“What good would resistance do? You’re doing no one any good. No one. No one at all”
“If God gives us free will, we're responsible for what we do, what we fail to do, aren't we?”
เนื้อเรื่องเรียบง่ายแต่ทรงพลังมาก เป็นเรื่องที่ดูแล้วได้ตั้งคำถามจริงๆ ว่าคนเราจะซื่อตรงต่ออุดมการณ์และความเชื่อของตัวเองได้ถึงขนาดไหน
A hidden life เล่าเรื่องของชาวนาออสเตรียคนหนึ่ง ผู้ปฏิเสธที่จะจำนนต่อวิถีของนาซี ไม่ยอมก้มหัวให้ฮิตเลอร์ ทว่าเขาไม่ใช่วีรบุรุษแต่อย่างใด เขาไม่ได้ปลุกระดมชาวบ้านให้ลุกขึ้นต่อต้าน ไม่ได้โน้มน้าวคนรอบกายว่าสิ่งใดถูกผิด เขาเพียงแค่ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมสงคราม ไม่รับปฏิบัติหน้าที่ใดๆ ซึ่งเป็นการสนับสนุนนาซี ในขณะเดียวกันก็ไม่ขอรับสวัสดิการใดๆ จากรัฐ แม้ต้องแลกมาด้วยข้อหากบฎ ต้องถูกจับไปทรมานขังคุก ถูกพรากจากภรรยาและลูกเล็กที่รักดั่งดวงใจก็ตาม ที่บอกว่าดูแล้วตั้งคำถาม เพราะเราไม่อาจ sympathize กับตัวละครได้จริงๆ ไม่คิดว่าจะมีความเชื่อที่ศักดิ์สิทธิ์แรงกล้าเท่าเขาได้ แต่การที่เราไม่อาจเข้าใจยิ่งทำให้รู้สึกว่าตัวละครมีมิติที่น่าค้นหาและคอยให้เอาใจช่วยตลอดทั้งเรื่อง
ความแตกต่างของตัวละครนี้กับหนังสงครามเรื่องอื่นคือเขามี “ทางเลือก” เรื่องอื่นตัวเอกต้องดิ้นรนฟันฝ่าอุปสรรคเพื่อเอาตัวรอด ไขว่คว้าไว้ซึ่งความหวังใดๆ ก็ตามที่ยังเหลืออยู่แม้จะริบหรี่เพียงใด หลายเรื่องตัวเอกถูกตัดสินโทษตั้งแต่แรกเริ่มเพียงเพราะความเชื่อทางศาสนา แต่เรื่องนี้ฟรานซ์เลือกที่จะเดินเข้าหาโซ่ตรวนและกุญแจเองเพราะ “I can’t do what I believe is wrong” แค่นั้นเลย รัฐแต่งตั้งทนายมาช่วย เพียงแค่เซ็นเอกสาร ตวัดปากกาครั้งเดียวก็เดินออกจากคุกไปหาครอบครัวที่รักได้ แต่ไม่เลือกอย่างนั้น
ทุกคนตั้งคำถามเขาว่า ‘คิดว่าการกระทำของตัวเองจะเปลี่ยนอะไรได้หรอ ไม่เลยนะ ไม่เลยจริงๆ’ ซึ่งเราก็เห็นด้วยนะ การกระทำของเขาไม่เหมือนวีรบุรุษทางการเมืองตามหนังหรือในโลกแห่งความจริงก็ตาม --ที่ลุกขึ้นต่อกรกับทรราชย์ หวังใช้ความเสียสละของตัวเองปลุกระดมคนอื่นให้ลุกขึ้นสู้ตาม-- เขาแค่ไม่อาจทนไม่ซื่อสัตย์ต่อความเชื่อของตัวเองได้จริงๆ ทุกคนบอกเขาว่า เพียงแค่เธอสรรเสริญฮิตเลอร์ด้วยลมปาก ‘Heil Hitler’ ก็เพียงพอแล้ว ใจเธอเป็นอิสระไม่ต้องปฏิญาณตนต่อเขาก็ได้ การที่เขาหันหลังให้ครอบครัวที่เอ่ยปากว่าต้องการเขา เพราะไม่อาจข่มใจหลอกตัวเองอย่างนั้นได้ ส่วนตัวไม่แน่ใจนะ ว่าจะเรียกฟรานซ์ว่าเป็นคนกล้าหาญหรือคนขี้ขลาดกันแน่ but i’m not here to judge รู้สึกว่าเป็นหนังที่เปิดโอกาสให้พินิจตัวเองในด้านปรัชญาเยอะจริงๆ
นอกจากตัวเนื้อเรื่องแล้ว ฉันชอบภาพ เสียง และการเล่าเรื่องมาก มาดูคำโปรยใน trailer หลังดูจบแล้ว เค้าใช้คำว่า “A movie you enter like a cathedral of senses” รู้สึกว่ามันใช่มาก เป็นความรู้สึกที่ตอนดูหนังอยู่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ แต่มันคือคำนี้เลย มันเปิดโสตประสาทมาก แถมดนตรีประกอบยังให้ความรู้สึก holy เหมือนอยู่ในดินแดนที่แสนศักดิ์สิทธิ์ แค่ซีนแรกที่ได้เห็นหญ้าเขียวขจี หมอกจางที่คลอเคลียขุนเขาสีเทาสลับเข้ม ท้องฟ้าโปร่งสีสด กับเสียงลมที่พลิ้วไหว มันชวนให้รู้สึกว่าเรานอนอยู่บนผืนหญ้าตรงนั้นร่วมกับตัวละครจริงๆ
All in all แนะนำให้ดูนะ รู้สึกว่าไม่ใช่แค่หนัง แต่เป็นประสบการณ์แห่งภาพ สี เสียง ที่ชวนให้พินิจความคิดตัวเองได้เป็นอย่างดี
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in