..........
ตอนที่ 1 : แรกพบ
ในโลกที่เต็มไปด้วยเหล่าอมนุษย์เช่นพวกซอมบี้ที่หิวกระหายเนื้อสดที่หอมกลิ่นคาวเลือดเหมือนจะเป็นสิ่งเดียวที่พวกมันโหยหาอยู่ตลอดเวลา ผมจำไม่ได้ว่าตัวเองนอนเต็มอิ่มครั้งสุดท้ายเมื่อไรแต่มันคงเป็นไปไม่ได้แล้วสำหรับคนที่ต้องเดินทางอยู่ตลอดเวลาแบบผม ผมเดินทางร่อนเร่แรมปีกับเป้สะพายหลังเก่าๆใบหนึ่งที่ยังใช้งานได้ดีอยู่ ข้างในบรรจุสิ่งของจำเป็นเพื่อเอาตัวรอดในโลกที่เต็มไปด้วยซอมบี้
เมื่อหลายปีได้เกิดโรคระบาดขึ้นในมหานครเคลโอผมไม่ทราบว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ที่จำได้แม่นเลยคืออยู่ๆ เพื่อนห้องเช่าข้างๆผม แกคึกอะไรขึ้นมาไม่รู้ นั่งแทะแมวที่ตัวเองประคบประหงมอย่างดีอย่างเอร็ดอร่อยอีกทั้งยังพยายามจะเข้าจู่โจมผมอีก ผมใช้เวลาร่วมอาทิตย์ขังตัวเองอยู่ในห้องเช่าเล็กๆหาข้าวของมากั้นประตู เปิดโทรทัศน์ดูข่าวตลอดเวลา มันทำให้ผมทราบเหตุการณ์ภายนอกและทำให้ผมปรับตัวกับเหตุการณ์นี้ได้ทัน
ผมทำตามคำแนะนำที่ทางสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งกล่าวไว้อย่างเคร่งครัดซึ่งหลักๆในการเอาตัวรอดก็คือ พยามยามอย่าโดนกัด เพราะนั่นจะทำให้คุณกลายเป็นผีดิบคลั่งขึ้นมาในไม่กี่ชั่วโมงและจุดอ่อนมันคือทำลายระบบประสาทของมันซะแต่ที่ทีวีไม่ได้บอกก็คือต่อให้รู้ก็เถอะแต่จะรอดได้ไงในเมื่อข้างล่างห้องเช่าผมมีพวกมันเป็นร้อยเดินยั้วเยี้ยเต็มไปหมดผมใช้เวลาอีกร่วมเดือนเพื่อออกมาจากเคลโอ ใช้วิธีเดินบนตึกแทนซึ่งนั่นก็ใช่ว่าปลอดภัยซะเมื่อไหร่
ตอนนี้ผมออกเดินทางไปทางตอนใต้เพื่อไปยังเมืองแห่งใหม่ที่ผมรู้จากวิทยุที่ผมบังเอิญไปเจอมันอยู่ในแผงหนังสือริมถนนเข้าเท่าที่ได้ยินจากประกาศที่นั่นดูจะเป็นสถานที่ที่ปลอดเชื้อ ปลอดพวกซอมบี้ที่หิวกระหายอีกทั้งไม่ต้องคอยระแวงอยู่ตลอดเวลาว่าคุณจะโดนทำร้ายเมื่อไร โลกภายนอกตอนนี้ไม่ใช่ว่ามีแต่ซอมบี้ที่จะฆ่าคนยังมีพวกดักปล้นของจากพวกนักเดินทางคนเดียวหรือไม่ก็พวกที่ดูแล้วไม่น่าจะต่อสู้พวกมันได้
ผมปั่นจักรยานเก่าๆ สีเทามีรอยสนิมเกาะกินเกือบจะทั้งคันมันช่วยให้ผมเดินทางได้เร็วขึ้นเยอะโดยที่ไม่เกิดเสียงมากนัก ผมอยู่บนถนนทางหลวงที่เต็มไปด้วยรถรามากมายที่ถูกปล่อยทิ้งร้างเอาไว้ผมเลี้ยวไปมาเพื่อหลีกสิ่งกีดขวางต่างๆ สายตาก็คอยจับตาดูอะไรก็ตามที่เคลื่อนไหวผมจอดแวะบ้างเมื่อเห็นว่ารถบางคันมีสิ่งของที่ผมสามารถใช้ได้ อย่างเมื่อไม่กี่วันก่อนผมดันไปเจอปืนกล็อกอยู่ในเก๊ะข้างคนขับมีกระสุนบรรจุอยู่เต็มแม็กราวกับว่าเจ้าของมัวแต่หนีตายจนลืมทิ้งไว้อย่างน้อยผมก็อุ่นใจขึ้นมาบ้างถึงแม้เอามาก็ไม่ได้ใช้อยู่ดี เพราะเสียงเป็นกระดิ่งเรียกพวกมันชั้นดีเลยล่ะ
ผมลัดเลาะปั่นจักรยานผ่านสุสานรถบนถนนที่ทอดยาวเข้าไปในเมืองเล็กๆข้างหน้า สองข้างทางเต็มไปด้วยอาคารต่างๆ ตั้งเรียงยาวกันไป มีทั้งร้านอาหารร้านขายเครื่องเสียง เครื่องไฟฟ้า ร้านขายยา ร้านกาแฟ แผงลอยตามริมถนนผมหยุดจอดหน้าซุปเปอร์มาเกตกลางเมือง ลากจักรยานมาพิงไว้ที่ประตูทางเข้าก่อนจะก้าวยาวๆ ข้ามเศษกระจกที่แตกกระจายทั่วพื้น ตอนนี้ก็เริ่มมืดเต็มทีผมเข้ามาเพียงเพื่อหาอะไรกินเท่านั้นผมกินขนมปังแผ่นสุดท้ายไปเมื่อเช้านี้และก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยตั้งแต่นั้นมา
“ อาหารแห้งๆ ” ผมบ่นพึมพำพลางส่องไฟฉายหาโซนที่ขายพวกอาหารแห้งก่อนจะพบมันอยู่เป็นแถวสุดท้ายของตัวห้างผมค่อยๆ ย่ำเท้าอย่างระมัดระวังพลางเงี่ยหูฟังเสียงรอบตัวอยู่ตลอดมืออีกข้างที่ไม่ได้ถือไฟฉายก็ถือมีดทำครัวเล่มยาวที่ไปเก็บมาได้เมื่ออาทิตย์ก่อนตอนผ่านร้านอาหารข้างทาง
ผมหยุดกึกเมื่อส่องไฟไปเห็นร่างๆหนึ่งนอนอยู่ข้างหน้า ตอนแรกก็ไม่เอะใจอะไรจนมันค่อยๆ โดนลากเข้าไปทีละนิดๆ พร้อมกับเสียงเหมือนมีการรุมทึ้งร่างสดๆกันอยู่ตรงหน้า ผมค่อยๆ ก้าวถอยหลัง สายตายังจับจ้องข้างหน้าในใจก็นึกเสียดายอาหารที่ตนกำลังจะเข้าไปเอาอีกแค่เอื้อม แต่เนื่องด้วยไม่รู้ว่ามันมีกันเท่าไรจึงไม่อยากเสี่ยง ปึก ! หลังผมไปกระแทกอะไรซักอย่างเข้า
เสียง แฮ่ ! คลอเบาๆ ในลำคออันคุ้นเคยทำให้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าข้างหลังผมคืออะไร
ผมก้มตัวหลบก่อนกระแทกมันล้มลงกับพื้นเสียงดังตุบ ! ตามด้วยเสียง ฉึก !ของมีดที่ปักมิดเข้าไปในเบ้าตาลึกเข้าไปในหัว ผมปาดรอยเลือดเปื้อนๆ บนใบมีดกับเสื้อของมันก่อนหันไปมองซอมบี้อีกสองตัวที่เสร็จจากการกินร่างตรงหน้าเรียบร้อยแล้ว ลุงแก่ๆ หน้าเหวอะหวะในชุดพนักงานทำความสะอาดของห้างวิ่งต้วมเตี้ยมตามมาช้าๆกับอีกตัวข้างๆ ที่คงเป็นเพื่อนร่วมงานกัน
ผมเลี้ยวเข้าขวามือวิ่งผ่านทางยาวที่มีสินค้าตั้งเรียงทั้งสองข้างที่ตอนนี้มันร่อยหรอลงไปบ้างแต่ก็ยังมีเหลืออยู่ประปรายเมื่อสุดปลายทางผมอยู่ข้างหลังของห้างมันเป็นแผงเครื่องแช่ของที่เต็มไปด้วยชั้นวางนมมากมายที่ตอนนี้คงบูดหมดแล้วผมได้กลิ่นเนยเน่าๆ ลอยโชยมาจากชั้น
คงมีตัวอะไรมาแทะแล้วปล่อยทิ้งไว้แน่ๆพวกมันสองคนยังคงเดินตามผมมา ผมออกตัววิ่งไปยังแถวอาหารแห้ง เห็นร่างพนักงานอีกคนนอนแผ่บนพื้นหน้าท้องโดนควักตับไตไส้พุงเกลื่อนออกมากองข้างตัวชุ่มไปด้วยเลือดที่เจิ่งไปทั่วพื้น มันเป็นภาพที่ชินตาไปแล้วสำหรับคนอย่างผมที่ต้องเห็นอะไรแบบนี้มาสองสามปีหาทางเอาตัวรอดไปวันๆ เพื่อจุดประสงค์อะไรบางอย่าง เมืองปลอดเชื้อ? นั่นใช่จุดหมายแล้วเหรอ
ผมสลัดความคิดออกไปจากหัวก่อนคว้าเอาขนมปังแผ่นมาถุงสองถุงยัดลงไปในกระเป๋าอย่างรีบร้อนฝั่งตรงข้ามผมเห็นอาหารกระป๋องที่ยังมีเหลืออยู่ ผมยัดลงไปแบบไม่ได้มองว่ามันคืออะไรก่อนรูดซิปปิดอย่างรวดเร็ว
เสียงขู่ของมันเหมือนกับพยายามขากเสลดเน่าๆออกมา มันดังขึ้นทางซ้ายมือ ผมโยนกระเป๋าอาหารโยนใส่พวกมันจังๆ แต่มันก็ไม่เป็นไรซึ่งผมก็รู้อยู่แล้ว“ เพื่ออะไรวะ” ผมพึมพำกับตัวเองก่อนวิ่งออกมา ลำแสงจากไฟฉายเหวี่ยงไปมาบนผนังผมเร่งฝีเท้าขึ้นอีกผ่านช่องคิดตังฉกเอาลูกอมเมนทอสมาสองแท่งก่อนวิ่งรี่ออกมายืนอยู่นอกประตูตามเดิมผมมองเข้าไปเห็นมันเดินเหวี่ยงแขนไปมามั่วซั่วพยายามผ่านช่องคิดตังแต่มันก็ดันผ่านมาไม่ได้เพียงแค่มีราวกั้นแค่นั้นซึ่งความโง่ของพวกมันเป็นหนึ่งในสิ่งที่ผมชอบที่สุด
ผมขึ้นค่อมจักรยานก่อนทะยานมันออกไปต้องหาที่พักที่ปลอดภัยสำหรับคืนนี้ ดวงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าความมืดกำลังจะปกคลุมไปทั้งเมืองซึ่งผมไม่ค่อยถูกกับความมืดเท่าไรนักไฟฟ้าก็ไม่มี อุปกรณ์อย่างเดียวที่มีแสงสว่างคือไฟฉายกระบอกเดียวเท่านั้นและเป็นสิ่งที่ผมหวงมากๆด้วย เมืองแห่งนี้ร้างผู้คนไปนานแล้ว อีกทั้งซอมบี้ก็น้อยด้วยหรือว่ายังไม่เจอก็ไม่รู้
ปั่นไปซักพักผมเห็นสถานที่ที่คิดว่ามันต้องเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุดเท่าที่ผมเจอในช่วงนี้แน่ๆนั่นก็คือสถานีตำรวจนั่นเอง ผมลงจากจักรยาน ค่อยๆ ลากมันเข้าไปในตัวสถานีจอดไว้หน้าประตูตามเดิม ก่อนจะผลักบานประตูเข้าไปข้างในเปิดไฟฉายส่องไปรอบๆเพื่อหาสิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากผม หรือผมจะเรียกว่าหาสิ่งไม่มีชีวิตดีล่ะในเมื่อพวกมันตายกันแล้วนี่
ที่นี่เป็นสถานีเล็กๆมีพื้นที่ด้านข้างเป็นโรงจอดรถของเจ้าหน้าที่ ตัวอาคารเป็นสีขาวแต่ตอนนี้เริ่มออกสีขาวปนเทาแล้วผมเดินสำรวจในส่วนออฟฟิศซึ่งไม่มีอะไรผิดปกติ ผมเดินเข้าไปลึกขึ้นอีก ผ่านห้องสองสามห้องก่อนจะมาสะดุดตาเข้ากับห้องเก็บหลักฐานผมเปิดประตูห้อง ส่องไฟเข้าไปข้างใน กลับพบว่ามันเป็นแค่ที่เก็บแฟ้มและของกลางมากมายวางเป็นระเบียบเสมือนไม่เคยมีใครเข้าไปยุ่งเลยตลอดหลายปีที่ผ่านมา“ไม่มีชั้นสองแฮะ”การพึมพำกับตัวเองเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผมไม่ลืมการพูดไปผมคิดว่าถ้าผมต้องเดินทางไปไหนมาไหนคนเดียวแล้วไม่พูดบางทีซักวันผมอาจจะนึกคำพูดอะไรไม่ออกเลยก็ได้
ผมเดินมาจนสุดเป็นประตูลูกกรงที่ถูกแง้มเอาไว้มีป้ายโลหะเขียนสีทองไว้ข้างบนว่า สำหรับเจ้าหน้าที่ ผมเปิดมันออกจนสุด เหยียบขั้นบันไดลงไปเสียงเหยียบพื้นดังก้องเบาๆผมเลือกที่จะหยิบมีดที่เหน็บไว้ข้างตัวขึ้นมาถือเพื่อความอุ่นใจ ก่อนก้าวลงไปช้าๆตัวผนังเป็นสีเทาแกมดำเหมือนพวกห้องลับเจ้าหน้าที่ในหนังทั่วไป มันเป็นชั้นใต้ดิน
สิ่งแรกที่เห็นเมื่อก้าวลงมาเหยียบพื้นข้างล่างก็คือร่างเจ้าหน้าที่ตำรวจสองร่างผมส่องไฟไปดูรู้สึกใจชื้นขึ้นมาหน่อยเมื่อรู้ว่าทั้งสองไม่ได้โดนซอมบี้กัดแต่อย่างไรดูเหมือนจะยิงตัวตายเองซะมากกว่าเดินเข้าไปลึกอีกหน่อยเป็นห้องขังข้างละสามห้อง ผมสูดหายใจเข้าช้าๆไม่ทำให้ตัวเองตื่นเต้นจนเกินไป
ผมส่องไล่ดูไปทีละห้องไม่เห็นอะไรจนเกือบช็อกเมื่อเห็นห้องสุดท้ายทางขวามือ ผมส่องไฟเข้าไปในห้องมืดๆแล้วเห็นเงาคนนั่งจ้องมาทางตัวเอง ชายในชุดนักโทษสีส้มดูท่าจะตายพร้อมๆกับสองตำรวจที่พื้น แต่ที่ต้องแปลกใจเมื่อเขาไม่ได้ตายด้วยกระสุนปืนแต่โดนทึ้งเครื่องในออกมาแกว่งเล่นกินลมข้างนอกทำเอาผมเริ่มประสาทกินอีกครั้ง ผมไม่ค่อยชอบเท่าไรเมื่อต้องอยู่ในที่แคบๆผมกลัวว่าจะหนีไม่ทันหรือจะโดนไล่จนมุมได้ง่ายและห้องขังตรงข้ามหมอนี่ก็มีเหมือนกัน แต่เป็นซากศพกองพะเนินถูกเรียงเบียดเสียดเป็นชั้นๆเกือบสิบกว่าคน ซึ่งแต่ละคนนี่ซอมบี้ทั้งนั้น
แฮ่ ! เสียงแหบแห้งลากยาวดังขึ้นผมสะดุ้งรีบหาที่มาของเสียงทันทีก่อนจะเห็นร่างใต้สุดของกองศพกำลังแกว่งมือไปมาอยู่ “ยังไม่ตายอีกหรอเนี่ย”ผมพูดกับมัน ก่อนจะส่องไฟหน้าประตูเหล็กบานข้างหน้าที่ไม่ได้ลงกลอนไว้ผมออกแรงเปิดมากหน่อยเหมือนมันจะฝืดๆ
ของเหลวสีแดงเข้มไหลเจิ่งออกมาเมื่อประตูถูกแง้มออกผมรู้สึกได้เมื่อมันซึมเข้ามาในรองเท้าผ้าใบสีขาวที่ตอนนี้ไม่ค่อยจะเหลือสีขาวเท่าไรนักสภาพข้างในนองไปด้วยเลือดที่คาดว่าน่าจะมาจากร่างไร้วิญญาณของชายที่นอนอยูหน้าประตูนี้แน่ๆเขาไม่ได้ถูกซอมบี้กัดกินแต่เหมือนกับถูกมีดแทงจนตายจมกองเลือดตัวเองมากกว่า มุมซ้ายของห้องเป็นห้องลูกกรงที่ข้างในเต็มไปด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์มากมายที่สถานีตำรวจควรจะมีส่วนทางขวาเป็นตู้ล็อคเกอร์สี่ตู้ตั้งเรียงมีอยู่สี่บล็อก กินพื้นที่ทางขวาห้องไปหมดระหว่างตู้มีม้านั่งเหล็กปูด้วยเบาะเก่าๆ ที่เปื่อยยุ่ยหมดแล้วกลางห้องยังมีศพชายอีกหนึ่งศพนอนจมกองเลือดเหมือนกันแต่คราวนี้มีแผลเหวอะหวะของซอมบี้ก่อนจะเห็นร่างซอมบี้นอนแผ่อยู่หลังเสากลางห้อง
เมื่อเห็นว่าทางสะดวกผมรีบเข้าไปตรวจสิ่งของที่ตนอยากได้ตรงคลังอาวุธทันทีแต่ติดตรงที่ว่าประตูมันล็อกเนี่ยแหละ ทางเดียวที่จะเปิดได้คือยิงแม่กุญแจเท่านั้น
กึ้ง ! กึ้ง ! เสียงบางอย่างดังขึ้น มันดังมาจากแถวๆ ล็อกเกอร์ “ไม่เอาน่า อย่าบอกนะว่าเก็บไว้ในตู้น่ะ” ผมพูดกับตัวเองมักจะเป็นอย่างนี้ทุกครั้งเมื่อเกิดความวิตกกังวล แต่อยู่ๆ เสียงก็เงียบไป ผมละความสนใจจากเสียงนั่นก่อนหยิบปืนออกมาจากกระเป๋าคิดในใจแน่วแน่แล้วว่านี่มันชั้นใต้ดิน เสียงไม่น่าจะขึ้นไปถึงข้างบนหรอกผมยกปืนขึ้นจ่อไปที่แม่กุญแจ หายใจช้าๆ ก่อนลั่นไก
ปัง !
“ กรี๊ดดดดด ! ” เสียงผู้หญิงกรีดร้องดังขึ้นแทบจะทันทีที่ผมเหนี่ยวไกผมรีบหันไปทางตู้ล็อกเกอร์ทันที
“ นั่นใครน่ะ ” ผมถามออกไป เพราะซอมบี้ไม่กรี๊ดแน่ๆ ผมค่อยๆ ก้าวไป ไล่เปิดตู้ล็อกเกอร์จากแถวแรกทีละตู้ไม่มีอะไรนอกจากเสื้อเจ้าหน้าที่ ผมเดินเหยิบขึ้นไปแถวสองไล่เปิดดูก็ยังไม่เจออะไร“ถ้ามีคนอยู่ข้างในก็ออกมาเถอะ ผมไม่ทำร้ายคุณหรอกนะ แค่แวะมาหาอาวุธเฉยๆ”ผมพูดออกไปอีกครั้ง คราวนี้ได้ยินเสียงร่ำไห้เบาๆ ออกมาจากตู้ล็อคเกอร์ในสุดของแถวที่ผมยังไม่ได้ตรวจผมค่อยๆ เดินเข้าไป หยุดอยู่หน้าตู้ ก่อนออกแรงเปิดแต่มันก็มีแรงดึงเอาไว้อยู่
“ นี่ ผมไม่ทำร้ายคุณหรอกนะ สาบานเลยเอ้า ” ผมให้คำสาบานกับเธอ
“ ฉันจะรู้ได้ไงว่านายพูดความจริง ” น้ำเสียงของเธอสั่นเครือเหมือนหวาดกลัวอยู่
“ ไม่รู้สิ แต่ถ้าผมจะทำร้ายคุณผมคงกระชากคุณออกมาแล้วล่ะ ” ผมตอบ ก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบไปอีกครั้งเหมือนกับเธอกำลังคิดว่าจะเอาอย่างไรดีอยู่ ซึ่งผมก็ยืนอยู่กับที่เฉยๆมันเป็นสิ่งดีทีเดียวเมื่อได้เจอกับคนที่ยังเป็นๆ และมีชีวิตในรอบหลายปีที่ผมแทบจะไม่ได้เจอคนเลยนอกจากหน้าปกนิตยสารแผ่นโปสเตอร์ ป้ายโฆษณาตามตัวตึก ผมจึงรู้สึกดีใจ บางทีผมอาจจะได้เพื่อนร่วมทางก็เป็นได้
“ ชั้นจะเปิดแล้วนะ ” เธอพูดขึ้น น้ำเสียงดูมั่นคงกว่าเดิมก่อนประตูล็อคเกอร์จะค่อยๆ แง้มเปิดช้าๆ ผมส่องไฟไปข้างหน้าเห็นผู้หญิงคนหนึ่งใส่เสื้อฮู้ดคลุมหัวตัวเองเอาไว้ผมสีดำยาวกลมกลืนเข้ากับเสื้อฮู้ดสีดำของเธอ
ผมเอื้อมมือออกไปหมายจะดึงเธอให้ลุกขึ้นแต่เธอก็ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองผมซักที
“ ลุกขึ้นสิไม่อึดอัดรึไง ” ผมถาม เธอยังนั่งนิ่งมีเพียงร่างกายที่สั่นเทาเล็กๆในเงามืด
“ นี่ ” ผมเอื้อมมือจะเปิดฮู้ดที่คลุมหัวเธออยู่ออกเธอสั่นหัวช้าๆ แต่ก็ยอมให้ถอดออกแต่โดยดี เผยใบหน้าสีขาวเกือบซีดราวกับไม่ได้โดนแดดมานานแรมปีทรงหน้ารูปไข่ ผมเธอยาวประบ่า มีหน้าม้าปัดข้าง เธอไม่ยอมลืมตามองผม
“ ดึงฉันขึ้นทีสิ ” เธอยื่นแขนขึ้นมาให้ผมดึงเธอออกมาจากตู้แคบๆที่เธอเข้าไปอยู่
ผมดึงเธอขึ้นมายืนอยู่หน้าตู้ตรงหน้าผมพอดีแต่เธอก็ยังไม่ลืมตามองผมอยู่ดี
“ นี่เธอตาบอดรึไง ไม่ลืมตาล่ะ ”
“ ใช่ ชั้นตาบอด ” เธอตอบเสียงห้วน
“….. ”
“ เอ่อ...ผมขอโทษ ” ผมรู้สึกผิดทันทีที่เมื่อกี้พูดออกไปแบบไม่ได้คิด
“ ช่างเหอะ ทีนี้จะเอาไงล่ะ ปล่อยชั้นไว้ตรงนี้แล้วก็เดินกลับออกไปสินะ” เธอถาม
……….
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in