..........
ตอนที่ 22 : ใครกันแน่ที่ถูก
จากชั้นสองของสำนักงานผมมองเห็นลานโล่งตรงข้ามอันที่จริงพวกมันถล่มตึกจนราบ ทำเป็นพื้นสำหรับจอดรถและตั้งค่ายเล็กๆ พวกมันห้าหกคนเดินไปมาโดยที่ซอมบี้ไม่แม้แต่จะสนใจพวกซอมบี้เอาแต่เดินทุลักทุเลขึ้นหลังรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่มีอยู่สามคัน
“ควบคุมซอมบี้ก็ได้แฮะพวกนี้” ผมพูดเมื่อเห็นสภาพข้างล่างคราวนี้พวกมันไม่ได้ใส่ชุดสูทแต่เปลี่ยนเป็นชุดเกราะกันกระสุนอาวุธครบมือเตรียมพร้อมอย่างดีแต่ผมก็ต้องรู้ให้ได้ว่าพวกมันจะขนย้ายพวกซากศพเดินได้นี่ไปทำไม แต่ดูเหมือนว่าอาคารรอบข้างก็ยังมีพวกมันอยู่เหมือนกันเมื่อผมเห็นพวกชุดสูทและพวกติดอาวุธต่างเดินออกมาจากอาคารรอบๆ
ผมเดินลงข้างล่างพลางมองว่ามีพวกมันอยู่รอบๆหรือไม่ เพราะตอนนี้ผมอยู่ใกล้กับพวกมันแค่ฝั่งตรงข้ามเท่านั้น ผมเห็นตรอกเล็กๆ ข้างๆตึกฝั่งที่พวกมันอยู่ ก่อนรีบทะยานข้ามถนนที่เต็มไปด้วยซอมบี้ที่เดินขวักไขว่พวกมันไม่ทันกระทั่งจะรู้สึกว่าผมวิ่งผ่านไปด้วยซ้ำ
ผมเดินตรงเข้าไปในตรอกเห็นประตูเหล็กทางขวาเปิดออก คงเป็นประตูหลัง ชายคนหนึ่งพร้อมอาวุธเดินออกมาและตกใจเมื่อเห็นผมแต่ก็ยังไม่ทันจะได้ทำอะไร ผมฉวยโอกาสพุ่งเข้าไป ใช้มีดแทงใต้คาง ค่อยๆ วางร่างพิงกับกำแพงช้าๆไม่ให้เกิดเสียง แต่ผมก็ได้ยินเสียงคนตะโกนด้วยความตกใจและเห็นพวกมันอีกสองคนอยู่ข้างในอาคารพวกมันกราดกระสุนปืนมายังผมที่ยังไม่ทันจะเข้าประตู
เสียงปืนดังลั่นไปทั่วผมคิดว่าไม่นานพวกมันต้องแห่กันมาแน่ๆ ผมกระโดดไต่กำแพงขึ้นไปบนบันไดหนีไฟข้างๆทุบกระจกหน้าต่างชั้นสองแตกดังเพล้งก่อนมุดเข้าไป มันเป็นห้องนอนเล็กๆ ไม่ใหญ่มากผมได้ยินเสียงฝีเท้าคนดังขึ้นนอกประตูห้องพร้อมกับเงาใต้ประตูเคลื่อนไปมาผมยกปืนขึ้นลั่นกระสุนทะลุบานประตูไม้ไปสองนัด ก่อนหลบฉากออกจากตำแหน่งประตูเมื่อห่ากระสุนระดมยิงเข้ามาบานประตูไม้แตกเป็นเสี่ยงๆ และหลุดล้มตึงลงกับพื้นห้อง
ผมชะโงกหน้าออกไปแวบนึงสังเกตเห็นพวกมันมีแค่สองคนอีกคนล้มลงกับพื้นไปแล้ว จึงรีบฉวยโอกาสตอนที่กำลังเสริมมันยังไม่มาพุ่งออกไปด้วยความเร็วที่มนุษย์ธรรมดาคงยากจะตามทันปักมีดสั้นแทงทะลุเกราะตรงเข้าหัวใจพอดิบพอดี แต่ก็พลาดโดนยิงจากอีกคนนึงเข้าเต็มกลางหลังผมชักมีดออก สะบัดมีดสั้นทะลุเบ้าตาอีกคน
ผมดึงมีดออกจากศพก้มเอาระเบิดจากชุดมันมาติดตัวไว้ เสียงฝีเท้าพวกมันดังขึ้นข้างล่าง ผมหยิบปืนกลขึ้นเตรียมรอยิงอยู่บนหัวบันไดและพวกมันก็วิ่งขึ้นมาจริงๆ ซะด้วย ผมจัดการลั่นกระสุนระเบิดหลังหัวพวกมันไปสองคนร่างพวกมันกลิ้งขลุกๆ ลงบันไดไป ก่อนดึงสลักระเบิดโยนลงไปซ้ำข้างล่างอีกทีเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว ทำเอาพื้นชั้นที่ยืนอยู่เริ่มปริแตก ผมรีบลุกขึ้นถอยออกห่างก่อนที่จะตกลงไปข้างล่าง
ตอนนี้ผมต้องจับพวกมันมาสักคนเพื่อถามให้ได้ว่าพวกมันกำลังจะทำอะไรผมค่อยๆ ก้าวลงขั้นบันได กวาดตามองผ่านม่านควันที่ลอยฟุ้งไปทั่วจากแรงระเบิดข้างล่างเละเทะ ข้าวของแตกหัก มีคราบเลือดนองไปทั่ว ต้องมีสักคนโดนจังๆ แน่ไม่งั้นไม่เป็นอย่างนี้ “แค่กๆ”
ผมได้ยินเสียงไอรีบวิ่งรุดไปยังเสียงทันที หนึ่งในพวกมันนอนจมอยู่ใต้ซากอิฐที่หล่นทับผมยกซากปรักออกจากตัวมัน กลัวว่าจะตายซะก่อน ก่อนย่อตัวลงข้างๆ
“เข้าเรื่องเลยนะ” ผมเริ่มพูด “พวกนายขนพวกตายซากพวกนั้นไปทำไม”ผมถาม
“แปลกนะ ที่พวกนายอยากจะรู้”
“หมายความว่าไง” ผมเริ่มสงสัยสิ่งที่เจ้านี่พูด
“ฉันไม่รู้หรอกนะ ว่าพวกนายเห็นเราเป็นอะไรแต่นายก็รู้ว่าฉันก็เป็นคนธรรมดาๆ พวกฉันก็อยากมีชีวิตที่ดี ไม่ต้องรบราฆ่าฟันฉันจะบอกอะไรให้นะ…” มันพูดไปก็เริ่มกระอักเลือด
“พวกที่เดินตายซากที่พวกนายกำจัดทิ้งแบบไม่คิดชีวิต พวกนั้นก็เป็นคนพวกเราเคลโอจะรักษาพวกเขา พวกนั้นยังหายได้ แล้วพวกนายล่ะตั้งพวกออกไปสร้างเมืองใหม่ นิวเคลโอ รังเกียจพวกเรา ทอดทิ้งพวกเรา” เจ้านี่พูด
“พวกที่ไล่กินเนื้อคนนี่มันตายไปแล้ว...”
“ไม่...ใช่ ไม่ได้ตายพวกเขายังมีชีวิต พวกเขาแค่เป็นโรค โรคที่พวกนายไม่เคยคิดจะรักษา คิดแต่จะกำจัดอย่างเดียว!” หมอนี่ตอบอาการแย่ลงเรื่อยๆ
เมื่อผมได้ฟังสิ่งต่างๆที่พรั่งพรูออกมาจากปากหมอนี่ ทำเอาเรื่องราวในหัวผมตีกันมั่วไปหมดสรุปแล้วใครถูกใครผิด เจ้าผีตายซากพวกนี้ยังไม่ตายหรอกรึ แล้วนี่มันเป็นโรคอะไรกันแล้วผมล่ะ ทำไมถึงมีพลังเหนือมนุษย์ แล้วพวกไต่กำแพงพวกเล็บยาวเฟื้อยไล่สะบั้นคอคน ไหนจะเจ้ายักษ์ตัวเบ้อเริ่มนั่นอีกทั้งหมดมันคืออะไร ทุกสิ่งในหัวทำเอาผมสับสนงุนงงไปหมด
“นายกำลังทำลายพวกพ้องตัวเองจำเอาไว้” ประโยคสุดท้ายที่เจ้านี่พูดก่อนจะสิ้นลม
ผมลุกขึ้นยืนด้วยอาการมึนงงยังมีอะไรที่ปิดบังเราไว้รึเปล่า มีอะไรมั่งที่เรายังไม่รู้ หรือว่าเราโดนหลอกใช้ ผมเริ่มสงสัยไปต่างๆนาๆ
“มันอยู่นั่น !” เสียงพวกมันตะโกนลั่นปลุกผมออกมาจากความสับสนและกลับสู่ปัจจุบัน
ผมเริ่มเห็นเงาคนสามสี่คนเข้ามาทางกำแพงที่โดนแรงระเบิดถล่มราบไปแต่คราวนี้ผมกลับลังเลทำอะไรไม่ถูก “ผมควรฆ่าพวกเขามั้ย?”อยู่ๆ คำถามแรกก็เกิดขึ้นมาแต่ผมก็ตัดสินใจยกอิฐก้อนใหญ่ทุ่มสุดแรงไปยังกลุ่มคนที่กำลังมา จนผมเห็นเงาๆ หนึ่งในพวกมันลอยลิ่วไปนอกอาคารด้วยเสียงร้องที่เจ็บปวด
ผมวิ่งเข้าหาพวกที่เหลือสะบัดแขนปัดเจ้าคนทางซ้ายมือที่วิ่งเข้ามาทางประตูหน้าไปชนเข้ากับกองซากปรักที่ถล่มลงมา-สลบเหมือดก่อนขว้างมีดใส่อีกคนจนไปกระแทกกำแพง-ตายสนิท
“ไม่เจอกันนาน โหดขึ้นรึเปล่าเอ่ย?” ผมหันขวับทันทีเมื่อได้ยินเสียงก่อนหันไปเห็นชายที่ผมยังคงจำได้ เจ้าหมายเลขสี่นั่นเอง มันยืนพิงกำแพงตรอกที่ผมเข้ามาจ้องมองมาทางผม
“…”
“มาสืบว่าพวกเราทำอะไรสินะ” มันว่า
“แล้วจะทำไม” ผมย้อนถาม
“ดูท่าเมื่อกี้นายจะได้คำตอบไปแล้วนะเจค” ฟังจากที่พูดมันต้องรู้ว่าผมถามเจ้านั่นแน่ๆ“แต่ดูนายยังข้องใจอยู่นะ มีอะไรอยากถามฉันเป็นพิเศษรึเปล่า?ฉันยินดีบอกนา” มันพูด
“ถ้าซอมบี้เป็นแค่คนที่ติดโรคที่พวกนายต้องการเอาไปรักษา แล้วพวกร่างทดลองพวกกลายพันธุ์มันคืออะไร?” ผมถาม สายตาจับจ้องท่าทีของมันไว้
“การรักษามันก็มีข้อผิดพลาดกันบ้าง” เจ้าเลขสี่ยักไหล่
“ก็เลยเอาข้อผิดนั่น มาโจมตีคนอื่นน่ะหรอ” ผมย้อนถาม
“เป็นนายจะยอมโดนโจมตีอยู่ฝ่ายเดียวสินะเจค พวกเพื่อนๆ นาย พวกทีมสำรวจนั่นรวมทั้งเมืองบ้านั่นด้วย มันขยายอาณาเขตเรื่อยๆ ฆ่าพวกพ้องพวกเราเป็นผักปลาเป็นนายจะอยู่เฉยรึ” เลขสี่พูดด้วยน้ำเสียงเริ่มฉุน
“แต่พวกนายไม่ใช่รึไงที่เป็นคนทำให้เกิดโรคระบาดบ้าๆ นี่” ผมถามกลับ
“นั่นมันสิ่งที่พวกนายโบ้ยว่าฝ่ายเราทำต่างหากเจค” หมายเลขสี่ตอบกลับทำเอาผมอึ้งกับคำตอบ
“…”
“เจค ทางนั้นเป็นไงบ้าง” เสียงอ๋องดังขึ้นในวิทยุไร้สาย
“กำลังจะกลับ” ผมตอบ
“โฮ่ ~ มาขนาดนี้แล้วยังคิดจะไปไหนอีกรึเจค” หมายเลขสี่พูดผมเริ่มมองรอบด้านทันทีและพบว่ามีพวกมันอยู่ทางหน้าประตูทางเข้าและทางผนังที่พังไปดูท่าจะล้อมอาคารไว้แล้วด้วยซ้ำ
“ก็ไม่คิดว่าจะกลับไปได้ง่ายๆ หรอก” ผมตอบจ้องไปยังหมายเลขสี่ มือแตะมีดข้างเอวเตรียมสู้
“อ๋อง อาจจะไปช้าสักหน่อย ไงก็รอด้วยละกัน” ผมบอกอ๋องผ่านทางวิทยุไร้สาย
..........
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in