ถ้าคุณรู้เรื่องที่ใครคนหนึ่งที่สนิทหรืออยากให้เขาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคุณไม่เคยบอกคุณมาก่อน ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม คุณจะเป็นฝ่ายถามถึงเรื่องนั้นจากเขาก่อน หรือจะรอให้เขาเป็นฝ่ายบอกคุณทีหลัง ซึ่งคุณไม่อาจรู้ได้เลยว่าเมื่อใด หรืออาจไม่มีทางรู้เลยตลอดไป คุณจะเลือกทางไหน
ผมผ่านเรื่องแบบนั้นมามาก แต่หลายครั้ง ผมพบว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะตัดสินใจ ครั้งนี้ก็เช่นกัน
“มีอะไรสงสัยอีกหรือเปล่าครับ”
เสียงของ ดร. ฟอล์กเนอร์ทำให้ผมรู้ตัวว่า ตัวเองกำลังเหม่อมองผลการตรวจตัวอย่างเลือดและเนื้อเยื่อของเจมส์ วัตต์จากห้องแล็บ ผมได้รับอีเมล์จากเขาหลังออกจากบ้านของเซอร์เอ็ดเวิร์ด สแตนตัน ผมให้จ่ามัสเกรฟกลับไปถอดเทปที่สำนักงาน ในขณะที่ผมดิ่งตรงไปหาเขาที่แผนกนิติเวชของโรงพยาบาล
ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า ผมไปถึงที่นั่นได้ยังไง แต่ความรู้สึกหนึ่งที่ผมสำนึกรู้อยู่ตลอดเวลา คือ ผมโกรธ
ความรู้สึกแบบนั้นไม่ได้เกิดกับมามานมากแล้ว ครั้งสุดท้ายที่ผมเป็นแบบนี้ คือ ตอนที่รู้ว่า แฟนนี่ตัดสินใจแต่งงานกับอัลฟ่าที่บอนด์กับเธอ เพราะเธอมีโลเวลล์อยู่ในท้อง อย่างน้อยที่สุด ก็เพื่อประกันว่าลูกจะได้ประโยชน์จากคนเป็นพ่อบ้าง สิ่งที่เกิดขึ้นกับน้องสาวคนเล็กของผมตอกย้ำว่า อะไรที่ไม่เกิดกับตัวนั้นยากจะรู้ซึ้ง และความโชคร้ายของโอเมก้าที่ถูกผูกมัดเอาไว้กับอัลฟ่าคนเดียวจนกว่าจะตายจากกันหรือผูกพันธะกับอัลฟ่าคนอื่นแทนเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมเลย
สิ่งที่เกิดขึ้นกับโทเบียส ฟอล์กเนอร์ก็เช่นกัน ผมโกรธที่คนมีการศึกษา มีสถานะสังคมที่สูง อยู่ในกลุ่มผู้ที่กำหนดนโยบายของสังคมได้คิดกับโอเมก้าเป็นมนุษย์อีกชนชั้น เป็นวัตถุทางเพศไม่ว่าจะโดยนัยไหน ๆ ก็ตาม ทั้งที่โอเมก้าคนนั้นมีทุกอย่างที่ทัดเทียมกัน แตกต่างกันแค่ไม่ได้เป็นอัลฟ่า
ผมโกรธตัวเองที่สลัดคำพูดกับความรู้สึกที่เอ็ดเวิร์ด สแตนตันจงใจยัดใส่เข้ามาในสมองของผมไม่ออก ทั้ง ๆ ที่รู้ตัวดีว่า เขากำลังเล่นเกมอะไร และทั้ง ๆ ที่ผมมาอยู่ตรงหน้าของโทเบียส ฟอล์กเนอร์แล้วแท้ ๆ
“เปล่า...” คำนั้นหลุดออกจากปากผมไป “แค่มีเรื่องอื่นที่ติดใจอยู่...”
“เรื่องเซอร์เอ็ดเวิร์ดสินะครับ”
ผมพยักหน้า เขาพูดไม่ผิด และผมเชื่อว่าเขาสามารถคาดเดาได้ เพราะเขารู้อยู่แล้วว่า วันนี้ ผมไปพบใคร
“เขาพูดเรื่องของเขากับผมให้คุณฟังใช่ไหม”
น้ำเสียงของเขาเรียบนิ่ง ใบหน้าของเขาไม่แสดงอารมณ์อะไรให้จับได้ แต่ผมรู้สึกเหมือนว่า เขาถอยหลังห่างผมออกไป และระมัดระวังท่าทีของตัวเองมากกว่าเดิม
“เขาพูด”
ผมตอบเขาได้เท่านั้น ผมพูดอะไรไม่ออก และไม่รู้จะพูดอะไรมากไปกว่านี้
โทเบียส ฟอล์กเนอร์มองผม เขาไม่ได้เอ่ยสิ่งใด แต่ดวงตาสีเขียวคู่นั้นกำลังร้องขอให้ผมพูดอะไรสักคำหนึ่ง
“ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่ใครสักคนจะผ่านเรื่องอย่างนั้นมาได้ ดร. ฟอล์กเนอร์” ผมลุกขึ้นไปหาเขาที่ยืนอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง ดึงตัวเขามากอดไว้ แน่นพอที่จะแน่ใจว่าเขารับรู้ความรู้สึกที่ผมไม่อาจเอ่ยเป็นคำพูดออกมาได้
“ผมดีใจที่มีคุณอยู่ที่นี่”
คนที่ผมกอดไว้ยืนนิ่ง แต่ในชั่วอึดใจที่เนิ่นนานในความรู้สึกเมื่ออยู่ในความเงียบที่ไร้คำตอบ ผมรู้สึกได้ว่า เขาขยับตัว ไม่ใช่เพื่อผละออกห่าง โทเบียส ฟอล์กเนอร์ซบหน้าลงกับบ่าของผม
“ผมก็เหมือนกัน”
เขาเอ่ยแผ่วเบา โดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองหรือสบตากับผม ก่อนระบายลมหายใจยาวออกมาเหมือนได้ปลดปล่อยความรู้สึกที่เคยแบกไว้ตัวคนเดียวมาเนิ่นนานลงได้บ้าง
ผมไม่ได้เอ่ยตอบหรือปลอบเขา เพราะบางครั้ง ความเงียบก็ทำหน้าที่ของมันได้ดีกว่าคำพูด
โทเบียส ฟอล์กเนอร์เอนศีรษะของเขาอิงกับไหล่ของผม เมื่อผมเลื่อนมือข้างหนึ่งขึ้นมาลูบเรือนผมชองเขา ถึงจะไม่ได้กอดผมตอบ แต่ท่าทีของเขาทำให้ผมรู้ว่า เขาสบายใจและพอใจในสิ่งที่เป็นอยู่เวลานี้ และยังคงไว้วางใจในตัวผม
เราอยู่ในความเงียบอย่างนั้นพักใหญ่ ก่อนที่เขาจะขยับตัว และผมคลายแขนออกจากตัวเขา
“คุณโอเค?”
ดร. ฟอล์กเนอร์พยักหน้า แล้วยิ้มให้ พลางจัดปกเสื้อแจ็คเก็ตสูทที่ผมสวมกับเนคไทให้เรียบร้อย “โอเคครับ ขอบคุณมาก”
“ที่ศาลเรียบร้อยดีไหม” ผมถามถึงเรื่องที่เขาไปเป็นพยานผู้เชี่ยวชาญที่ศาลในตอนเช้า แต่เมื่อถามไปแล้ว ผมก็เพิ่งนึกได้ว่า นั่นเป็นคำถามแรกที่ผมถามเขาเมื่อพบหน้ากัน และเพิ่งสำนึกได้เดี๋ยวนั้นว่า สติของผมตอนที่กลับมาจากบ้านของเซอร์เอ็ดเวิร์ดแทบไม่อยู่กับตัว “อา... ผมถามไปแล้วนี่”
“ใช่ครับ” มีเสียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ จากเขา แต่สายตาที่มองบอกว่า เขาเข้าใจความรู้สึกของผมดี “ทุกอย่างเรียบร้อยดี แต่ผมยังไม่ได้บอกสารวัตรว่า พยานก่อนหน้าผมให้การนานไปหน่อย แทนที่จะเริ่มได้สักสิบโมง ก็ไปเริ่มเอาเกือบสิบเอ็ดโมง หลังจากพักเที่ยงก็ลากยาวจนถึงบ่ายสอง”
“เคสยากหรือครับ ถึงได้นานขนาดนั้น” ผมกลับมานั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของเขา และหยิบแฟ้มรายงานการชันสูตรสอดลงในซองสีน้ำตาล
“ไม่เชิงครับ” แพทย์นิติเวชโคลงศีรษะ “แค่มีลูกขุนขอออกไปอาเจียนจนต้องพักการพิจารณาไปนานพอสมควร”
เขาพยายามกลั้นยิ้ม แต่ไม่ประสบความสำเร็จมาก โดยเฉพาะเมื่อเขาเห็นผมนั่งขำอยู่ต่อหน้าเขา ลูกขุนที่ต้องทนฟังปัญหาข้อเท็จจริงที่ไม่น่าพิศมัยสักเท่าไหร่น่าเห็นใจอยู่ แต่พอนึกภาพแล้ว ก็ยังอดขันไม่ได้อยู่ดี อารมณ์ที่เขาแสดงออกในเวลานี้ทำให้ผมเบาใจไปได้มาก
“มาเอารายงานแล้วกลับไปทำงานต่อเลยหรือเปล่าครับ” ดร. ฟอล์กเนอร์เปลี่ยนเรื่อง และเหลือบดูนาฬิกาดิจิตอลที่เขาวางเอาไว้บนโต๊ะ เขาบอกผมไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า มีรายการผ่าศพรออยู่อีกรายหนึ่ง เขาต้องไปในอีกไม่ช้า แต่เห็นได้ชัดว่า เขาไม่รังเกียจเลย ถ้าผมจะนัดพบเขาอีก
“ผมอยากสรุปสำนวนให้เสร็จ หลังปีใหม่แล้ว เราน่าจะปิดคดีของเจมส์ พ็อตต์ได้ แต่เรื่องอื่น ๆ อย่างกรณีของเจนนี่ และแหล่งผลิตยาเสพติดชนิดใหม่ที่เราต้องขยายผลเพิ่มเติมก็ต้องประชุมกันอีกว่าจะทำอย่างไรต่อไป”
คดีฆาตกรรมเจมส์ พ็อตต์ เจ้าของร้านของเก่าที่บัคเคิลสตรีทใกล้จบ แต่เรื่องไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น
รายงานผลการตรวจหาสารพิษในเนื้อเยื่อและตัวอย่างของเหลวที่ส่งตรวจสอดคล้องกับผลการชันสูตรศพเบื้องต้นที่เขาแจ้ง ตัวอย่างสิ่งที่พบในกระเพาะอาหารและเลือดบ่งมีสารพิษที่พบได้ในต้น ใบ และรากของแมนเดรกหรือมันดราโกราอยู่ด้วย อย่างที่โทเบียส ฟอล์กเนอร์เคยสันนิษฐาน แท้จริงแล้ว ‘เดอะ แฮนด์ออฟกลอรี่’ ของเจมส์ พ็อตต์และบรรดาลูกค้าของเขา อาจหมายถึง สารเสพติดที่มีฤทธิ์หลอนประสาท ซึ่งมีส่วนผสมของแมนเดรกอยู่ด้วย
ฆาตกรที่ฆ่าเขาอาจผสมยาเสพติดหรือสารสกัดที่ได้จากเมนเดรกลงไปในอาหาร ชายเจ้าของร้านไม่ได้ระวังตัว ไม่ระแวงสงสัยจึงได้กินมันเข้าไป และสารนั้นก็ออกฤทธิ์
แมนเดรกไม่ได้มีฤทธิ์เพียงแค่หลอนประสาท ในบางรายฤทธิ์ของมันก็ส่งผลต่อระบบหายใจ และทำให้หัวใจเต้นแรงกว่าปกติ ไม่ว่าจะได้รับเข้าไปในขนาดที่ทำให้ตายได้หรือไม่ เจมส์ พ็อตต์ก็อยู่ในสภาพที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และต้องตายด้วย ‘มือ’ ของฆาตกรที่ใช้ ‘เดอะแฮนด์ออฟกลอรี่’ หรือ เชิงเทียนมือมนุษย์ตากแห้งที่เขาอาจมีไว้เพื่อข่มขู่ หรือเป็นสัญลักษณ์สำหรับการซื้อขายยาเสพติดชนิดนั้นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของตำรวจและคนในสังคมในเวลาต่อมา
บางครั้ง การฆ่ากันตายก็ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนเท่าที่เห็นในคราวแรก เมื่อความสับสนจางหายและมีหลักฐานที่เชื่อถือได้ชี้ทิศทางให้ แต่สิ่งที่ซับซ้อนยิ่งกว่ากลับเป็นเรื่องของแรงจูงใจและผลที่ตามมาหลังจากนั้นต่างหาก
ดร. ฟอล์กเนอร์ฟังคำตอบของผมและพยักหน้าอย่างเข้าใจ เขายังมีหน้าที่ต้องทำรายงานฉบับสมบูรณ์ที่ลงรายละเอียดของผลการตรวจพิสูจน์ที่เพิ่งได้มาจากแล็บในวันนี้ให้ผมอีก และต้องเป็นพยานผู้เชี่ยวชาญให้กับคดีของเรา เมื่ออัยการสั่งฟ้องและเรื่องขึ้นไปถึงชั้นศาล ซึ่งอาจใช้เวลาอย่างน้อยปีหนึ่งหรืออาจมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง
เขาเดินไปส่งผมที่ประตูห้องทำงาน แต่ท่าทีของเขาคล้ายมีบางอย่างที่ยังค้างคาใจ ผมหยุดรอ และในที่สุด เขาก็ตัดสินใจถามออกมา
“สารวัตรคิดว่าเซอร์เอ็ดเวิร์ดมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆ่าเจมส์ พ็อตต์หรือเปล่า”
ผมพยายามมองหาร่องรอยของความรู้สึกบางอย่างในน้ำเสียงและสีหน้าของเขา แต่ไม่กล้าที่จะเดาความหมาย
“เขาไม่ใช่คนลงมือ และผมก็ไม่คิดว่าเขาเป็นคนบงการ พยานหลักฐานที่อยู่ในมือของเราตอนนี้บอกอย่างนั้น” ผมตอบเขาตามตรง “ความเห็นส่วนตัวของผม เขาไม่สนุกกับการลงมือเองเท่ากับการได้ปั่นหัวคนอื่นเล่น”
ถ้าผมไม่ได้ตาฝาด ผมเห็นรอยยิ้มปรากฏบนริมฝีปากของเขานิดหนึ่ง และรอยยิ้มนั้นก็ทำให้ลมหายใจของผมสะดุดไปชั่วขณะ เขาไม่ได้มองว่า คำตอบของผมผิดหรือแตกต่างไปจากสิ่งที่เขาคิดในใจ แต่เขายิ้มราวกับว่า เขาดีใจกับคำตอบที่ได้ยินจากปากของผมว่า คนที่เป็นฝันร้ายหลอกหลอนเขามาจนถึงทุกวันนี้ ไม่ใช่คนผิดในคดีนี้
“ใช่ เขาทำในสิ่งที่เขาเห็นว่าสนุก เขาชอบล่อคนอื่นให้ลงสนาม และปล่อยให้คนอื่นในสนามเด็กเล่นของเขาลงมือกันเองโดยไม่รู้ตัวเลยว่า เขาวางหมากบนกระดานล่วงหน้าเอาไว้หมดแล้ว” เขาเอื้อมมือมาจับแขนของผมเอาไว้ “ก่อนหน้านี้ ผมเป็นห่วงคุณ ทั้งที่จริง ๆ แล้ว ผมควรจะรู้อยู่แล้วว่า ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงในเรื่องนี้เลย”
คำเฉลยของเขาทำให้ผมโล่งใจ แต่ในขณะเดียวกัน นัยบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในข้อความของเขาก็ทำให้เกิดความรู้สึกหน่วงหนักในใจอย่างบอกไม่ถูก โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงว่า คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเคยถูกมองเป็นของเล่นชิ้นหนึ่งของอัลฟ่าคนนั้น และสิ่งที่เขาเอ่ยกับผมเป็นสิ่งที่มาจากประสบการณ์ของตนเอง
รอยแผลเป็นบนอกของโทเบียส ฟอล์กเนอร์ คือ ผลที่เขาได้รับจากการไม่ยอมเล่นตามเกมของเอ็ดเวิร์ด สแตนตัน
ถ้าเขายอมอาจไม่ต้องเจ็บตัว เพราะโดยสถานะทางชีวภาพและสังคมของโอเมก้าต้องเป็นฝ่าย ‘ยอม’ ให้อัลฟ่า บางคนอาจคิดอย่างนั้น แต่สำหรับผมแล้ว ผมเชื่อว่าเขายอมแลกหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อสิ่งที่สำคัญที่สุด และจะยอมเสียไปไม่ได้ นั่นคือ อิสรภาพจากพันธะที่จะเป็นบ่วงผูกคอเขาไว้กับคนที่เห็นคุณค่าของเขาเพียงแค่คู่นอนคนหนึ่ง หรือคู่ครองที่คู่ควรแก่สถานะของตนเองเท่านั้น
สำหรับผมแล้ว แผลเป็นเหล่านั้นไม่ใช่บทลงโทษจากการไม่เชื่อฟัง แต่เป็นเหรียญกล้าหาญของการทำสิ่งที่เขาควรทำเพื่อตนเอง และการไม่ยอมจำนนต่อการข่มเหง แม้ว่าท้ายที่สุดแล้ว เขาไม่อาจรอดพ้นจากการกระทำของอีกฝ่ายได้
ผมวางมือของผมลงบนเหนือมือของ ดร. ฟอล์กเนอร์ และกุมมือของเขาเอาไว้
“ขอบคุณมากจริง ๆ คุณหมอ” ผมบอกเขา “ถ้าปีใหม่นี้ คุณหมอไม่ได้ไปไหน ผมจะแวะไปคุยเรื่องคดีด้วย”
ข้อความนั้นเรียกรอยยิ้มที่ผมอยากเห็นให้ปรากฎขึ้นบนใบหน้าของเขาได้อีกครั้ง สิ่งที่เขาต้องการเรียบง่ายมากเหลือเกิน เพราะสิ่งที่เขาต้องการจากคนอื่น ไม่มีอะไรมากกว่าอยากให้คนเห็นคุณค่าและยอมรับความสามารถของเขา
“ยินดีครับ ปีนี้ ผมสแตนด์บายที่ลอนดอน ไม่ได้กลับเซอร์รีย์เหมือนปีก่อน สารวัตรแวะมาหาได้”
ในเวลานี้ คำตอบของเขาตรงไปตรงมา ไม่พยายามเบี่ยงเบนหรือหาทางปฏิเสธอย่างอ้อม ๆ อย่างในครั้งแรกที่เราได้พบกันอีกแล้ว และผมก็ดีใจที่ผมได้รับโอกาสจากเขาอย่างที่คนอื่นไม่เคยได้รับ
ผมยิ้มให้เขา และได้รับสิ่งเดียวกันตอบกลับมา แต่ไม่ทันที่ผมจะปล่อยมือ หรือเอ่ยลาเขา เพื่อกลับไปทำงานของตัวเองต่อ เราต่างคนก็ต่างสะดุ้ง และผละออกจากกันโดยอัตโนมัติ
“โอ๊ะ ขอโทษค่ะ” ดร. ซาแมนธา เคน ซึ่งเป็นผู้ที่ช่วยตัดบทสนทนาของเราให้จบลงเร็วขึ้น ก็เป็นอีกคนที่สะดุ้งถอยหลังออกไปโดยไม่รู้ตัว “ฉันแค่จะมาบอกว่า ไทเลอร์เตรียมศพที่เราจะผ่ากับเซ็ตอุปกรณ์บันทึกภาพและเสียงเสร็จแล้ว”
มือของเธอโบกไปทางซ้ายที ขวาทีแบบไม่รู้ว่าจะเก็บมันเอาไว้ตรงไหน
“คือ.... ฉันไม่ได้ขัดจังหวะใช่ไหมคะ... เอ้อ... ฉันหมายความว่า คุณจะยืนจูบกันต่ออีกสักสองสามนาทีก็ได้นะ ดร. เวสต์แค่ให้ฉันแวะมาบอกเฉย ๆ ว่า ทุกอย่างพร้อมแล้ว”
หลังจากส่งสารเสร็จ แพทย์ประจำบ้านสาวก็รีบเผ่นแน่บออกจากจากหน้าห้องทำงานของเขา
ผมไม่กล้าหันไปมองหน้าของ ดร. ฟอล์กเนอร์เลยว่า เขาทำหน้าอย่างไรตอนนั้น แต่ที่แน่ ๆ หน้ากับหูของผมร้อนไปหมดแล้ว จนผมเริ่มสงสัยตัวเองว่า จะขับรถกลับไปที่เดอะยาร์ดได้อย่างมีสติมากน้อยแค่ไหน
To be continued....
สำหรับทาสแมวที่รู้จักหมาแค่ไม่ถึง 5 สายพันธุ์ก็ขอยกสารวัตให้เป็นคุณหมาตัวใหญ่ใจดีแต่ขี้เขิลอย่างชามอย(ตัวอ้วนฟู ตาเยิ้ม ยิ้มแฉ่ง)
ส่วนคุณหมอนี่รู้สึกอยากให้เป็นแมวป่าอย่างเบงกอลด้วยความดุ พยศ แต่ก็อยากให้ดูฟูๆฟ่องๆอย่างแร็คดอลหรือเบอร์แมน จับผสมเลยได้มั้ยคะ 5555+
ส่วนเนื้อหา เท่าที่เราอ่านมานะคะ
เราสัมผัสได้ถึงการเปรียบเทียบ เปรียบเปรยสังคมโอเมก้าเวิร์สกับสังคมไทยเรานี่ล่ะค่ะ
ความเหลื่อมล้ำ ความอคติ การตีตรา การตราหน้า
เป็นการอ่านนิยายที่รู้สึกสะท้อนความเป็นไปในสังคมได้อย่างคลาสสิคแล้วก็ตามทันยุคสมัยมากเลยค่ะ
เราว่าคุณนักเขียนเป็นนักเขียนที่เก่งมากคนนึงเลยนะคะ มีการแทรก การสะท้อนประเด็นหลายๆอย่างที่น่าคิดอยู่ในเนื้อเรื่องที่ไม่ทำจนโจ่งแจ้งเกินไปจนอ่านไม่สนุก
เหมือนเป็นการอ่านบทเรียนสังคมที่ไม่ได้นั่งอ่านหนังสือเรียน แต่ได้คุณครูเก่งๆมานั่งเล่าเรื่องราวสะท้อนปัญหาให้ฟังแบบไม่รู้เบื่อเลยค่ะ
โชคดีที่คุณสารวัตรไม่หลงไปในกระแสเกม ถึงจะโกรธก็เถอะแต่ก็มีสติมากพอจะไม่เข้าไปเล่นด้วย
คุณหมอมีอดีตไม่น่าจดจำเกี่ยวกับชายคนนี้ แต่โชคดีแล้วที่ตอนนี้มีสารวัตร
โชคดีมากจริงๆ ที่สารวัตรเข้าใจ จริงๆ เราว่ามันเป็นความรู้สึกที่มากกว่าเข้าใจนั่นแหละ
ดีใจที่ทั้งสองคนมีกันและกัน และดูเหมือนไปได้ดีขนาดนี้ ตอนนี้คุณหมอดูยิ้มเยอะขึ้นด้วย ดีใจจัง
ดร.ซาเเมนธาถึงกับไปไม่เป็นเลย เธอคงแอบคิดว่ามาขัดจังหวะอะไรแน่ๆ จากประโยคนี้
'....คุณจะยืนจูบกันต่ออีกสักสองสามนาทีก็ได้นะ'
แล้วเธอคงจะแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นด้วยหากพวกเขาจูบกันจริงๆ ฮาา
รู้สึกว่าประสบความสำเร็จที่มีคนหมั่นไส้เซอร์เอ็ดเวิร์ดนี่ละค่ะ ฮา
ถ้าในโฮล์มส์มีมอริอาร์ตี้ เรื่องนี้ เซอร์เอ็ดเวิร์ดก็ทำหน้าที่ mastermind ที่ไม่ลงมือเลย
การที่ไม่หลงไปในเกมของเซอร์เอ็ดเวิร์ดอาจส่งผลทั้งดีและร้ายก็ได้
เพราะทำให้เจ้าตัวเกิดสนใจจริงจังขึ้นมา ตอนนี้ก็กลับมาสนใจหมออีกรอบแล้วละค่ะ
แต่ไม่ว่าอะไรก็ตาม คุณหมอก็ดีขึ้นมากจริงๆ ค่ะ เพราะอย่างน้อยที่สุด
ก็มีคนที่เข้าใจอย่างจริงจัง แล้วที่สำคัญ คนคนนั้นเป็นอัลฟ่าซึ่งเป็นเพศที่หมอไม่ไว้ใจด้วย
หลังจากนี้ ต่อไป หมอก็คงจะยิ้มมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วละค่ะ
งานนี้ ไม่รู้จะเรียกว่า หมอซาแมนธาได้กำไรหรือเปล่าสิคะ ฮาาา
จะจูบหรือไม่ แซมก็อึ้งอยู่ดีที่มีโอกาสได้เห็นมุมที่ไม่คิดจะได้เห็นจาก ดร. ฟอล์กเนอร์นี่ละ
ขอบคุณทีี่มาอ่านและมาคุยด้วยค่ะ ^^