กรุ๊ปเรานั่งรถเมล์มาลงที่ป้ายเดิม
พอลงจากรถ เราต่างคนต่างเดินแบบชิวๆ ไม่เร่งรีบ อาจเพราะเราจะอยู่ที่ตรงนี้เป็นคืนสุดท้ายทุกคนเลยจะซึมซับ บรรยากาศให้ได้เยอะที่สุด อะไรประมาณนั้นมั้งนะ ส่วนผมซึ่งตอนนี้ แม้ท้องจะเริ่มร้องบอกว่า…”หิวแล้วเด้อ” แต่ก็ไม่รีบร้อน เดินเอื่อยๆตามน้องๆไป
ผมมองเข้าไปที่ปั๊มมันยังไม่ปิด เลยถ่ายภาพเฟรมสุดท้ายเก็บไว้ เป็นที่ระลึก
กรุ๊ปเราเดินมาซักหน่อย ก็พบว่า....ร้านอาหารเจ้าเดิมที่เราใช้บริการเมื่อวันแรกปิดแล้ว เมื่อพลาดเป้าหมายที่ตั้งใจจะฝากท้อง ผมเลยหันไปปรึกษาน้องๆว่า “เอาไงดี ร้านปิดแล้ว”น้องคนหนึ่งตอบกลับมาว่า….ที่นี่มีแบบสตรีทฟู้ด ริมทาง แบบบ้านเรามั้ยพี่“ไม่น่าจะมีนะ “ ผมตอบออกไป อีกคนถามกลับมา “พี่รู้ได้ไง อ่านรีวิวหรอ”ผมตอบกลับไปว่า “เปล่า เมื่อคืนออกมาเดินดูรอบๆ จนทั่วแล้ว….ไม่มีหรอก แถวนี้มีแต่ผับ ร้านเหล้าไรงี้ “
น้องอีกคนแซวกลับมา“ แหน่ะ แอบไปเกลังมาละซี้”ผมหัวเราะส่ายหน้า “เปล่า มีคนกรนอ่ะ เลยออกมาเดินเล่น”
ทั้งหมดเลยหัวเราะออกมา
พอเราคุยกันถึงเรื่องนี้ผมเลยนึกออกมาว่า… เออ…เมื่อคืนตอนออกมาเดินเล่นเห็นร้านอาหารร้านนึง เป็นร้านแนวให้คนกลางคืนมาฝากท้องก่อนนอน อารมณ์ประมาณร้านข้าวต้มที่มีมิกเซ่อร์ขายอะไรแบบนี้เลยปรึกษาน้องๆว่าไปดีมั้ย อยู่ห่างจากที่ตรงนี้ สองล็อกถนน
น้องๆ ตอบตกลง
(บรรยากาศหน้าร้าน)
เมื่อมาถึงร้านมีคนใช้บริการอยู่ สามสี่โต๊ะ ทุกโต๊ะเป็นนักดื่มที่มากันเป็นคู่ บรรยากาศในร้านเลยดูไม่วุ่นวายมากนักสำหรับผมแล้ว…พอเข้ามาในร้านมันผิดจากภาพเมื่อคืนที่คิดไว้ตอนมองเข้ามาในระยะไกลนิดหน่อย ความจริงแล้วที่นี่ เน้นขายอาหารซีฟู้ด แบบสดๆ จำพวกกุ้ง ปู ปลาหมึก ตัวเป็นๆที่ขังไว้ในตู้กระจก ให้นักดื่มเลือกชี้แล้วนำไปทำอาหารเดี๋ยวนั้นเลย
พอมองไปที่ป้ายราคามันถูกกระดาษปิดทับไว้ ซึ่งผมเดาว่า… ราคาคงจะหนักเลยทีเดียว ผมเริ่มชักจะไม่แน่ใจแล้วล่ะว่าที่แนะนำน้องๆมาร้านนี้ มันจะโอเคหรือเปล่า เมื่อหันไปถามน้องๆ “ว่าเอาไงดี เปลี่ยนร้านไหม” น้องๆตอบกลับมาว่า….”ไม่เป็นไร หิวแล้ว…ขี้เกียจหาร้านอื่น อ่ะพี่”
“ลุยเลยพี่ คืนสุดท้ายแล้ว…แพงหน่อยก็ไม่เป็นไร “อีกคนสำทับ
เมื่อได้คำตอบแบบนี้พวกเราเลยนั่งโต๊ะนอกร้าน(ริมฟุตพาท)ไม่นั่งในร้านตามคำแนะนำ ของพนักงาน ซึ่งจริงๆแล้ว…พวกเราอยากหลบกลิ่นคาวเค็มของอาหารสดในตู้กระจก
พนักงานพยายามแนะนำอาหารซีฟู้ดที่อยู่ในตู้กระจก แต่พวกเราพากันส่ายหัว แล้วหันมาเลือกอาหารจากภาพในเมนูโดยเราตกลงกันว่า…จะสั่งคนละอย่าง มา4 คนก็ได้กับข้าว 4อย่างน่าจะพอดีอิ่ม กรุ๊ปเราดูเมนูอาหาร ประกอบกับราคาที่เขียนไว้ข้างๆ อยู่นานหลายนาทีกว่าจะตกลงเลือกได้
ส่วนตัวผมเลือกอาหารที่เป็นผัก เซฟตัวเองที่สุด ไม่อยากให้ท้องแปรปรวนวันเดินทางกลับ
เมื่ออาหารมาเสิรฟหน้าตาดูน่ากินทุกอย่างเลย ผมซึ่งพยายามบอกน้องพนักงานว่า มีข้าวสวยเป็นโถใหญ่ๆมั้ยจนแล้วจนรอด การสื่อสารภาษาของผมก็ไม่สำเร็จ เราได้ข้าวสวยมาคนละจาน ครบคนเราก็ลงมือ
ลุย!!!!
รสชาตินั้น อร่อยแบบกลางๆ“อาจเพราะสิ่งที่เรากำลังกินไม่ใช่ซิกเนอเจอร์ของร้านนี้มั้ง มันเลยไม่อร่อยที่สุด น้องคนหนึ่งพุดขึ้นมาบนโต๊ะ “ เวลาผ่านไปไม่นาน เราสั่งข้าวสวยมาอีกสองจานในขณะที่ผมกำลังโช้ยข้าวในจานที่2 อย่างเมามัน นอ้งรูมเมทผมก็หันไปพุดกับน้องผู้หญิงร่วมทริป
“เอ้า!!! พี่กินปลิงทะเลด้วยหรอ” น้องผู้หญิงซึ่งกำลังคาบอะไรซักอย่างซึ่งตอนนั้น…ผมมองว่ามันเป็นเห็ดหอม
“ เปล่านะ พี่กลัวปลิง ไม่กินหรอก” น้องผู้หญิงตอบน้องรูมเมทผม
น้องรูมเมทเลยตอบกลับมาว่า…” สิ่งที่พี่กำลังเข้าปากอ่ะ ปลิงทะเล” เท่านั้นแหละ.. ผมซึ่งไม่กินปลิงทะเลเหมือนกัน ร้องในใจ (เก็บอาการ)ชิทหาย…กูแดกเยอะสุดด้วยจานนี้ แง…นึกว่าเห็ดหอมอ่ะ
น้องผู้หญิงที่คาบปลิงทะเลรีบบ้วนสิ่งนั้น ลงพื้นโต๊ะเลย…แล้วหันไปบอกว่า “ แล้วทำไมไม่บอก” น้องรูมเมทผมตอบกลับมาแบบยิ้มๆว่า “เอ้า นึกว่าพี่กิน”
หลังจากนั้นบรรยากาศบนโต๊ะก็เริ่มอึมครึม ความนอยส์ กำลังบังเกิด ผมซึ่ง..ออกอาการแป้วๆแหยงๆในใจอยู่แล้ว เลยเลือกที่จะเก็บอาการ ไม่อยากให้บรรยากาศมันแย่ไปกว่านี้ น้องอีกคนที่ไม่เกี่ยวในเหตุการณ์เลย ชวนทุกคบนโต๊ะคุยเรื่องอื่น
ความอึมครึมที่ว่า...อยู่ได้ไม่นานก็หายไป เพราะความอึ้ง!!!ในราคาอาหารมาแทนที่เมื่อเราสั่งเช็คบิล (แต่ความทรงจำอยู่นาน ตอนเขียนยัง แหยงๆอยู่เลย ฮื้อ ผมกลัวปลิ้งงงงงง)
ราคาอาหารคาบนี้สองพันแปดร้อยกว่าบาท (อาหารสี่อย่าง ข้าว หกถ้วย น้ำเปล่าสอง น้ำแข็งสี่แก้ว) ซึ่งเราสันนิธานในเวลาต่อมาว่า…ราคาที่ติดไว้ นั้นคือราคาต่อขีดหรือต่อกรัมของอาหารทะเลเป็นแน่แท้ ….แง พลาดแล้วเรา
โอ้ย….ชิทหาย แดกปลิงด้วย แพงด้วย ฮื้อ…ผมร้องออกมาเป็นภาษาบ้านเราบนโต๊ะ เอาฮากลบเกลื่อนแล้วก็จ่ายค่าอาหารไป เดินออกมาจากร้านแบบตัวเบาหวิว แล้วหวิวดับเบิ้ลในปากที่กินสิ่งที่ไม่ชอบเข้าไป
ปล.ต้องขออภัยคนที่ชอบกินปลิงทะเลด้วยนะครับนี่เป็นความรู้สึกส่วนบุคคลฮะ
กรุ๊ปเราเดินออกจากร้านแบบอ้อยอิ่ง ทิงนองนอยส์ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาซักประโยคเลย... อาจเพราะเราทั้งสี่อิ่มจนพูดไม่ออก หรือเพราะเราทั้งหมดกำลังเสียดายค่าอาหาร หรืออาจเพราะใครบางคนกำลังนอยส์ไม่หาย ส่วนผมที่เงียบนั้น เพราะกำลังคำนวนรายจ่ายวันต่อไปว่ามันจะพอมั้ย และโกรษตัวเองว่า…ทำไมพลาดเรื่องราคาอาหาร
เราทุกคนเดินทางไปกับความเงียบจนถึงโรงแรม
(บรรยากาศระหว่างเดินกลับโรงแรม)
เมื่อถึงโรงแรมเราตกลงกันว่า เราต้องประชุมกันนิดนึง ถึงโปรแกรมการเดินทางวันสุดท้าย ก่อนแยกย้ายไปพักผ่อน ผมบอกน้องไปตรงๆว่าตั้งใจว่าจะคุยเรื่องนี้ที่บนโต๊ะร้านอาหาร แต่ว่า...บรรยากาศมันมิค่อยดีเลยเดินออกมาก่อนเผื่ออะไรๆ จะดีขึ้น (ซึ่งก็จริง)
น้องๆตอบตกลง
ในเวลาต่อมา….เราประชุมถึงวิธีการเดินทางไปที่ต่างๆในวันพรุ่งนี้ ซึ่งโปรแกรมเปลี่ยนนิดหน่อยตามสภาพเวลาที่เอื้ออำนวย แต่ไม่มาก พร้อมกับถามความต้องการของแต่ละคนว่าอยากไปไหนบ้าง เผื่อจะได้แชร์เวลาการเดินทางไปเก็บสถานที่ที่อยากไป (เก็บ ตามความหมายของกรุ๊ปเราคือการเดินทางไปถึงที่นั่นเด้อ)
เมื่อน้องทุกคนบอกความต้องการออกมาเราก็มานั่งแชร์เส้นทางกันใหม่ หาความเป็นไปได้ ทั้งเส้นทาง และเวลา แต่ก็ต้องมาฮากับความต้องการของผม เมื่อน้องคนหนึ่งถามมาว่า… “พี่ล่ะ อยากไปไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า”
ก่อนที่น้องๆจะฮาผมตอบไปว่า “พี่อยากกินกระยาโท้ส “ น้องๆ ร้องโอ้ย....ออกมาแทบทุกคน แล้วบอกว่าพรุ่งนี้ไปกินที่ไชน่าทวาน์ก็ได้ เรื่องแค่นี้เอง…
“เฮ้...สบายใจละ ได้กินก่อนกลับบ้านแน่ๆ” ผมสัมทับออกไป
เราคุยกันต่อประมาณอีกครึ่งชั่วโมงก็แยกย้ายกันกลับไปพักผ่อน
ก่อนน้องๆออกจากห้อง ผมสร้างข้อตกลงใหม่สำหรับกรุ๊ปเราว่า…”ต่อไปนี้ถ้าใครเห็นส่วนผสมอะไรที่แปลกๆ ในอาหาร ต้องเตือนกันก่อนนะเว้ย.ยยย” น้องๆ ตอบตกลง
เย้…สบายใจละ หลังจากนี้จะได้ไม่ต้องกินปลิงทะเลอีกต่อไป
(อาคารสีชมพู ยามค่ำ ) (ภาพจากกล้องมือถือตัวเอง )
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in