เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรียนหมอชิลมากพอวอ*
ก่อนจะได้เรียนหมอ (2)
  • ปีที่ฉันสอบเข้ามหาวิทยาลัย เป็นปีแรกที่เปลี่ยนระบบจากการสอบเอนทรานซ์มาเป็นระบบ O-NET, A-NET (ปีเดียวกับหนัง Final score) เด็ก ๆ ที่เกิดไม่ทันก็ ทำความเข้าใจนิดนึงนะคะว่าการสอบเอนทรานซ์ในสมัยพระร่วงจะมีสองรอบ คือรอบแรกเลือกคณะไว้ก่อน แล้วก็สอบ หลังรู้คะแนนสอบถ้าไม่ติดรอบแรกก็สามารถเลือกคณะไว้ก่อนการสอบครั้งที่สองได้ เหมือนเรามีโอกาสสองครั้ง และจะได้รู้คะแนนและลำดับชั้นของตัวเองก่อน ใครที่สอบติดตั้งแต่ครั้งแรก (มักเป็นช่วง ม. 6 เทอม 1) หลังจากนั้นก็จะสบาย เทอมสองก็นั่งเล่นกิน ๆ นอน ๆ ได้ไม่ต้องตั้งใจเรียนมากเพราะมีที่เรียนแล้ว เหมือนเป็นชนชั้นอภิสิทธิ์ในโรงเรียน ส่วนใครที่ยังไม่ติดก็ยังต้องก้มหน้าตรากตรำต่อไป
    ส่วนการสอบ O-NET, A-NET ที่เพิ่งเปลี่ยนมาใช้ในปีของฉันนั้น คือมีการสอบรอบเดียวในช่วงเดือนมีนาคม เพราะมีการสอบเพียงรอบเดียวมันจึงเป็นการวัดใจให้เราต้องสำเหนียกตัวเองว่ามีความรู้ความสามารถระดับไหน จะไปฟาดฟันกับชาวบ้านได้หรือไม่ หนังสือเตรียมเอนท์และข้อสอบเก่า ๆ ที่เคยทำเพื่อประเมินความรู้ความสามารถของตัวเองก็ใช้ไม่ได้เลยเพราะไม่รู้ว่าจะเอาคะแนนมาเทียบกับระบบใหม่ได้อย่างไร -- นับว่าเป็นความอับเฉาอย่างแท้จริง
    การเลือกคณะก็เป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง ฉัน -- ที่จิตใจฝักใฝ่สายศิลป์ -- แต่ยังไม่รู้ว่าตัวเองอยากเรียนอะไร ก็เลยสุ่มเลือกคณะสายศิลป์ที่น่าจะโอเคกับตัวเองมาสี่คณะ (เด็ก ๆ ไม่ควรทำอย่างนี้ พี่ขอร้อง การเลือกคณะที่ตัวเองไม่รู้จักดีก็เหมือนการเดินปิดตาเข้าไปในป่า ไม่รู้จะถูกเสือคาบไปกินตอนไหน ลองถามจากรุ่นพี่หรือคนที่ทำงานสายนั้นดูว่าชีวิตการเรียนและการทำงานเป็นอย่างไร เป็นอย่างที่เราคิดไว้มั้ย มีอะไรไม่สวยงามบ้างรึเปล่า เพราะมันเป็นชีวิตของเราทั้งชีวิต เรามีคนอื่นที่เป็นตัวอย่างให้เราอยู่แล้ว ไม่ต้องไปเป็นหนูทดลองเองทั้งหมดก็ได้ #สาระ) หลังจากนั้นชื่อคณะอักษรศาสตร์ นิเทศศาสตร์ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศลอยฟ่องอยู่ในใบสมัครของฉันก่อนที่ฉันจะรู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองอยากเรียนอะไร
    การสอบประกอบด้วยสองวัน วันแรกเป็นการสอบ O-NET และวันที่สองเป็นการสอบ A-NET การสอบ A-NET ก็คล้ายเป็นด่านบอสของการสอบ O-NET นั่นแหละ สิ่งที่ฉันได้จากการสอบครั้งนี้คือการจำเลขบัตรประชาชนตัวเองได้ เพราะว่าต้องฝนลงในกระดาษคำถามและคำตอบทุกวิชาและต้องตรวจทานความถูกต้องอีกอย่างน้อยสองรอบตามประสาคนย้ำคิดย้ำทำ
    นอกจากการสอบในวิชาหลัก ฉันที่ดันลงคณะสายศิลป์ไว้จึงต้องสอบความถนัดทางศิลปะด้วย เป็นการสอบที่ลักลั่นที่สุดในชีวิต มีโจทย์หนึ่งข้อ กับกระดาษร้อยปอนด์หนึ่งแผ่น ให้วาดรูปหรือระบายสีโดยใช้เทคนิคใดก็ได้ ให้เวลาสามชั่วโมง คำว่าเทคนิคใดก็ได้นี่ทำร้ายฉันมาก ฉันใช้เวลาคิดถึงหนึ่งชั่วโมงว่าจะใช้เทคนิคอะไรดี (วะ) เพราะก็อย่างที่บอก ไม่ได้ถนัดอะไรเป็นพิเศษเลย และเมื่อเวลาผ่านไปสามชั่วโมง หมดเวลาทำข้อสอบ ฉันก็ระบายสีไปได้แค่ครึ่งแผ่น ... สวัสดี (ฉันได้คะแนนจากการสอบครั้งนี้ 16 เต็มร้อย วะฮะฮ่า สะใจข้านักแล)

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in