(10)
“ผมไม่มีเหตุผลอะไรที่จะฆ่าผู้ชายคนนั้น ถึงจะเห็นหมอนั่นเป็นคนรกโลกมากก็ตาม”
เซอร์เอ็ดเวิร์ดลุกขึ้นจากเก้าอี้นวมหลังโต๊ะทำงานที่เขานั่งอยู่ เดินไปยังตู้หนังสืออีกฟากหนึ่งของห้องสมุดที่เขาใช้เป็นห้องทำงานหลักภายในบ้าน เปิดเอาขวดสก็อตช์วิสกี้ออกมา หันหน้ามาหาผมและวิลเลียม มัสเกรฟเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่า อยากดื่มสักแก้วไหม ก่อนไหวไหล่นิดหนึ่ง เมื่อเราปฏิเสธ แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เขาคาดเดาได้อยู่แล้ว
“ถ้าผมจะทำผมทำไปนานแล้ว สารวัตร ไม่ปล่อยให้มันกลับมาตามวุ่นวายกับชีวิตของผมอย่างนี้หรอก คลาร่าแค่ขอร้องไม่ให้ผมจัดการกับมัน” เขานั่งลงที่ขอบโต๊ะทำงาน โน้มตัวลงมาหาผม “อัลฟ่าปลายแถวอย่างพ็อตต์ถึงได้ย่ามใจสะเออะมาแบล็กเมล์ผม”
“แบล็กเมล์เรื่องอะไรครับ”
เขาเลิกคิ้วน้อย ๆ มองผมครู่หนึ่ง ก่อนยกแก้ววิสกี้ขึ้นจิบ “คลาร่าไม่ได้ให้การกับตำรวจเรื่องเจมส์ พ็อตต์คิดแบล็กเมล์ผม เรื่องที่ผมเมทกับโอเมก้าสาวหลบหนีเข้าเมืองคนหนึ่งจนท้องขึ้นมางั้นเหรอ”
นั่นเป็นข้อสันนิษฐานที่ ดร. ฟอล์กเนอร์และผมเห็นตรงกัน ทว่าคลาร่า พ็อตต์ไม่ได้เอ่ยกับเราในเรื่องนี้ และผู้ที่เป็นตัวแปรหนึ่งในคดีนี้กลับเป็นผู้ที่พูดออกมาเอง ทั้งที่เมื่อเอ่ยออกมาแล้วคำพูดดังกล่าวอาจทำให้เขาตกอยู่ในสถานะผู้ต้องสงสัยทันที
“มหาเศรษฐีคนดังในแวดวงลอจิสติกส์ฆ่าคนที่ล่วงรู้ความลับของตนเองเพราะถูกรีดไถเงิน... เป็นพาดหัวข่าวที่น่าสนใจดีใช่ไหมล่ะ” เอ็ดเวิร์ด สแตนตันแค่นเสียง
ดวงตาคมเหมือนเหยี่ยวของเขาจับจ้องยังผมที่ฟังเขานิ่งอยู่โดยมีเครื่องบันทึกเสียงอยู่ในมือ ส่วนจ่ามัสเกรฟที่แทบไม่อยู่ในสายตาเขามาแต่แรกกลายเป็นคนที่ไม่มีตัวตนในสายตาเขาอีกต่อไป
ริมฝีปากของประธานกรรมการบริษัทลอจิสติกส์เหยียดออกเป็นรอยยิ้ม “ผมสารภาพ ทุกอย่างลงตัว ปิดคดีได้ง่าย ๆ สารวัตรไม่อยากเป็นข่าวจากผลงานชิ้นเอกงานนี้หรอกเหรอ”
ผมส่ายหน้า “ไม่ละ ผมไม่อยากกลายเป็นข่าวเพราะจับคนร้ายผิดตัว”
“ผมรู้ว่าคุณไม่ชอบหน้าผม อย่าพยายามปิดบังเลย สารวัตรเฟย์”
“การที่ผมไม่ชอบหน้าคุณ ไม่ได้หมายความว่า ผมจะถีบคุณเข้าตารางได้ตามใจชอบ คุณสแตนตัน” ผมเลิกเรียกเขาว่าเซอร์เอ็ดเวิร์ดแล้ว แต่น้ำเสียงของผมยังคงราบเรียบไม่ใส่ใจเขาอยู่เช่นเคย
จบประโยคนั้น รอยยิ้มไม่หลงเหลืออยู่บนใบหน้าของเขาอีกต่อไป สิ่งที่ผมเห็นจากเขาคือความสนเท่ห์ ไม่ใช่เกลียดชังหรือรำคาญเหมือนท่าทีที่เขาแสดงออก
“ถ้าผมไม่ได้เข้าใจผิดไปเอง คุณดูไม่เหมือนคนประเภทที่จะเอาธุรกิจมูลค่ามหาศาลของตัวเองไปแลกกับชีวิตของคนที่คุณมองว่าเป็นอัลฟ่าชั้นต่ำ" ผมขยายความ "และการทำให้โอเมก้าสาวสักคนหนึ่งท้องขึ้นมาก็ดูไม่ใช่เรื่องใหญ่เกินกว่าที่คุณจะจัดการได้อยู่แล้ว คุณมีเงินและคงจะให้เงินเธอให้มากพอที่จะกลับประเทศและใช้ชีวิตต่อไปได้ ถ้าคุณคิดจะทำ”
“นั่นเป็นสิ่งที่ผมสัญญากับคลาร่าไว้ว่าจะทำ ไม่ว่าแม่สาวน้อยนั่นจะท้องกับผมหรือไม่ก็ตาม” เขาเทวิสกี้ที่เหลืออยู่ในแก้วลงในลำคอ วางแก้วลงกับโต๊ะ
ผมให้เวลาเขาครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยถาม “คลาร่า พ็อตต์กับคุณมีความสัมพันธ์กันแบบไหน”
“คุณคิดว่าไงล่ะ” เซอร์เอ็ดเวิร์ดย้อน
“ผมไม่ทราบ และเดาไม่ได้ด้วย นั่นเป็นเหตุผลที่ผมถามคุณ”
เอ็ดเวิร์ด สแตนตันยกมือขึ้นทำท่าเหมือนยอมแพ้ “โอเค... สารวัตร... คลาร่าเคยเป็นพนักงานในบริษัทของผม เธอทำงานด้านบัญชีให้ผมมาสิบปี ไม่เคยผิดพลาดเลยแม้แต่หนเดียว ก่อนที่เธอจะขอลาออกจากงาน”
“สาเหตุที่เธอลาออกจากงานล่ะ”
“แต่งงาน” เสียงของเขากระด้างขึ้นมาทันที ความรื่นรมย์ที่เขาได้จากการตอบคำถามกวนประสาทผมอยู่ในทีก่อนหน้านั้นหายไปโดยสิ้นเชิง “เธอพลาดบอนด์กับเจมส์พ็อตต์ เขากัดเธอ เธอกลายเป็นโอเมก้าของเขา ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมแต่งงานด้วย”
“คุณใช้คำว่า ‘กลายเป็น’ ...ถ้าผมฟังไม่ผิด” ผมตั้งข้อสังเกต “ความสัมพันธ์ส่วนตัวของเธอกับคุณคืออะไร”
คำถามนั้นทำให้เขานิ่งไปขั่วขณะท่าทางของเขาไม่เหมือนเสแสร้ง แต่ไม่นานนัก เขาก็ทำเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ผมนอนกับเธอมาหลายครั้ง... เธอเป็นคนที่รับมือผมในช่วงรัทได้เก่งที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมา”
เช่นเดียวกับโอเมก้า อัลฟ่าเองก็มีช่วงเวลาที่สัญชาตญาณการสืบพันธุ์เรียกร้องตามธรรมชาติ คือช่วงรัท (rut) ของอัลฟ่า สิ่งที่อยู่ในสมองของอัลฟ่าในช่วงเวลานี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าความต้องการจับคู่ผสมพันธุ์ โดยเฉพาะกับโอเมก้า
ในขณะที่โอเมก้าเป็นฝ่ายรับการกระทำและเรียกร้องให้อัลฟ่าเข้ามาหาด้วยการปล่อยฟีโรโมนดึงดูด อัลฟ่าที่เป็นฝ่ายกระทำก็จะแสวงหาคนที่จะมารองรับความต้องการและอารมณ์ที่รุนแรงกว่าช่วงเวลาปกติหลายเท่า โอเมก้าที่ไม่เต็มใจและไม่ได้อยู่ในช่วงฮีทแต่ต้องมาพบเจอกับอัลฟ่าในช่วงรัทก็อาจตกเป็นเหยื่อความต้องการนั้น และทำอะไรไม่ได้มากกว่าจำต้องคิดว่าเป็นคราวเคราะห์ เพราะอัลฟ่าในช่วงรัททำทุกอย่างตามสัญชาตญาณและธรรมชาติของตนเอง จึงไม่มีความผิดหรือไม่จำต้องรับผิดใด ๆ ทั้งสิ้น
เหมือนโอเมก้าอีกเช่นกัน อัลฟ่าในช่วงรัทมีทางเลือกสองทาง คือ ช่วยตัวเองหรือหาคนอื่นมาช่วยและทางเลือกของอัลฟ่าส่วนมากก็แตกต่างจากโอเมก้า ในขณะที่โอเมก้าจำนวนมากเลือกที่จะขังตัวเองเอาไว้และอยู่ให้ห่างไกลอัลฟ่ามากที่สุด หรือทำแม้แต่กินยากดฮอร์โมนเพื่อหยุดช่วงฮีทของตัวเอง อัลฟ่าส่วนใหญ่เลือกที่จะปลดปล่อยกับโอเมก้าหรือบางทีก็เบต้า น้อยคนจะขังตัวเองไว้ไม่ให้ไปทำอันตรายหรือระบายอารมณ์กับคนอื่น แทบไม่มีใครเลยที่เลือกใช้ยากดฮอร์โมนอย่างที่โอเมก้าทำเพราะไม่ยาที่ปลอดภัยเพียงพอ และการใช้ยาประเภทนั้นอาจกระทบกระเทือนต่อความเป็นอัลฟ่าอย่างที่น้อยคนจะกล้าเสี่ยงเอาความเป็นอัลฟ่าของตัวเองไปแลก
มีสถานบริการที่ถูกกฎหมายสำหรับอัลฟ่า มีโอเมก้าที่ขึ้นทะเบียนทำงานอย่างถูกต้องให้บริการแก่อัลฟ่าในช่วงรัท พวกเขาหรือเธอมีความจำเป็นอย่างยิ่งในสังคมที่อัลฟ่าเป็นใหญ่ แต่ไม่มีสถานที่แบบเดียวกันนี้เพื่อสนองความต้องการของโอเมก้า ไม่เคยมีโอเมก้าคนไหนเรียกร้องสิ่งนี้ และไม่มีกฎหมายอนุญาตให้อัลฟ่า ‘ขายตัว’ เพื่อให้บริการแก่โอเมก้าที่มีสถานะทางสังคมและทางเพศต่ำกว่า
ถ้าให้ผมเลือก การปลดปล่อยความต้องการในช่วงรัทกับใครสักคนที่ยินยอมเป็นทางออกที่ดีที่สุดแต่ปัญหาเพียงประการเดียวที่มี คือ แมรี่ ภรรยาของผมเป็นเบต้าเพศรองที่ไม่ได้รับอิทธิพลจากฟีโรโมนหรือกลิ่นประจำตัวใด ๆ ทั้งสิ้น เธอไม่มีช่วงฮีทและสรีระของเธอไม่สามารถตอบสนองอัลฟ่าในช่วงรัทได้มากเท่ากับโอเมก้า ต่อให้เธอบอกว่าเธอรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้และเข้าใจผมดี แต่มนุษย์ธรรมดาอย่างแมรี่ที่ต้องรองรับความหิวกระหายและความรุนแรงของสัตว์เพศผู้ในฤดูผสมพันธุ์ก็ไม่พ้นจากความบอบช้ำได้อยู่ดี สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราสองคนในช่วงเวลาหนึ่งถึงสองวันนั้น คือ เราควรอยู่ห่างกันโดยผมขังตัวเองไว้ในห้อง และให้เธอกลับไปอยู่ที่บ้านพ่อแม่ของเธอชั่วคราว นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นปีละครั้งตลอดระยะเวลาหลายปีที่เราแต่งงานกันจนกระทั่งเธอจากไป
เมื่อแมรี่เสียชีวิต ผมกลับมาใช้ชีวิตลำพังอีกครั้งการมีความสัมพันธ์กับโอเมก้าที่ทำหน้าที่ให้บริการอย่างถูกกฎหมายเป็นสิ่งที่ผม ‘ลองทำ’ เหมือนกันอัลฟ่าอื่น ๆ ทั่วไป พวกเธอและเขาเต็มใจและมีความเชี่ยวชาญในสิ่งที่ตนเองทำ รู้วิธีการที่จะป้องกันตัวเอง แต่ภาพร่างกายเปลือยเปล่าที่สวมใส่เครื่องป้องกันการถูกกัดบริเวณลำคอที่ผมได้เห็นก่อนที่สัญชาตญาณช่วงรัทจะครอบงำและเมื่อได้สติขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้พวกเขาดูเหมือนสัตว์ที่ถูกใส่ปลอกคอเพื่อให้รู้ว่าพวกมันมีเจ้าของ เป็นความจำเป็นที่ทำให้รู้สึกไม่ดีเลย
ด้วยเหตุผลหลายอย่าง ผมจึงเป็นอัลฟ่าส่วนน้อย ไม่เหมือนกันอัลฟ่าอื่นส่วนใหญ่ รวมทั้งเอ็ดเวิร์ดสแตนตันที่เลือกจะปลดปล่อยความต้องการในช่วงรัทกับโอเมก้าสักคนหนึ่งหรือมากกว่านั้น และในตอนนี้ ผมก็รู้แล้วว่า คลาร่าเคยมีความสัมพันธ์กับเซอร์เอ็ดเวิร์ดในฐานะคู่เมทที่หลับนอนด้วยกันบ่อยครั้ง แต่ไม่เคยผูกพันธะระหว่างกัน
เซอร์เอ็ดเวิร์ดแสดงท่าทีเหมือนไม่พอใจที่คลาร่าแต่งงานกับอัลฟ่าที่เธอพลาดท่าบอนด์ด้วยอย่างเจมส์ พ็อตต์ และแม้ว่าคลาร่า พ็อตต์จะแต่งงานกับอัลฟ่าที่เป็น ‘เจ้าของ’ เธอไปแล้ว เธอก็ยังคงภักดีกับ ‘นายเก่า’ อย่างเขาอย่างไม่เสื่อมคลาย ในขณะที่ชิงชังอัลฟ่าผู้เป็นสามีของตนเองจนใช้สารพัดวิธีที่จะไม่ต้องหลับนอนกับเขา
ฟังดูสมเหตุสมผลดี แต่ยังมีอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมคิดว่าเซอร์เอ็ดเวิร์ดจงใจให้เหตุการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้น เพื่อที่จะสลัดเธอที่เริ่มถลำลึกและอาจเริ่มอยากให้เขาผูกพันธะกับเธอ แต่คนอย่างเขาที่ไม่เคยมีข่าวคราวว่าคบหากับใครจริงจังไม่ต้องการอย่างนั้น
เสียศักดิ์ศรี เสียดายอาจเป็นไปได้ แต่เรื่องเสียใจ... อาจเป็นอคติส่วนตัวของผมเองก็ได้...ผมไม่สามารถสัมผัสความรู้สึกนั้นได้จากกลิ่นสารเคมีที่เปลี่ยนแปลงไปตามอารมณ์ของเขา
“หลังจากคลาร่าแต่งงงานกับเจมส์ พ็อตต์ คุณยังติดต่อกับเธออยู่ใช่ไหม และติดต่อกับเธอบ่อยครั้งแค่ไหน” ผมถามเขาไปตรง ๆ ด้วยคำถามที่อัยการกับผู้พิพากษาคงมองผมตาขวางที่ใช้คำถามชี้นำและเจาะจงลงไปอย่างนั้น แต่กับคนคนนี้ ผมไม่อยากเสียเวลาไปกับการตอบคำถามโยกโย้ไปทางอื่นของเขา
“ใช่ ผมไปที่ร้านของเก่านั่น เพื่อที่จะดูว่าเธอเป็นอย่างไรบ้าง สองหรือสามเดือนสักครั้งหนึ่ง... จากวันนั้น ก็สามหรือสี่ปีมาแล้วได้”
“ทั้งที่คุณไม่ชอบหน้าเจมส์ พ็อตต์”
“ผมไม่ได้ไปหาเจมส์ พ็อตต์ ผมไปหาคลาร่า และอยากช่วยอุดหนุนสินค้าจากร้านของเธอด้วยนิดหน่อย”
คำตอบของเขาทำให้ผมอดกวาดตามองห้องสมุดของเขาอีกครั้งไม่ได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบกันขึ้นเป็นห้องนี้ เป็นของที่บ่งบอกรสนิยมของคนพูดว่าตรงกันข้ามกับสิ่งที่วางขายอยู่ในร้านของเก่าที่บัคเคิลสตรีทร้านนั้นโดยสิ้นเชิง แม้แต่ของราคาแพงที่อยู่ในส่วนที่อยู่อาศัยของเจ้าของร้านก็ยังไม่อาจเทียบกันติด
“ยกตัวอย่างได้ไหมว่าซื้ออะไรไปบ้าง”
“ของที่คุณฟังแล้วอาจจะหัวเราะแล้วคิดว่าผมเป็นคนงมงาย” เขาหัวเราะในลำคอ “พวกเครื่องรางแปลก ๆ เป็นส่วนใหญ่ อย่างพวกฮัมซา อีวิลอายอะไรพวกนั้น เพราะผมคิดว่าของเก่าในร้านส่วนใหญ่ไม่ค่อยถูกรสนิยมผมสักเท่าไหร่ แต่เครื่องรางพวกนี้ อย่างน้อยก็เป็นของแท้”
“รวมถึง ‘เดอะแฮนด์ออฟกลอรี่’ ด้วยหรือเปล่าครับ”
คำถามนั้นทำให้เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “ผมไม่ชอบของอาถรรพ์น่าเกลียดพรรค์นั้น แต่เจมส์ พ็อตต์ก็เอามานำเสนอขายให้ผม และผมไม่คิดว่ามันเป็นของจริง”
“ในเมื่อคุณไม่ชอบมัน ทำไมถึงไม่ปฏิเสธ”
“ไม่ชอบ แต่ไม่ได้แปลว่าไม่สนใจนี่ สารวัตร” เซอร์เอ็ดเวิร์ดทำเสียงหึ เลื่อนตัวลงมายืนอิงขอบโต๊ะ ยกมือขึ้นกอดอก “มันอาจเป็นของจริง และมันทำให้ผมมีข้ออ้างที่จะไปแวะหาคลาร่าบ้างตามประสาคนรู้จักกัน”
“คุณรู้ใช่ไหมว่า ‘เดอะแฮนด์ออฟกลอรี่’ คืออะไร”
“เชิงเทียนมือมนุษย์ตากแห้งที่พวกโจรใช้สะกดคนในบ้าน...ผมพูดถูกไหม” เขาตอบ รอยยิ้มเหยียดกลับมาอยู่บนใบหน้าของเขาอีกครั้ง “ถ้าจำเป็นต้องซื้อจริง ๆ ผมคงซื้อมาเผาทิ้งมากกว่า”
“แล้วได้ซื้อไหมครับ”
“ได้ซื้ออะไร ในเมื่อแม่สาวใช้ของเขาเกิดฮีทขึ้นมาในวันนั้นพอดี แล้วก็อย่างที่คุณรู้นั่นละสารวัตร เธอเกิดท้องขึ้นมาโดยที่ไม่รู้ว่าพ่อของเด็กเป็นใคร พ็อตต์ ผมหรืออาจจะเป็นคนอื่นที่แวะร้านของเขาในวันต่อ ๆ มาด้วยก็ได้”
เอ็ดเวิร์ด สแตนตันพูดแล้วก็ถอนใจหนัก ไหวไหล่น้อย ๆ แสดงอาการว่าช่วยไม่ได้และไม่ยี่หระกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเจนนี่ เมนโดซ่า โอเมก้าสาวในวันดังกล่าวมากนัก เช่นเดียวกับอัลฟ่าทั่วไปที่มองว่า นั่นเป็นสิ่งที่เกินกว่าพวกเขาจะควบคุม และเป็นความผิดของโอเมก้าเองด้วยส่วนหนึ่ง
เขาใช้มือเลิกปลายแขนเสื้อเหลือบดูนาฬิกาข้อมือของตัวเอง ซึ่งนั่นเป็นภาษาท่าทางที่บอกว่า เขาไม่อยากคุยหรือไม่มีเวลาให้กับเราแล้ว
“คำถามสุดท้ายสำหรับวันนี้” ผมยืดตัวขึ้น หยิบเครื่องบันทึกเสียงที่วางไว้บนโต๊ะส่งให้จ่ามัสเกรฟ จัดเสื้อแจ็คเก็ตของตัวเองพร้อมที่จะกลับอย่างที่บอกกับเขาจริง ๆ “คุณรู้จักเจมส์ พ็อตต์มาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“คุณคิดว่าผมรู้จักเจมส์ พ็อตต์มาก่อนที่ผมจะรู้จักกับคลาร่าอย่างนั้นหรือ”
“ผมไม่ได้ถามคุณอย่างนั้นไม่ใช่เหรอครับ แค่อยากทราบเฉย ๆ ว่า พวกคุณรู้จักกันเมื่อไหร่ รู้จักมานานแค่ไหนแล้วแค่นั้นเอง ถ้ายังไม่อยากตอบตอนนี้ก็ไม่เป็นไร” ผมบอก “ขอบคุณที่ให้เวลากับเรา ถ้าเราต้องการข้อมูลเพิ่มเติมจะติดต่อกลับมาอีก แต่คราวนี้อาจจะต้องรบกวนให้คุณไปที่เดอะยาร์ด ”
"สุขสันต์วันปีใหม่ล่วงหน้านะครับ" ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้ยื่นมือออกไปสัมผัสกับมือของเขา ส่งสัญญาณให้จ่ามัสเกรฟลุกขึ้นและออกไปจากห้อง ซึ่งเขาที่ต้องทนรับความกดดันที่ไฮอัลฟ่าสองคนตอบโต้กันไปมาอยู่ในทีดูโล่งใจและผ่อนคลายขึ้นมาก แม้ว่าจะยังดูกระวนกระวายเพราะความเป็นห่วงในสวัสดิภาพของผมที่เขาถือเป็น ‘จ่าฝูง’ ของตัวเองอยู่ไม่น้อยเลยก็ตาม
“คุณไม่เหมือนตำรวจงี่เง่าจากเดอะยาร์ดคนไหนที่ผมเคยเจอมา ดูเหมือนว่า ฉายาสุนัขล่าเนื้อแห่งนอร์ทยอร์กเชียร์ของพวกเฟย์ไม่ใช่แค่คำร่ำลือ” เซอร์เอ็ดเวิร์ดออกปาก และทำให้ผมต้องหันกลับมาหาเขาทันที "มิน่า โทเบียส ฟอล์กเนอร์ถึงได้ยอมให้คุณแสดงความเป็นเจ้าของเขาได้"
มุมปากของเขาขยับเป็นรอยยิ้ม ดวงตาคมคู่นั้นของเขาจ้องมองผมด้วยความสนใจอย่างแท้จริง ไฮอัลฟ่าจากตระกูลสัตว์นักล่าอย่างเขาดูจะชอบความท้าทายมากเป็นพิเศษ
“ถ้านั่นเป็นคำชม ก็ต้องขอขอบคุณ” ผมยิ้มตอบ และวิลเลียม มัสเกรฟก็ฉลาดพอที่จะรู้ว่าเขาไม่ควรอยู่ที่นั่น โดยบอกผมว่า เขาจะออกไปรออยู่นอกห้อง
เอ็ดเวิร์ดสแตนตันอยากให้ผมถามเขาเรื่องของโทเบียส ฟอล์กเนอร์แต่การเล่นตามเกมของเขาไม่ใช่วิธีการทำงานของผม
“ถ้ามีอะไรที่นึกได้เกี่ยวกับคดีที่เกิดขึ้นสามารถติดต่อผมได้ตามหมายเลขในนามบัตรนะครับ”
“คุณไม่อยากรู้เรื่องระหว่างดร. ฟอล์กเนอร์กับผมงั้นเหรอ”
ไม่ผิดจากที่คาดไว้เลย
ความจริงแล้ว ผมสามารถตอบเขาได้ทันทีว่า ไม่ แต่ผมเลือกที่จะปล่อยให้ความเงียบเกิดขึ้นครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้าแทนคำตอบ “ไม่จำเป็นครับ ขอบคุณ”
คำตอบของผมทำให้เขาเป็นฝ่ายนิ่งไปบ้าง “พวกคุณรู้จักกันมานานแค่ไหน”
นั่นเป็นคำถามสุดท้ายที่ผมถามเขาเกี่ยวกับเจมส์ พ็อตต์ และผมเชื่อว่าพวกเขารู้จักกันมานานกว่าที่เขาแสดงท่าทีให้ผมได้รับรู้ และในเมื่อเขาไม่คิดจะตอบคำถามของผม ผมก็มีสิทธิที่จะตอบคำถามนั้นในทำนองเดียวกัน
“ไม่นานเท่าไหร่”
ผมไม่ได้โกหก เพราะ ดร. ฟอล์กเนอร์กับผมเพิ่งรู้จักกันยังไม่ถึงสี่สิบแปดชั่วโมง แม้เหตุการณ์ที่เราสองคนต่างได้พบเจอ ทำให้ผมอดรู้สึกไม่ได้ว่า เหมือนเรารู้จักกันมานานนับปี
ปฏิกิริยาของแพทย์นิติเวชที่แสดงออกต่ออัลฟ่าผู้นี้ตั้งแต่จดจำกลิ่นของเขาได้และเมื่อต้องเผชิญหน้าบอกเล่าให้ผมรู้โดยไม่จำเป็นต้องพูดว่าเคยเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเขาและเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาพยายามอยู่ห่างจากอัลฟ่าแปลกหน้าให้มากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้
ผมไม่ชอบหน้าเอ็ดเวิร์ดสแตนตัน แต่ชิงชังสิ่งที่เขาทำกับ ดร.ฟอล์กเนอร์และสีหน้าที่ไม่ได้แสดงอาการสำนึกรู้ถึงอารมณ์ความรู้สึกของโอเมก้าหนุ่มที่ต้องเผชิญหน้ากับเขาโดยไม่คาดหมายมากกว่า
การไม่เล่นตามเกมของเขาเป็นเหตุผลหนึ่งแต่เหตุผลอีกข้อของผม คือ ผมยังไม่อยากเกลียดเขาจนไม่อยากมองหน้าคนที่ผมต้องพบเจอกันด้วยหน้าที่การงานไปมากกว่านี้
“ผมต้องไปแล้ว”ผมตัดบท สัมผัสมือกับเขาอีกครั้ง เขาเดินตามมาส่งผมที่ประตู และรอปิดประตูห้องให้แต่ก่อนที่ประตูห้องทำงานของเขาจะปิดลง คำพูดของเขาก็ทำให้ใบหน้าของผมชาไปทั้งแถบ
“ผมจะบอกอะไรให้นะสารวัตรเฟย์... ในห้องสมุดนี้นี่ละ ที่ผมสอนให้แมวป่าหนุ่มแสนสวยที่ทั้งพยศและดุร้ายรู้จักการเมทกับอัลฟ่าเป็นครั้งแรกในชีวิตโอเมก้าของเขา”
เอ็ดเวิร์ดสแตนตันไม่ได้ยิ้มอีกต่อไปแล้ว น้ำเสียงของเขาจริงจัง ไม่ได้บ่งบอกถึงชัยชนะและท่าทีของเขาบอกผมว่า เขาไม่คิดจะยอมแพ้
“โทเบียส ฟอล์กเนอร์เป็นโอเมก้าคนแรกที่ต่อต้านผม เขายอมให้ผมทำอะไรกับเขาก็ได้ กี่ครั้งก็ได้ แต่ไม่ยอมให้ผมเป็นเจ้าของเขา และนั่นก็ทำให้เขาเป็นโอเมก้าคนเดียวทำให้ผมลืมไม่ได้จนถึงทุกวันนี้”
To be continued.....
แอบตอบคุณตาลตรงนี้นะคะ ><
ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ ที่ตามอ่านสิบตอนรวด