……….
ตอนที่ 2 : เริ่มการเดินทาง
“แล้วทำไมต้องทำอย่างนั้นด้วยล่ะ” ผมถาม
“ทุกคนก็เป็นยังงี้กันทั้งนั้นแหละ ก่อนหน้านี้พอรู้ว่าฉันตาบอดก็บอกให้ฉันรอเดี๋ยวจะมารับ แล้วก็พากันหายไปเลย” เธอพูดด้วยน้ำเสียงหดหู่ราวกับว่าไม่มีคนยอมรับในตัวเธอทำเอาผมเงียบไปครู่หนึ่งไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี
“แล้วนี่เธอมาอยู่ในนี้ได้ไง กลุ่มเธออยู่ไหนล่ะ” ผมเปลี่ยนเรื่องคุย
“ผู้ชายสองคนได้มั้งที่อยู่ในห้องกับชั้น เห็นว่ามีตำรวจด้วย แต่ไม่รู้ว่าไปไหนแล้วคงหนีไปกันหมดแล้ว” เธอตอบ
“อันที่จริงทุกคนเค้าไม่ได้ทิ้งเธอหรอก แต่พวกเค้าตายกันหมดแล้วน่ะ”ผมตอบพลางรอดูอาการของเธอว่าจะเป็นยังไง
“ว่าแล้ว ฉันได้ยินเสียงปืนแล้วจู่ๆ ก็เงียบไปซะทุกคน” เธอพูดพลางเอามือคลำๆ ตู้ล็อกเกอร์
“เธอจะทำอะไร” ผมถามเมื่อเห็นการกระทำของเธอ
“หาปืนน่ะสิ อย่างฉันไงก็ต้องตายอยู่แล้ว ตายมันซะเลยไม่ดีกว่ารึไง”
“สิ้นคิดน่า” ผมเดินเข้าไปจับไหล่พร้อมกับกดตัวเธอลงให้นั่งบนม้านั่งหน้าตู้ล็อคเกอร์
“นายจะทำอะไร” เธอถามทำท่าจะลุกขึ้น
“นั่งรออยู่ตรงนี้แหละ เดี๋ยวไปหยิบอาวุธก่อน เอ้า ! นี่ ถ้ากลัวว่าผมจะหนีไปอีกคนล่ะก็ถือเป้ผมไว้เลย”ผมวางเป้ลงบนตักเธอ ก่อนเดินไปยังมุมคลังอาวุธที่ผมเพิ่งเปิดได้เมื่อครู่
“นี่ รู้อะไรมั้ย ที่เธอร้องตอนผมยิงปืนน่ะ ตกใจแทบแย่” ผมแง้มประตูกรงเหล็กออกขณะพูด เธอจะได้ไม่คิดว่าผมหนีไปไหนแล้วทำไมผมถึงทำท่าทีเหมือนจะพาเธอไปด้วยเลยล่ะ ผมครุ่นคิดหาเหตุผลระหว่างมองสารพัดอาวุธมากมายตรงหน้า
“อือ” เธอตอบด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์
“โคตรเมินเลยนี่หว่า” ผมบ่นกับตัวเองเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่เธอตอบ
ผมหยิบเอาซองใส่ปืนพกที่เหน็บตรงต้นขามาใส่กับกางเกงยีนส์ก่อนใส่ปืนสั้นที่หยิบมาจากชั้นเดียวกันลงไปก่อนล็อคไว้ไม่ให้หลุด ข้างล่างของชั้นผมเห็นกระเป๋าใบหนึ่งทรงเหมือนพวกกระเป๋าขนเงินของผู้ร้ายในหนังมันเป็นกระเป๋าเปล่าๆ ไม่มีอะไรข้างใน ผมยัดเอากระสุนปืนพกลงไปสามสี่กล่องตามด้วยระเบิดควัน ระเบิดโจมตีอีกสองสามลูก มีดยาวสำหรับถางป่าที่เก็บไว้ในซองหนังอย่างดีและปืนเอ็มพี7พร้อมกระสุนอีกสี่ห้ากล่อง ทั้งหมดถูกยัดเข้าไปในกระเป๋าใบใหม่ของผม
ผมปิดประตูเหล็กตามเดิมก่อนหันกลับไปดูว่าเธอยังนั่งอยู่ที่เดิมรึเปล่าผมเดินเข้าไปข้างๆ เธอหันหน้ามาตามเสียงที่ได้ยิน
“ฝากไว้แปปนึง อาวุธน่ะ เพื่อได้ใช้” ผมวางกระเป๋าขนเงินทรงยาวสีกรมท่าไว้ข้างตัวเธอ
“นายจะพาฉันไปด้วยจริงๆ หรอ” เธอถาม ขณะที่ผมกำลังลากศพซอมบี้ที่นอนอยู่หลังเสาไปกองแหมะในห้องขังข้างหน้าห้อง
“จริงสิ ไม่เชื่อรึไง” ผมย้อนถามขณะลากศพชายที่มีแผลเหวอะหวะออกไปจากห้อง
“อยู่ดีๆ จะให้ฉันเชื่อคนที่ไม่เคยพบเคยคุยได้ไงล่ะ แล้วถ้านายเกิดทำอะไรฉันขึ้นมาล่ะ”เธอถามเสียงเบาลงเรื่อยๆ เมื่อใกล้จบประโยค
“ฮ่าๆ ผมดูเลวร้ายขนาดนั้นเลยรึไง” ผมถาม เธอเงียบ เมื่อจัดการร่างที่สามซึ่งเป็นร่างสุดท้ายออกจากห้องเป็นอันสำเร็จแต่ผมก็ไม่สามารถจัดการกับคราบเลือดที่นองได้อยู่ดี ข้างนอกมืดสนิท ซึ่งข้างในก็เหมือนกันถ้าผมไม่มีไฟฉายล่ะก็คงทำอะไรไม่ถูกแน่ๆผมปิดประตูเหล็กดัง กึ้ง ! ก่อนล็อคกลอนของมันเพื่อกันอะไรก็ตามที่จะทำอันตรายเราได้
“รู้อะไรมั้ย ผมล่ะกลัวความมืดจริงๆ มองไม่เห็นอะไรซักอย่าง” ผมส่องไฟพลางเดินไปทางม้านั่งที่เธออยู่
“แต่ฉันชินซะแล้วล่ะ” เธอตอบ ยังคงนั่งนิ่งอยู่กับที่ทำเอาผมชะงักเมื่อเพิ่งคิดได้ว่าตนเพิ่งพูดอะไรออกไป
“เอ่อ...หิวมั้ย?” ผมรีบเปลี่ยนเรื่องทันทีก่อนจะเข้าสู่ห้วงดราม่าอีกครั้ง “ขอคืนนะ” ผมหยิบเป้จากตักเธอมาวางข้างๆ ใช้ปากคาบไฟฉายเพื่อส่องแสง บางทีผมน่าจะหาไฟฉายที่มันคาดหัวมาใช้บ้างผมหยิบอาหารกระป๋องขึ้นมาก่อนส่องไฟดู “อ๋า ถั่วหมักนี่นา นี่ก็ผักกาดดอง โชคยังดีที่มีปลากระป๋อง” ผมรู้สึกพลาด เมื่อรีบคว้าเอาๆ ไม่ได้ดูว่ามันเป็นอะไรตัวเองก็ไม่ใช่คนกินผักซะด้วย ยังดีที่คว้าปลากระป๋องมาได้สามประป๋อง
“ดูท่านายจะไม่ชอบกินผักนะ” เธอถามขึ้นเมื่อได้ยินเสียงผมคร่ำครวญตอนควานหาของ
“ใช่เลยล่ะ แล้วเธอล่ะอยากกินอะไร ขนมปังแผ่น ปลา’ป๋องถั่วหมัก ผักกาดดอง…” ผมถาม
“ฉันอยากกินถั่ว” เธอตอบ ผมเปิดฝากระป๋องออกถั่วหมักส่งกลิ่นโชยออกมามันเน่าแล้วหรือว่ากลิ่นมันเป็นแบบนี้ก็ไม่รู้สิ แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมก็กินแต่ของหมดอายุแล้วทั้งนั้นจะไปหาอาหารจากที่ไหนได้ล่ะ ในเมื่อที่ไหนๆ ก็เป็นแบบนี้ แต่รู้สึกร่างกายดูท่าจะปรับตัวให้เข้ากับอาหารหมดอายุพวกนี้ไปซะแล้ว “อ่ะ” ผมยื่นกระป๋องให้พร้อมกับช้อนใส่มือเธอ
“ฉันว่ามันหมักนานไปหน่อยนะ” เธอทำจมูกฟุดฟิดเมื่อถือมันใกล้ๆ ก่อนค่อยๆ ตักเข้าปากช้าๆ
“เป็นไง อร่อยมั้ย” ผมถามเมื่อเห็นเธอกินคำแรกเข้าไป
“ก็ดีกว่าอดตายล่ะ” เธอตอบก่อนตักอีกคำใส่ปาก ผมเลือกกินขนมปังแผ่นไปสองสามแผ่นกะจะเก็บอาหารกระป๋องไว้ก่อน
“เอามานี่ จะเอาไปทิ้งให้” ผมบอกเมื่อเห็นเธอกินเสร็จแล้วผมรับกระป๋องจากเธอก่อนวางมันไว้ปลายตู้ล็อคเกอร์ตู้แรก ก่อนจัดกระเป๋าไว้ชิดริมกำแพงข้างในเพื่อทำเป็นหมอนหนุน
“ขอบคุณนะ สำหรับอาหาร” เธอพูดทั้งๆ ที่หน้าม้าปัดเป๋ของเธอบังไปซะครึ่งหน้าแล้วเธอยกฮู้ดขึ้นคลุมหัวก่อนทิ้งตัวลงนอนไปกับม้านั่งไม้
“อื้อ รีบนอนเถอะ เรายังต้องเดินทางอีกไกล” ผมล้มตัวนอนบนพื้นข้างๆ ม้านั่งที่เธอนอนก่อนปิดไฟฉายวางไว้ข้างตัว
“ทำไมเธอถึงอยากจะพาฉันไปด้วยล่ะ ไม่กลัวว่าเป็นตัวถ่วงหรอ” เธอถาม
“ไม่รู้สิ แต่จะให้ปล่อยไว้ก็ไม่ใช่เรื่องใช่มั้ยล่ะผมว่ามันต้องมีทางรักษาแน่ๆ”
“รักษางั้นเหรอ ที่ไหนมันจะไปมีตอนนี้โลกเป็นแบบนี้เนี่ยนะ”
“นิวเคลโอไง กระจายข่าวไปทั่วว่าเป็นเมืองที่ปลอดภัยมีทุกอย่างพร้อม เทคโนโลยีก้าวหน้ากว่าเดิมอีกว่าแต่ตาเธอเป็นงี้ตั้งแต่เกิดแล้วหรอ” ผมถามด้วยความอยากรู้
“เปล่าหรอก เพิ่งจะเป็นเนี่ย ตอนนั้นหลังจากเคลโอล่มสลายฉันกับครอบครัวก็พากันเก็บข้าวของหนีเอาตัวรอดจากพวกผีบ้าพวกนั้นแต่วันนึงก็เกิดการต่อสู้แย่งข้าวของกัน พวกมันดันผลักฉันไปกระแทกกับพื้นหรือเสา ไม่รู้สิฉันจำไม่ได้ หลังจากนั้นฉันก็มองไม่เห็นอีกเล ” เธออธิบายความเป็นมา
“งั้นเราก็ต้องลองไปดูถึงจะรู้ว่ามันรักษาได้จริงรึเปล่า” ผมบอก
“นั่นสินะ ก็คงต้องลองดู” เธอทวนคำที่ผมเพิ่งพูดไป
“ใช่แล้ว งั้นก็นอนได้แล้ว จะได้มีแรงเดิน” ผมพูด
“ราตรีสวัสดิ์” เธอพูดน้ำเสียงง่วงเต็มทีก่อนพลิกตัวหันเข้าหน้าตู้ล็อคเกอร์ไป
“ฝันดีคับ” ผมตอบกลับ ก่อนจะนอนมองเพดานสีเทามืดคิดอะไรต่างๆ นาๆ ว่าพรุ่งนี้จะทำอย่างไรต่อดี จะพาเธอไปรอดมั้ย แต่คิดได้ไม่นานความเหนื่อยล้าจากการเดินทางตลอดทั้งวันก็เข้าถาโถมเปลือกตาเริ่มหนักขึ้นจนทุกอย่างมืดสนิทลง
เช้าวันต่อมาเสียงเกร้งๆ ของกระป๋องที่ผมนำไปวางไว้ตู้แรกกลิ้งหลุนๆ ไปมาบนพื้นยังไม่อยากจะเชื่อว่าตนนอนกลิ้งลงมาข้างล่างเรื่อยๆ แบบนี้ ห้องนี้มีหน้าต่างเล็กๆเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มันคงเป็นช่องลมซะมากกว่า แต่ก็มีแสงรำไรส่องเข้ามาเป็นเส้นส่องลงมาบนพื้นปูนสะท้อนเข้าไปในกองเลือดสีเข้มจนมันออกโทนสว่างขึ้นเล็กน้อยเมื่อแสงต้อง
ผมลุกขึ้นนั่ง เก็บไฟฉายไว้ในกระเป๋า หยิบมีดถางป่าเล่มยาวออกมาคาดไว้กับเอวแทนมีดทำอาหารที่เก็บไว้เธอยังหลับอยู่และผมก็ยังไม่อยากปลุก เลยตรวจความพร้อมข้าวของให้เสร็จสรรพ ก่อนเอื้อมมือไปเขย่าตัวเธอเบาๆ
“นี่ ตื่นได้แล้ว เราต้องไปอีกไกลรู้มั้ย” ผมปลุกเธอ
“อืมมม ~ ตื่นแล้วๆ”เธองัวเงียก่อนพูดด้วยเสียงที่ยังไม่ตื่นสนิท
“เอ้า ล้างหน้าล้างตาซะหน่อยจะได้สดชื่นขึ้น” ผมยื่นขวดน้ำเปล่าใส่มือเธอ
“ขอบใจ” เธอกล่าวก่อนบิดฝาขวดผมลุกขึ้นสะพายเป้ใส่อาหารพร้อมกับหิ้วเป้ใส่อาวุธอีกหนึ่งใบ
“แล้วนี่นายหาดีแล้วรึยังเผื่อบางทีนายอาจจะเจอไฟฉายในชั้นนั้นก็ได้นะ”เธอถาม
“เดี๋ยวลองหาอีกรอบดูล่ะกัน รอแปปนึง วอร์มร่างกายรอไว้เลย เราจะออกไปลุยกันแล้ว”
และก็จริงอย่างที่เธอว่าผมลองค้นตามชั้นดูเจอกล่องลังที่ข้างในเต็มไปด้วยไฟฉายหลายกระบอก ผมหยิบมาเพิ่มสองกระบอกแล้วแกะถ่านอันอื่นออกมาให้หมดนำมาเก็บไว้ในเป้ผมเดินกลับไปหาเธอตรงม้านั่ง
“พร้อมจะไปรึยัง” ผมถาม
“พร้อมแล้วมั้ง” เธอตอบแบบไม่มั่นใจราวกับยังลังเลกับโลกภายนอกที่ยังไม่ได้สัมผัส
“เอ้อ ! ว่าแต่เธอชื่ออะไรล่ะ จะได้เรียกชื่อ ไม่ต้องเรียกเธอๆนายๆ กันอีก” ผมเพิ่งนึกได้ว่ายังไม่รู้ชื่อเธอและเธอก็ยังไม่รู้ชื่อผมด้วยเหมือนกัน
“ฉันชื่อ แคล นายล่ะ” เธอถามผม ใบหน้ายังอยู่ใต้ฮู้ดเหมือนเดิม
“ผม เจค ในเมื่อรู้แล้วก็ไปกันเถอะ จะได้ไม่เสียเวลา” เธอลุกขึ้น ผมคว้ามือเธอกังวลเล็กน้อยว่าเธอจะไปเดินชนอะไรเข้า ผมค่อยๆ พาเธอเดินออกมาช้าๆก่อนมาหยุดอยู่หน้าประตู ปลดตัวล็อคออก ค่อยๆ แง้มบานประตู เกิดเสียงเหล็กดังเอี๊ยดอ๊าดเบาๆแสงอาทิตย์ส่องลงมาตามขั้นบันไดผ่านห้องขังเป็นทางยาวมาบรรจบตรงห้องที่ผมกับเธออยู่
“อย่าส่งเสียงล่ะ” ผมหันไปบอกเธอที่ร่างกายดูสั่นเล็กน้อย
“อื้อ” เธอเอามือมาจับชายเสื้อข้างหลังผมแน่นทั้งสองมือผมเริ่มตระหนักแล้วว่าจะไปถึง นิวเคลโอกันวันไหนถ้าต้องอยู่สภาพแบบนี้ เดินช้าๆ ไม่ต่างจากพวกซอมบี้ข้างนอก
“เฮ้ออ !” ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อนึก
“เจออะไรหรอ” เธอถามเสียงเริ่มกลัว มือกำชายเสื้อแน่นขึ้นไปอีกจนผมรู้สึกเหมือนใส่เสื้อฟิตๆ อยู่
“เปล่า พอนึกได้ว่ามันอีกไกลกว่าจะถึงก็เหนื่อยน่ะ ข้างหน้าเป็นบันไดนะก้าวระวังๆ ล่ะ” ผมบอกเธอ
“อื้อ” เธอรับคำ ก่อนจะค่อยๆ เดินเกาะหลังผมขึ้นไปชั้นบนของสถานี
..........
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in