หลังจากเสร็จศึกระหว่างห้าตระกูล ยุทธภพกลับสู่ความปกติ เวินเยวี่ยนกลับไปยังฉีซานในรอบยี่สิบปี
จวนสกุลเวินได้รับความเสียหายหนักจากยุทธการยิงสุริยันเมื่อยี่สิบปีก่อน ไร้ผู้ดูแลจึงต้องทำการบูรณะครั้งใหญ่ ซึ่งเขาเองก็ไม่ต้องกังวลเรื่องทุนรอน ด้วยสกุลเวินก่อนล่มสลายนั้นร่ำรวยมหาศาล ก่อนเกิดศึกไม่นานนักเวินรั่วหานได้นำสมบัติครึ่งหนึ่งให้คนสนิทที่ไว้ใจได้พากระจายแยกย้ายไปฝังตามที่ต่างๆ และรักษาความลับของสมบัติด้วยชีวิตของคนเหล่านั้นไม่ให้เหล่าสี่สกุลใหญ่ที่เหลือยื้อแย่งไป แต่ถึงแม้จะเหลือทรัพย์สมบัติเพียงครึ่งเดียว แต่แค่บางส่วนก็สามารถบูรณะจวนสกุลเวินให้ออกมาสมบูรณ์แบบและงดงามอีกครั้งได้อย่างไม่ยากเย็นนัก อีกทั้งยังเหลือเลี้ยงเหล่าลูกน้องและศิษย์ใหม่ที่รับเข้าสกุลเวินได้อีกหลายปี ซึ่งการซ่อมแซมครานี้ต้องกินเวลาเกือบปีถึงจะแล้วเสร็จ เวินเยวี่ยนจึงขอให้นายหน้าหาเรือนสี่ประสานขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กจนเกินไปเพื่อใช้เป็นที่พักชั่วคราว
แต่ถึงแม้จะบอกว่าไม่เล็กไม่ใหญ่ แต่เรือนที่ซื้อมาก็กว้างขวางกว่าที่คาดเอาไว้ เทียบเท่าได้กับเรือนชิงจือของหานกวงจวิน มีห้องรับรองแยกออกไปต่างหากอีกสองห้อง ทำให้สามารถอยู่ได้หลายคน ซึ่งเวินเยวี่ยนไม่ได้โต้แย้งอันใดด้วยตั้งใจไว้แล้วว่าเขาจะไม่อยู่เพียงลำพัง...
เว่ยอู๋เซี่ยนออกไปรับหลานวั่งจีที่อวิ๋นเซินปู้จื่อฉู่ด้วยตนเอง ตอนนี้ผ่านมาได้เกือบสิบวันแล้วด้วยระยะทางระหว่างกูซูกับฉีซานห่างกันมาก เขาได้แต่ให้คนจัดเตรียมห้องพักของทั้งสองให้ดีที่สุด จากนั้นจึงแยกไปสะสางงานที่ยังคั่งค้างอยู่
การที่ต้องแบกรับตำแหน่งประมุขด้วยสองบ่านั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งการสั่งสอนศิษย์ พิจารณาข้อร้องเรียนของชาวบ้านที่อยู่ในเขตฉีซานและช่วยเหลือตามความเหมาะสมเพื่อเรียกความเชื่อมั่นในตระกูลเวินให้กลับมาดังเดิม นี่ยังไม่รวมถึงการจัดการเรื่องราวภายในที่เหมือนต้องกลับไปนับหนึ่งใหม่ ยังดีที่เว่ยอู๋เซี่ยนให้เวินหนิงคอยเป็นที่ปรึกษา จึงช่วยแบ่งเบาไปได้มาก
นอกจากเรื่องงาน อาหารการกินก็ต้องปรับตัว อาหารของฉีซานต่างจากกูซูตรงที่นิยมกินแป้งอบเป็นอาหารหลักมากกว่าข้าวสวย กับข้าวใช้เนื้อไก่ เนื้อแพะ เนื้อแกะ ในการปรุงอาหาร ไม่นิยมเนื้อหมูมากนัก อีกทั้งยังใส่เครื่องเทศทำให้ไม่คุ้นลิ้นนัก ยังดีที่ได้หมี่ฉีซาน เส้นแบนกว้างราดหน้าเครื่องที่ผัดด้วยไก่สับกับต้นหอม รสชาติเปรี้ยวเผ็ดแบบที่เว่ยอู๋เซี่ยนทำให้เขากินตอนยังเล็กจึงพอกินได้บ้าง นอกนั้นก็ยังมีผลไม้อย่างองุ่น อินทผลัม และฮามิกว่อ (แตงทิเบต) รสชาติหวานอร่อยชื่นใจที่เขากินเล่นเป็นของว่างได้
..........
"อาเยวี่ยน" น้ำเสียงร่าเริงแจ่มใสอันเป็นเอกลักษณ์ดังขึ้นในช่วงหัวค่ำ ทำเอาเวินเยวี่ยนที่อ่านเอกสารค้างอยู่จึงลุกออกมาต้อนรับ เด็กหนุ่มประสานมือคารวะให้กับอาคันตุกะตรงหน้าอย่างนอบน้อมเป็นเอกลักษณ์เช่นเคย
"หานกวงจวิน เว่ยเฉียนเป้ย"
หลานวั่งจีพยักหน้ารับ ร่างสูงโปร่งหล่อเหลาสง่างามดังเช่นก่อนเก่า ไม่มีทีท่าของคนที่ถูกอักขระต้องคำสาปแม้แต่น้อย
"เป็นอย่างไรบ้าง ไม่มีข้าอยู่คงยุ่งจนหัวปั่นสิท่า" เว่ยอู๋เซี่ยนเอ่ยยิ้มๆ มองอีกฝ่ายที่สง่างามแปลกตาด้วยชุดสีขาวชายเสื้อและแขนเสื้อปักเป็นรูปดวงตะวัน สวมกวานและปิ่นสีแดงสด อีกทั้งยังมีบุษราคัมเจียระไนทรงข้าวหลามตัดแบบที่เวินรั่วหานใส่ประดับหน้าผาก ทำเอาใบหน้าคมคายนั้นน่ามองขึ้นหลายส่วน
"ไม่หรอกขอรับ ยังดีที่ท่านลุงเวินหนิงช่วยชี้แนะ เลยช่วยได้มากทีเดียว" อีกฝ่ายกลับยิ้มตอบ "ทั้งสองท่านเดินทางมาไกล เหน็ดเหนื่อยไม่น้อย ถ้าอย่างไรไปพักที่เรือนก่อนดีไหมขอรับ ข้าให้คนจัดเอาไว้ให้แล้ว"
"ยังล่ะ ข้ากับหลานจ้านมีเรื่องอยากจะหารือกับเจ้าพอดี" เว่ยอู๋เซี่ยนเอ่ย เวินเยวี่ยนเพียงพยักหน้ารับรู้ จากนั้นจึงให้บ่าวยกขนมและน้ำชามารับรอง เป็นชาเข็มเงินจวินซานและขนมเปี๊ยะเหมยกุ้ยสีเหลืองอร่ามน่ากิน และยังมีขนมเม็ดบัวกุ้ยฮวาวางอยู่บนกลีบดอกบัวสีชมพูดูน่าหยิบชิมยิ่ง
เครื่องว่างทั้งหมดล้วนเป็นของดีที่สุด ด้วยให้เกียรติบุคคลทั้งสองเยี่ยงบุพการี...
"อย่างแรก ข้าต้องขออภัยหานกวงจวินที่ทำให้ท่านเดือดร้อนขอรับ" เวินเยวี่ยนเอ่ย ท่าทางรู้สึกผิดไม่น้อย
"ไม่ลำบากๆ อย่างไรเสียนี่ก็เป็นความตั้งใจของข้ากับหลานจ้านอยู่แล้ว อักขระของหลานจ้านก็เป็นการละเล่นปาหี่ไว้หลอกคนในสกุลหลานเท่านั้น" อีกฝ่ายว่าแล้วหยิบขนมเม็ดบัวมากิน "ในเมื่อคนทั้งสี่ตระกูลก็เพ่งเล็งข้ากับหลานจ้านอยู่แล้ว จะออกท่องเที่ยวทั่วยุทธภพเพื่อหลบหนีเช่นไรก็ไม่พ้น เช่นนั้นก็สู้เป็นมารไม่นับถือเซียน เข้ากับสกุลเวินเสียให้หมดเรื่องหมดราวไป"
"แม้สกุลเวินจะเคยทำเรื่องเลวร้ายไว้มากหรือขอรับ?" เวินเยวี่ยนจิบชาอึกหนึ่ง แล้วยิ้มบางให้ทั้งสอง
"นั่นเป็นเรื่องสมัยก่อน" หลานวั่งจีเอ่ยเสียงเรียบ "บัดนี้คนเหล่านั้นล้วนจบชีวิตชดใช้กรรมที่ได้ก่อไว้จนสิ้น เหลือเพียงอนุชนรุ่นหลังที่ต้องฟื้นฟูตระกูล เจ้าเป็นคนสกุลเวิน มิผิดที่คิดเช่นนั้น"
เว่ยอู๋เซียนพยักหน้ารับ "พอรู้ว่าเจ้าตัดสินใจจะร่วมมือกับสกุลเวิน ข้าจึงได้ลากเจ้ามาคุยกับหลานจ้านให้รู้เรื่อง พวกเราอยากรู้ว่าเจ้าจะมีวิธีรับมือ กลยุทธ์ อย่างไร และแลเห็นแล้วว่าเจ้าไม่ประสงค์ให้เกิดการสูญเสียเลือดเนื้อโดยไม่จำเป็น นับว่าเป็นผู้นำที่ชอบธรรมผู้หนึ่ง ข้าเลยตัดสินใจที่จะเป็นกำลังให้เจ้าอีกแรงหนึ่ง"
"ข้าเพียงแค่อยากฟื้นสกุลเวินเท่านั้น ไม่มีเจตนาที่จะทำร้ายทำลายผู้ใด เพียงแค่ได้เห็นว่าข้าไม่ได้อยู่เพียงลำพัง แค่นั้นก็พอใจแล้วขอรับ" เวินเยวี่ยนเอ่ย ทำเอาทั้งสองมองหน้ากันมิได้เอื้อนเอ่ยอันใดออกมา
การขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำมิได้ทำให้จิตใจใสสะอาดของอาเยวี่ยนหมองหม่นลงไปแม้แต่น้อย
"แล้วเจ้าจะทำเช่นไรต่อ?" หลานวั่งจีเอ่ยถามอีก
"มีตัวหานกวงจวินเป็นตัวประกันจากกูซูแล้ว ย่อมต้องมีจากอวิ๋นเมิ่ง ชิงเหอ และหลานหลิง" อีกฝ่ายยิ้มแห้ง ที่จริงเรื่องตัวประกันนี่เป็นความคิดของเว่ยอู๋เซี่ยนที่ต้องการดึงตัวหลานวั่งจีมาฉีซานเท่านั้น ส่วนตัวประกันคนอื่นๆเขาต้องมานั่งคิดต่อว่าจะเป็นใคร "ประมุขเนี่ย เว่ยเฉียนเป้ยใช้อักขระคำสาปควบคุมเขาไว้ เขาคงไม่แข็งข้อ ไม่จำเป็นต้องจับตาดูใกล้ชิดนัก แต่ข้าจะให้เขาชดใช้ขอรับ"
"ชดใช้?" เว่ยอู๋เซี่ยนย่นคิ้ว
"เรื่องแขนซ้ายบ้านสกุลโม่" เวินเยวี่ยนตอบแค่นั้น "ที่ท่านเคยวิเคราะห์ให้ฟัง เรื่องในวันนั้นประมุขเนี่ยน่าจะมีส่วนไม่มากก็น้อย ยังไม่นับรวมอีกหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม้จะหาหลักฐานเล่นงานเขามิได้ แต่เขาคิดใช้ผู้คนเป็นเบี้ยหมากเพื่อให้แผนการของตนสำเร็จ เขาต้องชดใช้ขอรับ"
เว่ยอู๋เซี่ยนพยักหน้า "สกุลจินและเจียงล่ะ?"
"สกุลจิน ประมุขจินกวงเหยาถูกอักขระคำสาปของท่านเข้าไปคงไม่กล้าบุ่มบ่าม ข้าจะให้เขาดำรงตำแหน่งประมุขจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม ส่วนอวิ๋นเมิ่งเจียง..."
เวินเยวี่ยนเคาะนิ้วลงบนโต๊ะเล็ก ใบหน้าครุ่นคิดก่อนยิ้มออกมา
"ที่จริงพาแค่คนๆเดียวมาก็สามารถควบคุมสกุลเจียงและสกุลจินได้แล้ว"
"ใคร?"
เด็กหนุ่มปรายตาไปยังอ่างน้ำที่ลอยดอกกล้วยไม้ตรงมุมห้อง แต่ละดอกกลีบแข็งมิบอบบางแต่กลับส่งกลิ่นหอมรวยรื่นตลบอบอวลไปทั่วห้อง...
"คุณชายจินแห่งหลานหลิง จินหรูหลาน"
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in