เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรียนหมอชิลมากพอวอ*
ก่อนจะได้เรียนหมอ (จริง ๆ ซะที)
  • ปีที่ฉันสอบ การสอบเข้าคณะแพทย์นั้นมีอยู่สองทางคือการรับตรง คือการจัดสอบโดยตรงของคณะต่าง ๆ และการสอบ กสพท. (ย่อมาจากกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย) ก็เหมือนการสอบรวมของคณะแพทย์ต่าง ๆ ทุกสถาบันในประเทศ มีการเลือกสถาบันไว้ก่อนการสอบโดยจัดเป็นอันดับ 1 2 3 หลังจากผลสอบออกจึงนำคะแนนมาจัดอันดับว่าใครจะติดสถาบันใด โดยการคิดคะแนนนั้นจะนำคะแนนจากการสอบ O-NET, A-NET มาคิด และรวมกับคะแนนจากการสอบพิเศษที่เรียกว่าการสอบความถนัดทางการแพทย์ซึ่งจะเป็นข้อสอบความถนัดส่วนหนึ่ง และข้อสอบเกี่ยวกับความคิด การตัดสินใจ จริยธรรมอีกส่วนหนึ่ง
    ในปีนั้น คณะแพทยศาสตร์ชื่อดังอันดับต้น ๆ ของประเทศแห่งหนึ่ง ได้มีการสอบรับตรงก่อนการเปิดรับของ กสพท. ฉันเองก็ไปสอบกับเขาด้วย และแน่นอน ... สอบไม่ติด (ฮา....) แต่ฉันก็ไม่ได้ย่อท้อ ยังคงสมัครรับตรงของคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยใกล้บ้านไว้ด้วย ซึ่งการรับตรงของมหาวิทยาลัยแห่งนี้จะใช้คะแนน O-NET, A-NET ในการคัดเลือก ฉันจึงได้แต่รอต่อไป
    หลังการสอบและรอผลคะแนน ด้วยความที่กำหนดการประกาศคะแนนนั้นก็แน่นอนซะเหลือเกิน การเลื่อนแล้วเลื่อนอีกของกำหนดการจึงทำให้ฉันพลาดการไปท่องเที่ยวต่างประเทศอย่างที่เคยตั้งใจไว้ เนื่องจากไม่รู้ว่าผลสอบจะออกช่วงที่อยู่ต่างประเทศหรือไม่ และกลัวว่าถ้าผลออกช่วงนั้น และมีกิจกรรมที่ต้องทำทันทีในช่วงนั้นเราจะไม่ทราบข่าวและพลาดมันไป (ช่วงนั้นอินเตอร์เน็ตยังเข้าถึงไม่ง่ายอย่างทุกวันนี้) เนื่องจากไม่มีอะไรให้ทำ ฉันและกลุ่มเพื่อนสนิทช่วง ม.ปลายจำนวนทั้งหมด 8 คนจึงมีนัดรวมกลุ่มแก้ไขโจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์กันเป็นประจำทุกวัน ตั้งแต่ช่วงข่าวเช้า (8.00 น.) จนถึงข่าวเย็น (20.00 น.) นอกจากการนับเลขในกระดาษ หลังจากเวลาผ่านไปช่วงหนึ่งจนเกิดอาการเบื่อ เราก็พัฒนาไปสู่บทความน่าจะเป็นของลูกเต๋า และความน่าจะเป็นของเสือไก่กุ้งน้ำเต้าปูปลาด้วย
    เนื่องจากอยู่ด้วยกันทุกวัน วันที่คะแนน O-NET, A-NET ออก ฉันกับเพื่อน ๆ อีก 7 คนก็ยังอยู่ด้วยกัน ต่างคนต่างเอาคะแนนมาเทียบกัน เพราะอยู่ห้องเดียวกัน เรียนมาด้วยกัน คะแนนจึงเกาะกลุ่มกันโดยไม่หนีกันมาก (นี่เป็นอีกข้อหนึ่งที่อยากแนะนำน้อง ๆ ในช่วงสอบ เพื่อนนับเป็นปัจจัยสำคัญในช่วงเตรียมตัวสอบ เพื่อนที่ดีจะเห็นแก่ประโยชน์และอนาคตของเพื่อน จะชวนกันเรียน ช่วยกันติว อยากเห็นความสำเร็จของเพื่อนไปพร้อม ๆ กับความสำเร็จของตัวเอง #สาระ) 
    คะแนนของฉันนั้น เนื่องจากเป็นคนที่เก่งวิชาสายวิทย์มาก (ประชด) คะแนนวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์จึงต่ำเตี้ยเรี่ยดิน (เอาเป็นว่า ผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำที่คณะแพทย์ที่ฉันสมัครไว้กำหนดมาเพียงแค่คะแนนเดียว) ในขณะที่คะแนนวิชาไทยสังคมนั้นสูงจนได้รับโล่จากสถาบันกวดวิชาแห่งหนึ่ง (โอ้ชีวิต) ดังนั้น ถึงคะแนนวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ที่เอามาคิดเป็นคะแนนหลักจะได้ต่ำเตี้ยขนาดไหน แต่เมื่อเอามารวมกับวิชาไทยสังคมที่พอใช้ได้ คะแนนจึงกระเตื้องขึ้นมาบ้าง (แนะนำน้อง ๆ นิดนึง ถ้าน้องเก่งวิชาสายวิทย์ มันจะดีกับชีวิตน้องมาก เพราะเปอร์เซนต์ที่เอามาคิดคะแนนมันเยอะ แต่ถ้าน้องรู้ แต่มันทำไม่ได้ ก็มาเก็บวิชาไทย สังคม ก็ได้ แต่ขอเน้นว่าภาษาอังกฤษนั้นสำคัญมาก เป็นตัวช่วยชี้เป็นชี้ตายได้เลยทีเดียว #สาระ)
    นอกจากวิชาหลัก วิชาความถนัดทางการแพทย์ก็เป็นส่วนหนึ่งในการคิดคะแนน อย่างที่บอก ฉันเองมีความถนัดในเรื่องที่ไม่ใช่วิชาการอยู่แล้ว (ฮา) คะแนนสอบวิชาความถนัดทางการแพทย์จึงได้ค่อนข้างสูง นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยต่อเติมผลการสอบของฉันให้ดูไม่น่าเกลียดมากนัก

    และแล้ววันนั้นก็มาถึง วันที่ฉันกับเพื่อน ๆ ล้อมวงนับเลขกันอยู่ จู่ ๆ โทรศัพท์มือถือของฉันก็ดัง เพื่อนหรี่เสียงโทรทัศน์ให้ ฉันรับโทรศัพท์ทั้งที่อีกมือถือการ์ดตัวเลขอยู่
    “สวัสดีค่ะ”
    “สวัสดีค่ะ เบอร์โทรของน้อง xxx xxx ใช่มั้ยคะ”
    “ใช่ค่ะ” ฉันตอบ สายตาจดจ่ออยู่ที่ตัวเลขในมือมากกว่าเสียงที่ได้ยินข้างหู 
    “พี่โทรมาจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัย xxx นะคะ จะแจ้งให้น้องเข้ามารับการสอบสัมภาษณ์ในวันที่ xxx รายละเอียดติดตามได้จากเว็บไซต์ของคณะนะคะ”

    .. สะ .. สัมภาษณ์ .. ?!!?
    แปลว่าฉันสอบติด ?

    ฉันรับคำเสียงสั่น ท่ามกลางสายตาที่งุนงงของเพื่อน ๆ ตัวเลขบนการ์ดในมือตอนนี้พร่าเลือน ในหูสะท้อนก้องไปด้วยคำว่าสอบสัมภาษณ์ สอบสัมภาษณ์ สอบสัมภาษณ์ ...
    โทรศัพท์ตัดไป ฉันยังอึ้งอยู่ไม่หาย

    “ใครโทรมาวะ”
    เพื่อนในวงเอ่ยถาม
    ทันใดนั้น ความดีใจที่เกิดขึ้นเพียงไม่กี่นาทีก็ถูกกระชากลงมาด้วยความเป็นจริงในทันที เพื่อนสนิทหกในเจ็ดคนที่นั่งร่วมวงคิดเลขอยู่ด้วยกันนั้นก็ลงสมัครแพทย์ด้วยกัน ถ้ามีโทรศัพท์มาที่ฉัน แต่ไม่มีโทรศัพท์ไปหาเพื่อน ๆ ... เพื่อนจะรู้สึกอย่างไร (อีกหนึ่งคนที่เหลือในกลุ่มนั้นมุ่งมั่นที่จะเรียนสถาปัตย์อยู่แล้ว จึงไม่มีปัญหาอะไร)
    แม้จะลำบากใจที่จะตอบ แต่ฉันก็อ้อมแอ้มตอบไปตามจริง เนื่องจากไม่รู้ว่าจะโกหกว่าอย่างไร และโกหกไปแล้วจะได้อะไร ในเมื่อสุดท้ายเพื่อน ๆ ก็ต้องรู้ความจริงอยู่ดีเพื่อนทุกคนแสดงความยินดีกับฉันอย่างจริงใจ แต่ฉันก็สังเกตได้ว่าวงนับเลขหลังจากนั้นดูเคร่งเครียดขึ้นทันที ต่างคนต่างเอาโทรศัพท์มือถือมาวางไว้ใกล้ตัว เราต่างมีเรื่องช่วยกันลุ้นมากกว่าตัวเลขในมือ
    ในวันนั้น เพื่อนสี่ในหกคนทยอยได้รับโทรศัพท์ และสมาชิกห้าในแปดคนในกลุ่มของฉันก็ได้มาร่วมทุกข์ร่วมสุขกันอีกหกปีในรั้วโรงเรียนแพทย์เดียวกัน
    พอนั่งนึกถึงบรรยากาศวันนั้น ฉันก็นึกขึ้นมาได้ว่ามันเป็นบรรยากาศการรู้ผลสอบที่โคตรจะชิลเลย :)

    ป.ล. สุดท้ายแล้ว คะแนนฉันก็ถึงเกณฑ์เรียนต่อสายศิลป์ทั้งสี่คณะที่ฉันเลือกเอาไว้ในการสอบ O-NET, A-NET แต่เนื่องจากถูกตัดสิทธิ์ไปตั้งแต่วันรายงานตัวของคณะแพทย์ในรอบโควต้าแล้ว ผลการสอบนี้เลยได้มีไว้ให้สุขใจเงียบ ๆ คนเดียวแค่นั้นแหละ
    ป.ล2. เพื่อนอีกสองคนที่ไม่ได้รับโทรศัพท์ในวันนั้น ต่อมาได้เรียนในคณะสัตวแพทย์และเภสัชศาสตร์ และมีความสุขดีกับชีวิต ^_^
    ป.ล.3 #สาระ การคบเพื่อนในช่วงสอบมีความสำคัญมาก สำหรับเรา เพื่อนที่ดีควรช่วยกันเรียน ช่วยกันสอบ ไม่ใช่ชวนกันสำมะเลเทเมา พอเพื่อนไม่ไปก็หาว่าไม่ใจ ไม่รัก รักเพื่อนก็ควรรักเพื่อนให้ถูกทางนะครับ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in