เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Alive : ฆ่า(ข้า) ต้อง รอด !NO.W
ตอนที่ 8 : กลางวงล้อม
  • ..........

     

    ตอนที่ 8 : กลางวงล้อม

     

     

    พวกเราทั้งหมดใช้เวลาร่วมครึ่งชั่วโมงกว่าจะลงมายืนบนพื้นของเมืองที่ถูกปล่อยทิ้งร้างข้างล่างผมกับแคลเดินจับมือกันเกือบจะอยู่รั้งท้ายแต่ก็มีนอร่าเดินอยู่คนเดียวข้างหลังไบรอันและอลิซเป็นคนเดินนำกลุ่มโดยมีราฟคอยเดินระแวงนู่นนี่ตลอดทาง

     

                ตัวอาคารที่ถูกปล่อยร้างเอาไว้จากการบุกของพวกเคลโอหลายปีก่อนบางหลังยังอยู่ในสภาพดีแต่ส่วนใหญ่ตัวอาคารเกือบทุกหลังแทบจะกลายเป็นสีเลือดหมูไปซะทั้งหมดมันเป็นคราบเลือดที่แห้งติดกำแพง และคงไม่มีใครคิดจะทำความสะอาดมันผู้คนส่วนใหญ่ที่เหลือรอดก็พากันอพยพกลับสู่ข้างบน

     

                ตึกสูงใหญ่เหล่านี้ตั้งเรียงรายทับซ้อนไปมาไร้ระเบียบแบบแผนฟังจากไบรอันที่บอกเราต้องเดินไปตามถนนหลักเท่านั้น เพราะมันทอดยาวเข้าไปจนสุดถึงบันไดขึ้นอีกฝั่งผมเห็นแสงไฟสีขาวกำลังสาดส่องลงมายังเมืองร้างข้างล่าง เห็นจุดเล็กๆ ที่เป็นเจ้าหน้าที่สามสี่จุดบนหอคอยข้างบนพวกเราคงต้องใช้เวลาเดินอย่างมากก็สองวันกว่าจะถึง

     

    “ตรงนั้นน่าจะเป็นที่พักคืนนี้ได้นะ” อลิซพูดขึ้นให้ทุกคนได้ยินชี้ไปยังตึกสำนักงานร้างเยื้องไปทางขวามือไม่ไกลนัก มันดูปลอดภัยกว่าอาคารใกล้ๆ ที่โดนทำลายทั้งกระจกและบานประตูอาคารที่ว่ายังอยู่ในสภาพดี

     

                ทั้งหมดพากันเข้าไปในตัวอาคารที่อลิซแนะนำภายในเป็นชั้นล็อบบี้ที่กว้างขวาง มีโต๊ะและเก้าอี้โซฟามากมายจัดเรียงไว้เป็นโซนๆมีต้นไม้ตกแต่งอยู่ในกระถางเป็นระเบียบ ที่นี่คงเป็นตึกสำนักงานสักอย่าง พวกเราทั้งหมดตัดสินใจพักตรงบริเวณรับแขกใกล้ๆประตูทางเข้าที่สุดจัดแบ่งเวรยามเฝ้าระวัง ผมอาสาเป็นกะแรก ตอนนี้ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืนแล้วผมลากโซฟาเล็กๆ มานั่งเฝ้าอยู่บริเวณเครื่องตรวจโลหะขาเข้าประตู

    “เราใกล้จะถึงแล้วสินะ” แคลถามผมเธอนอนหนุนตักเหยียดขาสุดโซฟา

    “อื้ม เลิกหลบๆ ซ่อนๆ สักที”

    “นั่นสินะ แต่ฉันจะช่วยอะไรใครในนั้นได้มั่งก็ไม่รู้สิ” เธอถาม เสียงง่วงเต็มที

    “ได้อยู่แล้ว  แต่ตอนนี้รีบนอนเถอะพรุ่งนี้ต้องเดินทางแต่เช้า” ผมบอกอพลางใช้มือลูบไล้เส้นผมที่บดบังหน้าเธออยู่

     

                แสงจันทร์สาดส่องสว่างผ่านเข้ามาทุกบานหน้าต่างที่เปิดออกของตึกทำให้มีแสงตกทอดบนพื้นเป็นบริเวณ ซึ่งพอจะทำให้มองเห็นโดยไม่ต้องใช้ไฟฉายยิ่งถ้าอยู่กลางถนนตอนนี้ยิ่งเดินได้สบายเลย ผ่านไปไม่นานทั้งคณะก็พากันหลับสนิทบรรยากาศกับมาเงียบอีกครั้งนอร่าเธอนั่งอยู่บนเคาน์เตอร์ถัดเข้าไปข้างในอีกหลายเมตร ยังไม่มีทีท่าจะหลับ

     

    ..........

     

    “ไหนกำลังเสริมที่กูให้มึงเรียกวะไอริก !”  อ๋องตะโกนถาม มือซ้ายจับพวงมาลัยแน่นมือขวาถือปืนเอื้อมออกไปยิงซอมบี้ที่วิ่งขนาบตัวรถ

    “กูรายงานไปแล้วนะ”  ริกตะโกนแข่งกับเสียงปืน ริกนั่งอยู่กระบะหลังสาดปืนกลใส่พวกซอมบี้กลายพันธุ์ที่ทำให้พวกมันสามารถวิ่งได้เร็วขึ้นราวกับนักวิ่ง

    “คงไม่มาแล้วมั้ง ด่านทิศใต้แตกแล้วเนี่ย !” อ๋องตะโกนบอกเมื่อมองไปทางเข้าเมืองข้างหน้าเห็นแต่ซากศพเกลื่อนกลาดไปทั่วพื้นดินโคลน มีทั้งซอมบี้และคน

    “เป็นไงล่ะมึง อยากโชว์เทพนัก ได้ตายก็คราวนี้แหละ”  ริกตะโกนหันปืนสั้นยิงดับชีวิตซอมบี้ที่พวกตนเรียกกันสั้นๆ ว่า นักวิ่งตัวสุดท้ายจนมันกระเด็นกลิ้งไปตามพื้นถนนไปชนเข้ากับกลุ่มใหม่ที่วิ่งตามมาห่างจากตัวรถไปเกือบกิโล

    “ถ้าเราไม่ล่อมันไว้ป่านนี้ได้สาหัสมากกว่าเดิมแล้ว ! กูว่าต้องมีคนรอดมั่งแหละ”  อ๋องตบเกียร์เร่งความเร็วผ่านป้ายชื่อเมืองอย่างรวดเร็วข้างหน้าเป็นทางแยกซ้ายขวา

    “เฮ้ย ๆ ! ช้าๆ หน่อย พื้นมันไม่เรียบ” ริกตะโกนตัวลอยเด้งขึ้นเด้งลงทุกครั้งที่รถวิ่งผ่านหลุมผ่านบ่อตามพื้นที่เป็นดินโคลน ริกพูดไปหยิบเอาระเบิดขึ้นมาทำท่าจะปา

    “ไอบ้าเอ๊ย !”  อ๋องตะโกนขณะต้องหักรถเลี้ยวหลบเมื่อมีรถเจ้าหน้าที่สองสามคันและเห็นเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบคล้ายพวกตนยืนอยู่ใกล้ๆรถที่จอดอยู่กลางแยก หน้าร้านอาหารที่ทำด้วยไม้สภาพค่อนข้างโทรม รถหักซ้ายทันควัน ตัวรถเอียงขึ้นด้านนึงทำท่าจะคว่ำ 

    “ว้ากกก !”  ริกลอยออกไปนอกกระบะเมื่อรถเอียงจะคว่ำ ตกลงไปนอนนิ่งอยู่บนพื้นรถม้วนเฉียดลำตัวริกไปไม่กี่นิ้ว ก่อนไถลตามโคลนจนไปหยุดนิ่ง ทำเอาเจ้าหน้าที่คนอื่นเหวอไปตามๆ กัน แต่สิ่งที่ริกร้องไม่ได้กลัวรถหล่นทับ แต่เป็นเพราะนิ้วที่อยู่ในห่วงสลักระเบิดดันไปเกี่ยวหลุดซะแล้ว  ตนรีบขว้างออกไปสุดแรงพร้อมกับลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแบบไม่สนภาพลักษณ์รีบหันกลับไปทางรถที่อ๋องกำลังตะเกียกตะกายปีนออกทางที่นั่งข้างคนขับ

    “ระเบิดด !”  ริกตะโกนพร้อมกระโจนพุ่งไปข้างหน้า ฝูงผีดิบเพิ่งย่ำผ่านเข้าเมืองมาห่างอีกเกือบ800 เมตร มีทั้งพวกที่พัฒนาจากซอมบี้ธรรมดากลายไปเป็นมีกรงเล็บยาวเฟื้อยสะบั้นหัวคนได้ง่ายๆและเจ้ายักษ์ที่มีร่างกายใหญ่โต กำลังวิ่งหน้าตากระหายเลือดมาทางพวกตน

     

    ตูมมมม !

     

                เสียงระเบิดดังขึ้นไม่ไกลจากตัวตึกที่ทั้งคณะกำลังหลับใหลอยู่ผมผงะตื่นขึ้นไม่รู้ว่าตนเผลอหลับไปตอนไหน เขย่าร่างแคลเบาๆ เพื่อปลุก รู้ทันทีว่าพวกมันมาแล้วแน่ๆและนอร่าที่กำลังเรียกพวกของตนให้ตื่นก่อนฟ้าสางก็คงจะรู้เหมือนกัน

    “อะไรหรอเจค” แคลสะลึมสะลือถาม

    “เราต้องไปแล้ว พวกมันกำลังมา” ผมพูดจบเหมือนไปกระตุ้นปลายประสาทอะไรสักอย่างในตัวเธอเธอเด้งตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว “เราต้องรีบไปแล้ว” เธอทวนคำเสียงเครียด

    “ใช่แล้ว ลุกเร็วเข้า” ผมจับมือเธอ เดินไปรวมกลุ่ม

    “นี่มันเพิ่งจะ ตีสองเองนะนอร่า” ราฟงัวเงียถาม

    “ถ้าไม่อยากตายก็รีบลุกเร็วเข้า” นอร่าพูดกับราฟทุกคนตื่นตัวกันหมดแล้วราวกับว่าเป็นเรื่องธรรมดามากที่ต้องตื่นขึ้นกลางดึกเพื่อวิ่งหนีซอมบี้

     

                ทั้งคณะพากันเร่งฝีเท้าออกจากตัวอาคารเดินต่อไปตามถนนเส้นหลัก ไบรอันเป็นคนนำทางตามเดิม ผมกับแคลและนอร่ารั้งท้าย

     

    ตูม !  เสียงระเบิดดังขึ้น ผมหันกลับไป เงยหน้าขึ้นมองเห็นควันไฟลอยโขมงตามมาด้วยเสียงปืนที่กระหน่ำยิงแบบสุดชีวิต ผมเร่งฝีเท้าเดินต่อ

    “ดูท่าเราต้องรีบหน่อยแล้ว” อลิซเร่งทุกคนเมื่อเห็นควันไฟจากระเบิดแดงฉานอยู่ข้างบน

    “มันมาแล้ว”  อยู่ๆ นอร่าก็ตะโกนขึ้น สายตาทุกคนหันกลับไปมองข้างหลังเห็นซอมบี้สาวร่างบางดูอ่อนแอแต่สองมือกลับมีใบมีดกรงเล็บแหลมลากดิน มันส่องกระทบแสงจันทร์เป็นเงาวาวกำลังวิ่งแหวกอากาศมาทางพวกตน

    “วิ่ง !”  อลิซตะโกนก้องทั้งคณะพากันสับเท้าวิ่งกันยกใหญ่ “ว้าย !”  แคลร้องตกใจเมื่ออยู่ๆผมก็ช้อนตัวเธอขึ้นอุ้มก่อนวิ่งตามคณะไปตามถนนสายหลัก มีนอร่าวิ่งประกบข้าง

    “เวรเอ้ย !”  ผมได้ยินนอร่าสบถจึงหันไปเห็นเงาซอมบี้กลุ่มหนึ่งบนตึกกำลังปีนป่ายลงมาโดยใช้เล็บที่ยื่นออกมาจิกเข้าไปในกำแพงแล้วไต่ลงมาผมมองทางขวาของตนและก็พบว่าก็มีเหมือนกัน ผมเร่งฝีเท้า แคลส่งเสียงร้องเบาๆ

    “นายรู้ว่าพวกมันมาทำไมเจค”  นอร่าพูดทำเอาผมคิดได้ทันทีว่าที่พวกมันมาก็เพราะผมและอาจจะเป็นนอร่าด้วยก็ได้ที่พวกมันต้องการตัวแต่ไม่ใช่คณะนี้ ไม่ใช่แคล ถ้าผมหยุดมันก็จะไม่ตามทั้งกลุ่มไปต่อ รวมทั้งแคลด้วยแต่ใครจะดูแลแคลแทนผมล่ะ

    “กรี๊ดดด !” อลิซกรีดร้องลั่น ก่อนที่ทั้งคณะจะหยุดลงข้างหน้ามีชายชุดสูทสองคนยืนขวางทางอยู่ รอบตัวพวกมันคือกลุ่มผู้รอดชีวิตที่พวกมันเพิ่งจะฆ่าสังเวยซอมบี้ที่อยู่ข้างๆพวกมัน

     

                รอบข้างพลันปรากฏซอมบี้เดินออกมาจากตรอกและตามอาคารช้าๆไบรอัน ไม่รอช้าเปิดฉากยิงด้วยปืนกลใส่พวกมันทันที เจ้าชุดสูทยืนมองอยู่นิ่งๆอลิซช่วยไบรอันยิงด้วยปืนสั้นของเธอ เจ้าราฟยืนอยู่ระหว่างทั้งสองในมือถือไม้เบสบอลแต่ก็ได้แต่ยืนสั่นท่าเดียว

     

                นอร่าทะยานเข้าไปช่วยพวกพ้องของตนผมวางแคลลงยืนกับพื้น ไม่ต้องบอกเธอก็รู้ว่าเรากำลังโดนล้อมอยู่ เธอคงรู้สึกได้เธอโอบรอบเอวผมแน่น “เจค”  เธอเรียกชื่อผม

    “ไม่มีอะไรต้องกลัวแคล ทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี” ผมดึงมีดด้ามยาวออกจากฝักข้างหลังฟันหัวซอมบี้ที่เข้ามาขาดอย่างง่ายดายก่อนพาแคลไปยืนกลางกลุ่ม

    “ไบรอัน ฝากแคลด้วย” ผมตะโกนบอกไบรอัน ที่เปลี่ยนไปใช้ปืนสั้นแทนยื่นปืนกลไปให้ราฟที่กลายเป็นหน่วยบรรจุกระสุนไปซะแล้ว

    “เดี๋ยวเจค ! นายจะไปไหน” แคลไม่ยอมปล่อยมือผม

    “จะไปจัดการพวกมันน่ะสิ เธอรออยู่ตรงนี้นะ นั่งลงกับพื้นเลยก็ดี” ผมกดตัวเธอลงเบาๆ เธอค่อยๆ นั่งบนพื้นถนนใกล้ๆ กับราฟที่ใส่กระสุนอย่างชำนาญ

    “จะกลับมาใช่มั้ย?” แคลถามเสียงดูเข้มแข็งกว่าเดิม

    “แน่อยู่แล้ว ฝากด้วยนะไบรอัน !”  ผมรับปากเธอก่อนลุกขึ้น ตะโกนบอกกับไบรอันผมเดินออกจากกลุ่มไปเก็บมีดด้ามยาวไว้ข้างหลัง เดินตรงไปหาชายชุดสูทสองคนข้างหน้าพวกมันยิ้มให้ ซอมบี้ข้างตัวพวกมันลุกขึ้นขู่ฟ่อมาทางผม

    “เป็นอะไรไปล่ะ ไม่กล้าเปิดเผยตัวเองต่อหน้าเพื่อนใหม่รึไง”  ไอชุดสูทสีดำคนขวาพูดขึ้นพวกมันสองคนแทบจะไม่ต่างกันเลยทั้งทรงผมและหน้าตา ‘หนึ่งในพวกทดลอง’ผมคิด

    “ก็ไม่รู้สิ”  พูดเสร็จ ผมค่อยๆ ดึงปลายมีดออกจากหัวใจไอ้คนซ้ายช้าๆเลือดสดๆ ค่อยๆ ทะลักออกมา ไอ้ชุดสูทคนที่พูดทำหน้าตกใจกลัวที่อยู่ๆ ผมก็หายตัวมาจัดการเพื่อนตนในพริบตามันผงะถอยหลัง รีบสั่งซอมบี้ข้างกายสองสามตัววิ่งเข้ามาจัดการผม 

     

                ผมตวัดมีดสั้นสองสามทีหัวพวกมันหลุดจากบ่ากลิ้งหลุนๆไปตามพื้นถนน หมอนั่นทำท่ากลัวหนักกว่าเดิมเข้าไปอีก ผมค่อยๆ เดินเข้าไปหามันที่ตัวสั่นด้วยความกลัวราวกับเห็นผมเป็นยมทูตมารับวิญญาณมัน

    “ก็แค่ไม่อยากโชว์บทโหดน่ะ”  ผมพูดสายตาจ้องไปที่เจ้าชุดสูท

     

    ..........

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in