ แกว่งไวน์ที่เหลืออยู่ในแก้วเล็กน้อย ก่อนจะดื่มจนหมด ในขณะที่ผมวางแก้วที่มีไวน์เหลืออยู่ไม่มากของตัวเองข้างแก้วเปล่าที่เขาวางบนตู้หนังสือใกล้ ๆ มือ
“ผมได้กลิ่นประจำตัวของคุณหมอในร้าน ดร. ฟอล์กเนอร์” ผมตัดสินใจพูดเรื่องนั้นกับเขา “คุณหมอทราบใช่ไหมว่า ผมอยู่ที่นั่น ถึงตอนนั้น คุณอาจไม่รู้ว่าเป็นใคร”
เขานิ่งเงียบ ก่อนพยักหน้าช้า ๆ แต่หนักแน่น ดวงตาสีเขียวของเขาไม่ละไปจากใบหน้าของผมยามที่เขาเอ่ยตอบ
"ผมรู้แล้วว่าเป็นสารวัตร แต่สารวัตรมีเธออยู่แล้ว"
เขาไม่ได้ขยายความ แต่ผมเข้าใจได้โดยที่เขาไม่จำเป็นต้องอธิบายเพิ่มเติมอีกว่า ด้วยเหตุผลนั้น เขาจึงเลือกที่จะเป็นฝ่ายจากมาโดยไม่บอกกล่าว และเก็บเรื่องที่ผมเป็นคู่แท้ของเขาเอาไว้กับตัวเอง แต่ในเวลานั้น เขาไม่ทันรู้ตัวว่า กลิ่นประจำตัวของเขาหลงเหลือให้ผมได้สัมผัส และรับรู้ว่า ผมมีคู่แท้ แต่ทว่าเขาได้จากแล้ว เมื่อพบว่าผมมีคู่ครองอยู่แล้ว
“แต่ผมเคยสงสัยอยู่เหมือนกันว่า ถ้าเราได้พบกัน และรู้ว่าต่างคนต่างเป็นคู่แท้ สารวัตรจะตัดสินใจแบบไหน”
“คุณหมอคิดว่าคำตอบของผมคืออะไร”
“สารวัตรจะเลือกเธอ”
คำตอบของเขาถูกต้อง และแทบไม่ใช้เวลาในการทบทวนคำตอบ
"แล้วถ้าผมเลือกคุณหมอ..."
"ถ้าสารวัตรทิ้งเธอ ผมจะไม่เลือกสารวัตร เราจะไม่มีวันได้พบกัน และผมคงเกลียดอัลฟ่ายิ่งกว่าที่เซอร์เอ็ดเวิร์ดและพี่ชายบางคนของผมทำให้ผมรู้สึกอย่างนั้น"
ไม่ว่าจะเลือกทางไหน ในเวลานั้น ต่อให้เป็นคู่แท้ เราก็จะไม่มีวันอยู่ด้วยกันได้อยู่ดี เพราะสิ่งที่เราต่างให้ความสำคัญที่สุดในเวลานั้น คือ เราทำร้ายผู้หญิงที่ปราศจากความผิดใด ๆ เลยอย่างแมรี่ไม่ได้ ที่สำคัญ ผมยังรักเธอ และเราสองไม่รู้จักกัน ดังนั้น ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างคู่แท้อย่างเราจึงจะเป็นไปตามสัญชาตญาณไม่ใช่ความรู้สึกนึกคิด และความรู้ผิดชอบใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งผมยอมให้เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นไม่ได้
"แต่ถ้าเราไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกเลยล่ะ..."
รอยยิ้มของเขาก็ยังคงอยู่เมื่อผมยื่นมือออกไปสัมผัสใบหน้าของเขา เขาสนองตอบผมด้วยการแนบแก้มลงกับฝ่ามือของผมที่ประคองใบหน้าของเขาเอาไว้ ยกมือขึ้นกุมมือผม แล้วประทับริมฝีปากลงที่กลางฝ่ามือข้างนั้น
"ผมอยู่กับสารวัตรตรงนี้แล้วไม่ใช่เหรอครับ"
คำตอบของเขาไม่ตรงคำถาม แต่ก็เป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุดสำหรับเราสองคนในเวลานี้
ใช่... ดร. โทเบียส ฟอล์กเนอร์ คู่แท้ของผมอยู่กับผมแล้ว ณ ที่นี่ เวลานี้ อยู่ในระยะที่มือของผมเอื้อมถึงเขา และใกล้ชิดกันมาพอที่ผมจะรับรู้รสของไวน์ที่หลงเหลืออยู่บนริมฝีปากของเจ้าของกลิ่นดอกเฮเธอร์ที่ตกค้างอยู่บนปกหนังสือเก่าที่ผมไม่คิดว่าจะได้พบอีกแล้วในชีวิต
------------------------------------------------------
ส่งท้ายยังไม่สว่าง แต่ผมงัวเงียตื่นขึ้นมาเพราะเสียงโทรศัพท์ ไม่ใช่ของผม แต่เป็นของเจ้าของเตียงที่นอนซุกอยู่ในผ้าห่ม เขาไม่ได้ฝันร้ายจนสะดุ้งตื่นอย่างในวันนั้นอีกแล้ว ไม่ได้กินเมลาโทนินให้ตัวเองหลับได้ และดูเหมือนว่า เขาจะหลับสนิทที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา หากว่าผมเข้าใจไม่ผิด
เสียงโทรศัพท์ของเขาและตัวของคนที่นอนอยู่ข้าง ๆ ยืนยันว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้เป็นเรื่องจริง แม้ผมจะรู้อยู่แก่ใจและจดจำทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างแจ่มชัดก็ตาม
ทุกสัมผัส ทุกการกระทำที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ไม่ได้เกิดจากสัญชาตญาณของอัลฟ่าและโอเมก้า ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเราต่างตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของฟีโรโมน หรือปฏิกิริยาแรกระหว่างคู่แท้ที่ธรรมชาติกำหนดเอาไว้แล้ว แต่เกิดขึ้นจากความเต็มใจและตั้งใจของเราโดยแท้
เราร่วมรัก แต่ไม่มีการล่วงล้ำ ไม่มีการน็อต ไม่มีการบอนด์หรือผูกพันธะใด ๆ ต่อกันทั้งสิ้น
ผมไม่คิดเร่งรัด ไม่ปรารถนาที่จะข่มขืนใจให้เขาทำในสิ่งที่เขาไม่ต้องการ เขาเผชิญกับสิ่งเลวร้ายมามากพอแล้ว และผมไม่อยากให้การเริ่มต้นใหม่เกิดขึ้นบนความทุกข์ของเขา
ผมไม่เคยคาดหวังไกลเกินไปกว่าเขาจะยอมฟังผม ยอมลดกำแพงให้ผมบ้าง แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ เป็นยิ่งกว่าความโชคดีของผมที่ได้โอกาสครั้งที่สองเสียอีก
เสียงโทรศัพท์ของเขาตัดไปรอบหนึ่ง ก่อนที่จะแผดดังขึ้นอีก
ผมสลัดศีรษะ ยันตัวลุกขึ้น และเอื้อมแขนข้ามตัวของแพทย์นิติเวชที่เริ่มขยับตัว และเพิ่งจะรู้สึกตัวตื่น
หน้าตาของเขาไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ที่ถูกปลุกตั้งแต่เช้ามืด เขาพึมพำขอบคุณและรับโทรศัพท์จากผม แล้วกดหน้าจอรับสาย ไปพร้อมกับควานหาแว่นตาที่ถูกถอดออกเมื่อคืนนี้ แล้ววางไว้ในที่ที่เขาเองก็ลืมไปแล้วว่าอยู่ไหน
เขาสวมแว่นตา เอื้อมมือไปเปิดลิ้นชัก เอาสมุดโน้ตกับปากกาออกมาจดข้อความที่ปลายสายบอก ซึ่งผมฟังการสนทนาของเขาเพียงไม่กี่คำก็บอกได้ทันทีว่า มีงานรับวันแรกของปีให้เขาทำแต่เช้าตรู่
ดร. ฟอล์กเนอร์วางสายไปแล้ว แต่ยังคงนั่งขัดสมาธินิ่งอยู่บนเตียง เสยผมยุ่งเหยิงขึ้นให้พ้นหน้าผากและตา ตั้งสติอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหันหน้ามาหาผมที่กึ่งนั่ง กึ่งนอนมองเขาเงียบ ๆ
“มีศพมาให้ผ่ารับปีใหม่สินะครับ”
เขาถอนใจหนัก ๆ แล้วพยักหน้าแทนคำตอบ ยืดตัวไล่ความง่วงออกไป หยิบเสื้อคลุมมาสวมก่อนลุกขึ้นจากเตียงแบบยังอาลัยอาวรณ์กับผ้าห่มนุ่มและอุ่นบนที่นอนอยู่เล็กน้อย
“ผมนัดเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานไว้ตอนแปดโมงเช้า คดีร้ายแรงพอดู เขาอยากรู้ผลให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้” แพทย์นิติเวชบอกผม พลางเก็บเอาบรรดาหมอนที่ถูกกวาดตกจากเตียงขึ้นมาไว้ที่เดิม “ขอโทษนะครับ ที่ทำให้พลอยตื่นเช้าไปด้วย ทั้งที่เป็นวันหยุดปีใหม่แท้ ๆ”
“คุณหมอพูดอย่างกับผมไม่ใช่ตำรวจที่ถูกเรียกไปที่เกิดเหตุไม่เป็นเวล่ำเวลาอย่างนั้นละ” ผมหัวเราะ แล้วลุกออกจากเตียงบ้าง แต่ไม่ทันที่จะได้เข้าไปใช้ห้องน้ำ หรือสวมเสื้อผ้า เสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้นบ้าง และลางสังหรณ์ของผมก็บอกว่า นั่นไม่น่าจะเป็นข่าวดี
เมื่อวางสายเรียบร้อยแล้ว ผมสรุปได้ทันทีว่า ลางสังหรณ์ของผมถูกต้อง
“ผมมีคดีที่จะต้องทำเหมือนกัน ดูเหมือนอาหารเช้าที่เราตั้งใจจะทำกินวันนี้ คงต้องขอบายไปมื้ออื่นแทนแล้ว”
“ต้องไปเลยหรือเปล่าครับ”
คราวนี้ ผมกลายเป็นฝ่ายต้องถอนใจเฮือกใหญ่บ้าง “ใช่ครับ ไปให้เร็วที่สุด ตอนแรกเราไม่คิดว่าจะต้องเรียกหน่วยอาชญากรรมพิเศษ แต่ไป ๆ มา ๆ พรรคพวกก็เกิดเปลี่ยนใจ เห็นว่ารับมือไม่ไหวแล้ว”
ผมขออนุญาตเขาใช้ห้องน้ำ อาบน้ำ แปรงฟันแบบลวก ๆ และสวมเสื้อผ้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วกวาดเอาโทรศัพท์มือถือกับกุญแจรถที่วางไว้บนโต๊ะ ตอนนี้ คนที่นึกว่าจะต้องรีบไปทำงานก่อนกลับเป็นคนยืนมองผมแทนที่ และเป็นฝ่ายเดินมาส่งผมที่หน้าประตูบ้าน
“ถ้าไม่รังเกียจแซนด์วิชโง่ ๆ ที่ผมพอทำได้ ผมจะทำเผื่อ ไว้เจอกันที่ห้องชันสูตรนะครับ”
ถึงการทำคดีในวันปีใหม่จะไม่ใช่เรื่องดี แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะอย่างน้อย มีอย่างอื่นที่เป็นการเริ่มต้นที่ดีเกิดขึ้นแล้ว
The End
จบจริง ๆ แล้วค่ะ ขอบคุณสำหรับการติดตาม ถ้ามีคำแนะนำ ติชม หรือเรื่องที่อยากคุยก็บอกกันได้นะคะ ขอบคุณมาก ๆ อีกครั้งค่ะ :)
ยังอยากอ่านต่ออยู่เลยยย
ชอบการให้เกียรติกันของคุณอัลฟ่า
ชอบคุณหมอแมวที่ยิ่งอยู่ใกล้คุณอัลฟ่ายิ่งน่ารักๆๆๆๆๆๆ
ไว้จะค่อยๆ ทยอยตอบนะคะ จริงๆ งานนี้เป็น alternate universe ของเรื่องหลักที่เขียน
ต้นฉบับก็ไม่ยาวอยู่แล้ว เรื่องนี้เลยสั้นๆ ค่ะ
ขอบคุณอีกครั้งนะคะ ^^
เรื่องนี้ตั้งใจจะไม่ได้เป็นสืบสวนหนักหน่วงมาแต่แรกแล้วละค่ะ ถึงบางส่วนของเรื่องจะดูโหดมากก็ตาม ทั้งหมดเริ่มต้นแค่อยากลองเขียนโอเมก้าเวิร์สเฉยๆ สักตอนสองตัน แต่ไปๆ มาๆ ยาวเลย ฮา
ขอบคุณที่มาคุยกันเช่นกันค่ะ :)
ป.ล. 1 อย่าลืมนอนชดเชยนะคะ ฮา
ป.ล. 2 เคยอยู่อังกฤษมาจริงๆ ค่ะ ^^
อ่านเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบภายในรวดเดียวเพราะดีมาก ชอบทั้งคาแรกเตอร์ ทั้งความละมุนละไม และภาษา
เสียดายมากเลยที่จบแล้ว ถ้าไรท์มีแผนจะแต่งอะไรต่ออีก จะรอติดตามนะคะ
ตอนนี้มี Double Death ลงในมินิมอร์นี่ละค่ะ กับพวกข้อเขียนสั้นๆ ในซีรี่ส์อื่นๆ บ้าง
ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ :)
ลองอ่านอินโทรฯแรก ก็สะดุดกึกกับภาษาและสำนวน จากตอนแรกที่กะไว้ว่าจะอ่านผ่านๆฆ่าเวลา...
แต่แล้วก็ต้องพักทวิตมาตั้งในอ่านเรื่องนี้แบบจริงจัง ยอมรับตามตรงว่าเราค่อนข้างอ่อนด้อยกับเรื่องโอเมก้าฯ เราไม่ค่อยเข้าใจความเป็นอัลฟ่า เบต้า โอเมก้าสักเท่าไหร่ ช่วงแรกก็มีการกลับไปวนอ่านสองรอบเพื่อทำความเข้าใจ แต่เราชอบภาษาที่ใช้มากค่ะ พอผ่านไปบทที่สามเราก็เริ่มเข้าใจมากขึ้น เรื่องราวมันต่อๆกันไปแบบลื่นไหลดีมาก อ่านแล้วเพลิน รู้ตัวอีกที ก็อ้าววววว...จบแล้ว 55555
สนุกมากค่ะ เราอาจจะไม่ค่อยได้พูดถึงตัวละครหรือเนื้อเรื่องเลยไม่ใช่ว่าไม่สนใจนะคะ เราว่าแนวสืบสวนนี้เขียนให้สนุกนั้นยาก แต่เรื่องนี้สนุกจริงๆ อยากอ่านต่ออีก 5555 ขอบคุณสำหรับเรื่องราวสนุกๆนี้นะคะ
สารภาพว่า นี่ก็เป็น Omegaverse เรื่องแรกที่ลองเขียนดูเหมือนกันค่ะ เพราะเห็นว่าระบบความสัมพันธ์ในจักรวาลนี้น่าสนใจดี ถ้าตรงไหนเข้าใจยากไป หรือไม่ชัดเจนก็บอกได้นะคะ เพราะอยากจะเขียนแทรกๆ ลงไปในเรื่องมากกว่าจับแยกออกมาอธิบายข้างนอก
555 เรื่องนี้ตั้งใจเขียนโดยให้น้ำหนักไปที่การสืบสวนเท่าๆ กับสังคมอัลฟ่า เบต้า โอเมก้าค่ะ ถ้าเอาแบบเข้าใจง่ายๆ เลย คือ เน้นไปที่ความเหลื่อมล้ำและข้อจำกัดทางสังคมของโอเมก้าเป็นหลัก
ดีใจที่ชอบนะคะ ^^
ป.ล.อยากให้แอดทำเพจจัง เพราะผมไม่เล่นทวิต
ทางนี้ยังไม่สะดวกทำเพจเลยค่ะ เลยเอามาลงไว้ในมินิมอร์นี่ละ
ชอบมากๆๆๆๆๆ ทั้งสำนวนการเขียน วิธีที่ใช้บรรยายแล้วก็หลงใหลคาแรกเตอร์ของคุณหมอจริงๆ *เขิน*
เป็นเรื่องแรกที่เราอ่านจักรวาล omegaverse ค่ะ เปิดโลกมาก จริงๆ ขอบคุณที่เขียนผลงานดีๆ แบบนี้นะคะะะ อยากให้เขียนอีกเยอะๆ เลย งุ้ยยยย */////*
ชอบงานสไตล์นี้มากๆ ที่แบบเน้นความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร ไม่ต้องหนักเรื่องเพศ หรือ NCอ่าค่ะ ไม่ทราบว่าพอจะมีแนะนำบ้างไหมคะะะ หรือถ้ามีผลงานออกใหม่ก็แนะนำมาได้เลยค่ะ! ตามไปอ่านแน่นอน❤️☺️
เรื่องนี้ก็เป็น omegaverse เรื่องแรกที่ลองเขียนเหมือนกันค่ะ เป็นคนที่เขียนฉากเรทไม่ได้เลย เลยเลี่ยงมาเล่าเป็นพวกความสัมพันธ์แทน ดีใจที่ชอบคุณหมอด้วยค่ะ
เสียดายที่ตอนนี้ยังแนะนำเรื่องอื่นของคนอื่นไม่ได้ เพราะยังตามอ่านไม่ถึงไหนเลย แต่ตอนนี้เขียนตอนต่อของคุณหมออยู่ค่ะ
ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ ที่อ่าน ^^
ขอบคุณมากๆ นะคะ ที่มาอ่านแล้วก็คอมเม้นต์ให้ด้วย แล้วก็ขอบคุณเพื่อนที่แนะนำเรื่องนี้ให้ด้วย
เท่าที่เห็น ของไทยก็เริ่มมี Omegaverse เยอะขึ้นนะคะ มีนิยายที่เขียนจบไปแล้วและไม่เน้น NC อยู่เหมือนกัน แต่สัดส่วนอาจจะน้อยหน่อยจริงๆ เรื่องนี้ตั้งใจเขียนให้เป็น dystopia หรือโลกที่มีความวุ่นวายบางอย่างมากกว่าเน้นที่ความสัมพันธ์ค่ะ แต่ความเป็นสืบสวนอาจจะไม่มากและคดีก็ไม่ได้ซับซ้อนมาก เน้นไปที่แรงจูงใจมากกว่า สำหรับกลุ่มหมอในเรื่องนี้ อาจจะเห็นเป็นเบต้ากับโอเมก้าเยอะนิดนึง เพราะหมอฟอล์กเนอร์สังกัดโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยค่ะ พอเป็นสถานศึกษาก็จะมี discrimination น้อยหน่อย มีพื้นที่ให้โอเมก้ามากขึ้น หมอที่เป็นอัลฟ่าก็มี แต่ไม่ได้พูดถึงในตอนนี้ค่ะ ส่วนพวกตำรวจนี่อัลฟ่าเป็นส่วนใหญ่เลยค่ะ
ที่จริงๆ ตัวเองหันมาเขียนแนว BL กับ Omegaverse ไม่นานมานี้จริงๆ ค่ะ เลยไม่ได้อยู่ทั้งในเล้าเป็ดหรือเด็กดี เห็นมินิมอร์ล็อกอินจากทวิตเตอร์ได้เลยเอาความสะดวกเข้าว่า ไปก่อน ไว้ค่อยหาทางขยับขยายอีกที
ส่วนของนาบูที่ประกาศรับงาน Omegaverse นั้นเห็นแล้วค่ะ แต่เผอิญ เรื่องนี้เริ่มจากลองเขียนโดยปรับมาจากเรื่องหลักของตัวเอง ที่ไม่มีเรื่องโรแมนติกอยู่เลย ก็เลยไม่ได้วางแผนที่จะพิมพ์อะไรยังไง
ขอบคุณมากๆ อีกครั้งค่ะ :)
สองจักรวาลนี้มีจุดเหมือนกับจุดต่างกันอยู่ ดีใจที่ชอบบรรยากาศในเรื่องนี้ด้วยค่ะ
เป็นกำลังใจเรื่องไฟนอลให้ด้วยเช่นกันนะคะ :)
อ่านเพลินทั้งพาร์ทสืบสวนและพาร์ทความสัมพันธ์ คดีอาจจะไม่ได้ซับซ้อนในแง่กลวิธี แต่ในแง่เหตุจูงใจคือน่าสนใจ ชอบประเด็น Discrimination ในเรื่อง ถ้าเทียบกัน Alpha Beta Omega ก็คล้ายกับเชื้อชาติ สีผิว ศาสนา หรืออะไรก็ตามที่มนุษย์ใช้แบ่งแยกกันในโลกจริงนั่นแหละ
พาร์ทความสัมพันธ์สารวัตรกับหมอ ปกติไม่ชอบความสัมพันธ์ที่เร็วเกินไป แต่คู่นี้อ่านแล้วเชื่อสนิทใจว่าเป็นไปได้จริง ชอบความสัมพันธ์แบบนี้ ไม่ได้รักหวานซึ้ง แต่รักในตัวตนของอีกฝ่าย เข้าอกเข้าใจ เคารพซึ่งกันและกัน ส่งเสริมกันให้ดีขึ้น เป็นคู่ที่ดีต่อใจมากจริงๆ
รบกวนคุณปิยะรักษ์เขียนตอนพิเศษอีกนะคะ ยังอยากอ่านเรื่องราวของสารวัตรกับหมอต่อจากนี้ อยากเห็นพัฒนาการความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ต้องอบอุ่นใจมากแน่ๆ
ติดตามคุณปิยะรักษ์จากฟิคเรือผี เพิ่งเคยอ่านนิยายออริจินัลเรื่องแรก ติดใจเข้าซะแล้วค่ะ ดำเนินเรื่องได้น่าติดตาม ข้อมูลแน่น สำนวนการเขียน ให้อารมณ์นิยายแปลซึ่งมันเข้ากับเรื่องแนวนี้ดี
ไว้จะทยอยอ่านเรื่องอื่นต่อไปนะคะ :)
เรื่องนี้ตั้งใจเน้นที่การเลือกปฏิบัติ ชนชั้นในสังคม และแรงจูงใจของฆาตกรเลยจริงๆ ค่ะ เป็นเหตุผลหลักเลยที่ตัดสินใจเขียนโอเมก้าเวิร์ส
สำหรับในเรื่องความสัมพันธ์ เรื่องนี้เป็นข้อยกเว้นของตัวเองจริงๆ ค่ะ เพราะปกติแล้วจะไม่เขียนให้ตัวเอกมีอะไรกันไวขนาดนี้ แต่คิดแล้วก็จำเป็น เพราะถึงความสัมพันธ์แรกสุดจะเกิดขึ้นเพราะธรรมชาติบังคับ แต่สิ่งที่จำเป็นมากกว่า คือ การเรียนรู้กันและกันเลยละค่ะ ปกติแล้ว โอเมก้าเวิร์สส่วนใหญ่จะเลิฟซีนเยอะ แต่ทางนี้พยายามจำกัดให้มีเท่าที่จำเป็นจริงๆ แล้วก็เน้นที่ความสัมพันธ์อื่นๆ มากกว่า
มีตอนพิเศษนิดหน่อยค่ะ แต่คงไม่หวานซึ้งเท่าไหร่ เพราะเล่าเรื่องของหมอก่อนที่จะได้เจอกับสารวัตร เป็นการขยายความว่าทำไมหมอถึงเก็บตัวและไม่ชอบอัลฟ่า ตาม link นี้ได้เลยนะคะ https://minimore.com/b/T7eCh/17
ดีใจที่ชอบ ขอบคุณมากๆ อีกครั้งที่ติดตามค่ะ ^^