เปรียบราศีสิงห์ - สิงโต
ชีวิตของเด็กแต่ละคนก็เหมือนกับลูกของสิงโต ที่พ่อแม่สิงโตผลักลูกให้ตกเหว แล้วหากใครรอด ก็กลายเป็นเจ้าป่า เพราะการที่เด็กๆต้องเรียนหนังสือทั้งในและนอกระบบ และแข่งขันกันแทบตายนั้น ก็ไม่ต่างจากการที่ลูกสิงโตต้องนำตัวเองให้รอด
เรื่องราวเรื่องนี้เริ่มต้นที่ว่า โกโรที่เป็นภารโรง เปิดสอนหนังสือให้เด็กที่เรียนหนังสือจากโรงเรียนในระบบไม่รู้เรื่อง และเขาเป็นตัวแทนคนหนึ่งที่ทำให้เด็กเหล่านี้ประสบความสำเร็จ จนกระทั่งวันหนึ่งจากห้องเล็กๆที่ใช้สอนหนังสือ (พิเศษ) กลายเป็นห้องใหญ่ๆ และเป็นโรงเรียนกวดวิชาในที่สุด หลังจากที่เขาแต่งงานกับชิอากิ
ทั้งชิอากิและเขาตั้งใจทำงานโรงเรียนกวดวิชา เพื่อจะเเข่งขันกับโรงเรียนในระบบของกระทรวงศึกษาธิการ แต่แล้วบางอย่างก็เกิดขึ้นระหว่างสามี ภรรยาคู่นี้ เมื่อภรรยาตั้งใจที่จะกวดวิชาให้เด็กธรรมดาและเด็กพิเศษ (เรียนไม่เก่ง) อย่างตั้งมั่นที่จะให้ทุกคนสอบเข้าได้ แต่สำหรับโกโรคือต้องการให้เด็กทุกคนได้เรียนหนังสือและรู้จักเลือกชีวิตของตัวเองได้อีกด้วย ดังนั้น ทั้งสองคนถึงจุดแตกหักอย่างจริง จนทำให้ทั้งสองแยกทางกันอยู่ แต่ยังไม่ได้หย่ากัน
เมื่อชิอากิเลือกทางนี้แล้ว ก็ทำให้โรงเรียนกวดวิชาฝั่งตรงข้าม นำจุดอ่อนของชิอากิมาทำร้ายชิอากิ และทำให้พ่อแม่หลายๆคนไม่ปลื้มชิอากิ ชิอากิต้องสู้กับทั้งโรงเรียนกวดวิชาและกระทรวงศึกษาธิการ จนกระทั่งวันหนึ่ง ชิอากิถึงได้รู้ว่า โกโรไม่เคยจากชีวิตเธอไปไหน แถมยังแอบช่วยเหลือเธออยู่ข้างๆอีกด้วย และสุดท้ายเมื่ออุดมคติของโกโรกับความเข้มงวดของชิอากิมาถึงเวลาที่ต้องผสมผสานเข้ากันได้อย่างดี และทำให้เด็กญี่ปุ่นมีทางเลือกของตัวเองได้อย่างดีในที่สุด
เราขอบอกเพื่อนๆว่า เรายังไม่ได้ลงรายละเอียดที่เด็กๆมีต่อกระทรวงศึกษาธิการและโรงเรียนกวดวิชาอย่างไร การแข่งขันที่ทำให้เด็กหลายคนต้องเลือกจบชีวิตตัวเอง หรือทนไม่ไหวแล้ว ก็ยังไม่ได้เล่าให้ฟัง แถมยังมีเรื่องราวของโรงเรียนกวดวิชาที่ทนหนี้สินไม่ไหว และตัดสินใจจบปัญหาด้วยการจบชีวิตตัวเอง
แถมยังมีปัญหาวัยรุ่นที่เด็กรู้สึกสับสน อึดอัด เครียดว่า เด็กควรเลือกทางเดินไหน เพื่อเป็นผู้ใหญ่ที่ดี และผู้ใหญ่จำได้ไหมว่า พวกเราทุกคนเคยเจอปัญหาแบบนี้มา ไม่ว่าจะอยู่ในห้องเลือกสายวิทย์หรือสายศิลป์ดี จะเลือกคณะไหนในมหาลัย เด็กไทยอึดอัดขนาดไหน เด็กญี่ปุ่นอึดอัดและสับสนกว่า เพราะการแข่งขันที่รุนแรง ความกดดันจากพ่อแม่ โรงเรียนและสถาบันกวดวิชา ถาโถมให้เด็กหลายคนเลือกทางผิด แต่เด็กหลายคนก็ผ่านทางเหล่านี้มาได้ได้ ดังนั้น หากเพื่อนๆได้อ่าน จะพบว่า สนุกตั้งแต่ต้นจนจบ และอึดอัด สับสน มากน้อยเพียงไหนกับทางที่จำเป็นต้องเลือกในเส้นทางแห่งการศึกษานี้
ยกตัวอย่างเช่น
“ไม่ว่าดีหรือร้าย เราจะไปตามทางของเรา”
(หมายความว่า ทุกคนย่อมมีทางเลือกของตัวเอง ดังนั้นไม่ว่า เราเลือกทางไหนก็ย่อมต้องยอมรับทางที่เราเลือก ไม่ว่าทางนั้นจะทุกข์หรือสุข แต่หากเราเลือกด้วยสติและสัมปชัญญะแล้ว ก็ย่อมเป็นทางที่ดีที่สุด)
หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ตัดสินใจลองซื้อกับร้านนายอินทร์ แล้วไปรับที่ร้าน ขอบอกว่า คุ้มมาก เพราะหนังสือเล่มนี้ราคาถูกกว่าทุกร้าน และเมื่อไปรับที่ร้านก็ง่ายมาก คือ เพื่อนๆจะได้รับข้อความให้ไปรับหนังสือ และเพื่อนๆค่อยไปรับหนังสือนั้นที่ร้าน และน้องเจ้าหน้าที่ก็จะให้เช็กก่อนว่า โอเคไหม และเมื่อเราโอเค ก็ถือว่า จบค่ะ และเราขอบอกว่า หนังสือเล่มนี้เหมาะกับพ่อแม่ทุกท่านมากค่ะ เพราะพ่อแม่ที่มีลูกกำลังเรียนหนังสือควรอ่านหนังสือเล่มนี้ค่ะ เพราะคุณพ่อคุณแม่จะเข้าใจลูกมากขึ้น และหาทางที่เหมาะสมกับลูกทุกคนได้อย่างแน่นอนค่ะ
เด็กหนอเด็กช่างเป็นผ้าขาวนัก
เด็กประจักษ์พบเจอเรียนหนังสือ
เด็กอยากรู้ว่าเรียนไปเพื่อเธอ
หรือเพื่อคือค้นหาความหมายใด
เด็กยิ่งเรียนก็ยิ่งสับสนยิ่ง
และพบสิ่งสมปรารถนาในใจ
แต่ไม่กล้าที่จะเลือกสิ่งใดได้
พ่อแม่ไม่ให้เลือกเส้นทางเอง
LOOK A BREATHE
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in