0. I Am Not A Serial Killer
“I broke my rules.”
จอห์น คลีเวอร์ เด็กชายอายุ 15 เพิ่งถูกจิตแพทย์วินิจฉัยว่าจิตไม่ปกติ หลังจากพบว่าเขารู้สึกอยากฆ่าคน แม้เขาจะไม่รู้สึกเห็นใจเพื่อนมนุษย์เท่าไรนัก แต่เขาก็ไม่อยากเป็นคนไม่ดี ดังนั้นเมื่อในเมืองเกิดเหตุฆาตกรรมต่อเนื่อง เขาจึงลงมือสืบเพื่อยับยั้งไม่ให้เกิดเหตุร้ายอีก
เรื่องนี้สร้างจากหนังสือของ Dan Wells แต่ตัวหนังสนุกดี มีฉากเซอร์ไพรส์ ที่ทำให้เราเหวอแดก อนึ่ง เราชอบโลเคชั่นมาก หิมะตกและอากาศหนาวเหมาะกับเรื่องร้าย ๆ เพราะมันทำให้เรารู้สึกหดหู่กว่าเดิม อีกอย่างน้องที่เล่นเป็นจอห์นคือน้องคนเดียวกับที่เล่นเรื่อง Where The Wild Things Are โตไวมาก ๆ แถมหล่ออีก >_<
9. I Am A Hero
“I swear I’ll protect you.”
หนังซอมบี้สัญชาติญี่ปุ่นที่ระห่ำสุด ๆ เราชอบความแหวะของเรื่องนี้มาก ทำถึงทีเดียว ถ้าดูตอนกินข้าวรับรองว่ากินไม่ลงแน่นอน แม้บางช่วงจะเอื่อยไปบ้าง แต่เราอินความ loser ของฮิเดโอะ ซูซุกิ ตัวเอกของเรื่อง เราว่าทุกคนน่าจะมีโมเมนต์อยากตามความฝันของตัวเองอยู่ใช่ไหม แต่ปรากฏว่ายิ่งโตขึ้นเท่าไร ความฝันก็ยิ่งไกลออกไปเท่านั้น แน่นอนว่ามันทำให้ไฟในตัวมอดลง ขณะที่ฮิเดโอะกำลังท้อแท้ ก็เกิดการระบาดของเชื้อไวรัสทำให้คนที่ติดเชื้อกลายเป็นซอมบี้จาก loser คนหนึ่ง ก็ได้มีบทบาทสำคัญในการช่วยชีวิตคน แม้จะช่วยไว้ได้ทั้งหมด แต่มันก็ปลดล็อก achievement อย่างหนึ่งได้แล้ว มันพิสูจน์ได้ว่าเขาไม่ใช่ loser คนเดิมอีกต่อไป
8. Don’t Breathe
“Just cause he’s blind don’t mean he’s a saint, bro.”
ขาดเรื่องนี้ไม่ได้ไม่ได้เด็ดขาด เราแนะนำมาก ๆ สำหรับใครที่ชอบแนวล่าไปฆ่าไปน่าจะถูกใจเรื่องนี้ไม่น้อย ข้อแตกต่างที่ทำให้เรื่องนี้ไม่เหมือนเรื่องอื่น ๆ คือ ability ของตัวละคร ลุงตาบอดถูกกลุ่มวัยรุ่นปล้นบ้านแทนที่จะเป็นผู้ถูกล่า กลายเป็นผู้ล่าเองส่วนพวกกลุ่มวัยรุ่นกลายเป็นหมูในอวนไปเลย
7. The Invitation
“Forgiveness doesn’t have to wait. I’m free to forgive myself and so are you.”
หนัง slow burn ที่ดีต่อใจแม้เผิน ๆ จะดูเหมือนเป็นปาร์ตี้รียูเนียนธรรมดา ๆ ที่เพื่อนเก่าได้มาพบปะพูดคุยกันแต่มันไม่ธรรมดาเมื่อวิลสัมผัสได้ถึงความแปลกประหลาดบางอย่างของอีเด็นและเดวิดเจ้าของงาน จนเขาไม่แน่ใจว่าเขาประสาทหลอนไปเอง หรือสิ่งที่เขาสัมผัสได้นั้นมีอยู่จริง
เราชอบบรรยากาศในเรื่องมากทั้ง ๆ ที่มันทำให้เรารู้สึกอึดอัด แต่ก็ละสายตาจากจอไม่ได้เรื่องนี้ทำให้เรารู้สึกว่าหนังที่ทำให้ตรึงใจได้ไม่จำเป็นต้องมีตอนจบหักมุมเสมอไป
6. Train To Busan
“Will you stay with me?”
หนังสายซอมบี้วิ่ง อีเวร วิ่ง ไม่ได้แปลกใหม่อะไร เพราะเคยเจอมาแล้วจากเรื่อง 28 Days Later และ World War Z แต่สิ่งที่ทำให้เราชอบมาก ๆๆๆๆ คือ กงยู เอ้ย ไม่ใช่! การหนีซอมบี้ในพื้นที่จำกัดอย่างในรถไฟนั่นเอง มันทำให้เราเห็นความฉลาดในการพยายามเอาชีวิตรอดของตัวละครทั้งวิธีที่เห็นแก่ตัวและเห็นแก่ส่วนรวม ทำให้เราลุ้นจนนั่งไม่ติดเบาะและด่าทออย่างอดไม่ได้ในบางฉาก นอกจากนี้ยังกระตุกต่อมน้ำตาด้วยประเด็นความรักและความเสียสละของเพื่อนมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบครอบครัว เพื่อน หรือแฟน กระทั่งคนแปลกหน้า ซึ่งความเสียสละของมนุษย์เป็นสิ่งเดียวที่แม้แต่พระเจ้าก็กำหนดไม่ได้จริง ๆ
5. The VVitch
“I cannot write my name.”
“I will guide thy hand.”
หนังที่เกี่ยวข้องกับแม่มดมีมากมาย แต่ละเรื่องก็ตีความแตกต่างกันไป แต่เรื่องนี้เป็นการตีความที่เข้าใกล้ความกลัวของเรามากที่สุด (น่ากลัวกว่าโวลเดอมอร์แน่นอน) โดยมีศาสนามาเสริมให้เรารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องใกล้ตัว
ระดับความหลอนเอาเรื่องพอสมควรแม้จะไม่มีฉาก cheap jump scares เพลงประกอบป่าช้าแตกเว่อ และส่วนที่ดีที่สุดคือน้องที่เล่นเป็นโทมาซิน น่ารักและเล่นดีละเกิน
4. 10 Cloverfield Lane
“Crazy is building your ark after the flood has already come.”
มันพีคมาก ๆ เราไม่เคยดูเรื่องอื่นในจักรวาลนี้ แต่มาดูภาคนี้เลย ต้องบอกว่าประทับใจเหลือเกินดู trailer ก็ไม่คิดว่าจะเป็นหนังแบบนี้ซึ่งถือว่าหักมุมหน่อย ๆ หรือเปล่า? เรื่องก็มิเชลโดนจับมาขังในบังเกอร์ของฮาเวิร์ดโดยฮาเวิร์ดให้เหตุผลว่าอากาศข้างนอกเป็นพิษ ซึ่งในบังเกอร์มีเอ็มเม็ตที่เป็นผู้ช่วยของฮาเวิร์ดอยู่ด้วยทั้งมิเชลและเอ็มเม็ตใช้ชีวิตในบังเกอร์พร้อมความเคลือบแคลงใจต่อเหตุการณ์ต่าง ๆภายนอก
เราชอบตัวละครมิเชลมาก ๆ ถ้าดูตั้งแต่ต้นจนจบจะเห็นเลยว่าตัวละครนี้กลมดิกกลมยิ่งกว่าโลก (คือการเปรียบเทียบว่าตัวละครมีมิติ) อีกอย่างคือการจะคิดจะทำอะไรของตัวละครในเรื่องมันเร็วมันกะทันหันไปหมดซึ่งทำให้รู้สึกไม่เบื่อและตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา
3. The Eyes Of My Mother
“But loneliness can do strange things to the mind.”
เมื่อความตายพรากแม่อันเป็นที่รักไปต่อหน้าต่อตาฟรานซิสกา นอกจากทำให้พ่อของเธอแทบไม่เหลือความเป็นคนแล้ว เธอที่อายุยังน้อยจึงต้องหาทางกำจัดความเหงา เพื่อให้ชีวิตกลับมาสดใสอีกครั้งเหมือนตอนที่แม่ยังมีชีวิตอยู่
เรื่องนี้ภาพสวยสุดยอด เป็นหนังที่ทั้งสวยงามและอำมหิต เนื้อเรื่องดำเนินไปเรื่อย ๆ เอื่อย ๆ แต่ทรงพลัง ชัดเจน และเข้าใจง่าย อยากให้ดูเรื่องนี้มากจริง ๆ /เกาะขา
2. Under The Shadow
“They’ll always know how to find you.”
ไม่เคยดูหนังอิหร่านมาก่อนและหนังเรื่องนี้ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีทีเดียว ฉากหลังของเรื่องคือยุค 80s ช่วงที่อิหร่านทำสงครามกับอิรักเพราะเรื่องพรมแดนและนับถือนิกายต่างกัน ซึ่งก่อนหน้าสงครามเพิ่งเกิดการปฏิวัติอิสลาม ชิเดห์ต้องถูกไล่ออกจากการเป็นนักศึกษาแพทย์เพราะเธอเป็นนักเคลื่อนไหวฝ่ายซ้าย ความฝันหนึ่งเดียวที่มีคือการเป็นหมอต้องถูกทำลายลงเพราะความเชื่อของเธอเอง ยิ่งทำให้เธอรู้สึกกดดันมากขึ้นท่ามกลางสังคมอิสลามที่เปลี่ยนไป นอกจากนี้ยังเกิดเรื่องแปลก ๆ เมื่อลูกสาวของเธอเริ่มเห็น “ญิน” (ผีในศาสนาอิสลาม)ในบ้าน บ้านที่เป็นพื้นที่ส่วนตัวก็ไม่เป็นส่วนตัวอีกต่อไป
ในความคิดของเราประเด็นแฝงในเรื่องนี้ทำให้ Under The Shadow ไม่เหมือนหนังผีทั่วไปเพราะตัวละครชิเดห์ล้วน ๆ ความดื้อรั้นและยึดถือความคิดของตัวเองเป็นหลักทำให้ชิเดห์และลูกสาวต้องตกที่นั่งลำบากหลายต่อหลายครั้ง แต่เมื่อความจริงเริ่มปรากฏ ความคิดที่เธอยึดถือมาตลอดจึงสั่นคลอนและกลายเป็นสิ่งที่เธอหวาดกลัวสุดขีด
1. The Wailing
“You saw it with your own eyes?”
“of course I did...”
เรื่องนี้เรายกให้เป็นที่สุดของที่สุดของที่สุดหนังสยองขวัญเลยทีเดียว เรื่องคือเกิดเหตุฆาตกรรมแปลก ๆ ในหมู่บ้านโดยฆาตกรภายหลังจะมีอาการเป็นตุ่มหนองเต็มตัว ซึ่งตำรวจสันนิษฐานว่าเป็นเพราะกินเห็ดพิษเข้าไป จงกู ตำรวจนายหนึ่งจำเป็นต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีนี้ซึ่งนำเขาไปสู่เรื่องสยองขวัญสั่นประสาทที่เขาไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
เนื่องจากเกณฑ์การดูหนังสยองขวัญของเราไม่จำเป็นต้องมีฉากแหวะแบบเลือดเนื้อกระจุยกระจายถึงจะทำให้เรากลัวได้ แต่เราชอบเรื่องนี้ที่ให้ความขนผองสยองเกล้าเหนือกว่าเรื่องอื่น ๆ คือการทำให้เรารู้สึกว่าเรารู้แต่จริง ๆ แล้วเราไม่รู้อะไรเลย (เข้าใจฟีลใช่ไหม) เป็นการหยั่งเชิงกราย ๆ ว่าคุณยังยึดถือความคิดของคุณไปได้ตลอดจนหนังจบหรือไม่โดยที่คุณไม่เปลี่ยนใจไปเสียก่อน หนังโปรยคำใบ้ไว้ตั้งแต่องก์แรกเลยด้วยซ้ำ ถ้าใครช่างสังเกตหน่อยจะเข้าใจเรื่องทั้งหมด แต่ก็อย่างที่เราบอกไปว่าคุณจะยังยึดความคิดนั้นไปได้ตลอดจนหนังจบหรือไม่---
ทั้งหมดนี้คือหนังสยองขวัญที่เราชอบในปี 2016 ใครมีหนังสยองขวัญสนุก ๆ ก็คอมเมนต์แนะนำหรือทักทายกันได้ที่ twitter นะคะ ^_^
เห็นด้วยจริงๆค่ะว่า the vvitch น่ากลัวมากกกก ความเรียลของแม่มดคือมันเรียลจนหลอนจริงๆ ไหนจะซาวด์ประกอบฉากที่บิ้วจนเราหลงไปอยู่ในวังวนแห่งความหลอนโดยไม่รู้ตัว เนื้อเรื่องดูไม่มีอะไรแต่ปาทับจัยมากๆ เล่นกับประเด็นศาสนาได้ดีเจี้ยมม