เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
DAISY x INTERNSHIP2017Call me Daisy.
#TRYPOMELO | สรุปชีวิตฝึกงานโดยสังเขป

  • "กูฝึกงานเสร็จแล้วนะ"

    ประโยคข้างบนเป็นประโยคบอกเล่าที่เราพูดกับเพื่อนๆหลายคนเมื่อวานนี้ เพราะเราได้ฝึกงานเสร็จแล้ว แต่ใจจริงแล้วประโยคที่เราอยากจะพูด(ตะโกน)ออกไปก็คือ

    "กูเป็นอิสระแล้วโว้ย!!!!!!"

    เปล่าหรอก...บริษัทที่เราทำงานมันไม่ได้แย่ขนาดนั้นและชีวิตฝึกงานของเราก็ไม่ได้ทรหดขนาดนั้น เพียงแต่นิสิตตาดำๆคนนี้ยังรู้สึกรักอิสระและยังไม่พร้อมสำหรับชีวิตการทำงานแบบฟูลไทม์แค่นั้นเอง

    พอฝึกงานเสร็จแล้วก็เลยรู้สึกอยากจะทบทวนสองเดือนที่ผ่านมาว่าเราได้เรียนรู้อะไรไปบ้าง เราได้ทำผิดพลาดอะไรไปบ้าง เราพัฒนาขึ้นบ้างไหม และข้อดีข้อเสียของการฝึกงานในครั้งนี้ เลยเป็นที่มาของ "สรุปชีวิตฝึกงานโดยสังเขป" (ที่ไม่รู้ว่าจะสังเขปไหม อาจจะเวิ่นยาวไปเลยก็ได้)


    ในส่วนของการทำงาน

    หลักๆเลยเราได้เรียนรู้การทำทุกอย่างของตำแหน่ง content marketing associate เพราะพี่ๆพยายามให้เราทำครบทุกอย่าง รู้สึกครบเครื่องและรู้สึกขอบคุณพี่ๆที่ทำให้การฝึกงานครั้งนี้มันคุ้มค่า เต็มเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์จริงๆ สิ่งเดียวที่ไม่ได้ทำในตำแหน่งเด็กฝึกงานคือชงกาแฟและถ่ายเอกสาร

    และแม้เราจะบ่นให้คนนั้นคนนี้ฟังบ้างว่าเหนื่อยเพราะงานเยอะ แต่พอกลับมามองดูแล้ว..เราได้เรียนรู้การทำงานของบริษัทแบบไม่กั๊กเลยนะ ได้ลงมือทำหลายอย่าง ได้รับผิดชอบงานใหญ่ๆที่ถ้าทำพลาดคือเสียหายหลายแสนได้เลย (งงเหมือนกัน ทำไมไว้ใจน้องขนาดนี้)

    เราได้เข้าร่วมประชุมใหญ่ๆของบริษัทหลายอัน ทั้งวางแผนการตลาดของเดือนถัดไป คิดแคมเปญละเทรนด์ที่จะใช้โปรโมทเพื่อให้บริษัทได้revenueเยอะที่สุด คิดคอนเท้นว่าต้องเขียนอย่างไรให้ลูกค้าซื้อ คิดหัวข้ออีเมลที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กๆ แต่ต้องคิดให้ลูกค้าเลือกคลิ๊กเปิดอีเมลของเราให้ได้

    ได้คิดว่าวันนี้เราจะไฮไลท์สินค้าตัวไหน โดยต้องเลือกให้เหมาะกับอากาศและเทรนด์ที่กำลังมาในขณะนั้น และต้องเป็นสินค้าที่มีในสต็อกเยอะกว่าห้าสิบตัว ได้ลองใช้platformต่างๆของบริษัทที่เกิดมาไม่เคยได้ยิน (คนโลว์เทคอย่างผมเงิบไปเลยครับ)

    เอาเป็นว่าได้ลองทำหลายอย่างมากๆจนคิดว่าถ้าไปฝึกงานกับบริษัทอื่นคงไม่ได้ทำเยอะขนาดนี้

    และมันทำให้เราได้เรียนรู้ว่าการทำงานเป็นทีมคอนเท้นมันไม่ได้ง่ายอย่างที่เราคิดเลย เบื้องหลังแคปชั่นและรูปสวยๆที่ึคนเห็นในโซเชียลมีเดียนั้นไม่ใช่แค่การโพสรูปส่งๆ คิดแคปชั่นส่งๆเท่านั้น แต่มันเป็นการตลาดที่ต้องคอยเช็คตลอดว่าที่โพสไปนั้นเรียกยอดขายได้มากน้อยแค่ไหน ต้องใช้คำว่าอะไรคนถึงจะซื้อ รูปต้องแนวไหนคนถึงจะชอบ

    เรานึกว่าทีมคอนเท้นมีหน้าที่เขียนภาษาสวยๆเท่านั้น แค่เขียนproduct descriptionแล้วก็เขียนโปรโมทบทโซเชียลมีเดียต่างๆ แต่ทีมคอนเท้นทำมากกว่านั้นมาก เบื้องหน้าที่ทุกคนเห็นมีทีมคอนเท้น(และทีมวิช่วล)เป็นคนรับผิดชอบทั้งนั้น

    และแม้เราจะได้ลองทำทุกอย่างแบบผิวเผิน แต่อย่างที่เรากล่าวไปข้างต้นเราเองก็ได้รับผิดชอบงานใหญ่งานหนึ่งซึ่งก็คือnewsletter emailที่ทุกคนจะได้รับจาก Pomelo (ใช่...เราเป็นคนส่งเอง) เพราะฉะนั้นหากวันไหนอีเมลส่งไปไม่ถึงลูกค้า หรือหากวันไหนลิ้งค์เสีย กดเข้าไปแล้วรูปไม่ขึ้น หรือมีคำที่สะกดผิดหรืออีเมลส่งไปล่าช้า/ผิดวัน ขอให้รู้ว่ามันคือความผิดของข้าพเจ้าเอง

    ...ใหญ่หลวงจริงๆใช่มั้ยคะท่านผู้ชม?

    เราเองก็ไม่ใช่เด็กฝึกงานที่เพอร์เฟคเก่งไปเสียหมดจนไม่ผิดพลาด ไม่ใช่คนเป๊ะที่ทำทุกอย่างได้หมด เพราะข้าพเจ้านั้นไม่ได้ผิดพลาดครั้งเดียวแต่ผิดพลาดไปถึงสองครั้งจนโดนหัวหน้าด่าจนเสียหมาไป (น้องขอโทษ น้องผิดเอง)

    เรื่องของเรื่องคือเราจะมีการคิดหัวข้อสองหัวข้อและส่งไปให้10%ของลูกค้าทั้งหมดเพื่อทำการทดสอบว่าหัวข้อไหนคนให้ความสนใจมากกว่า จากนั้นเราค่อยส่งหัวข้อที่คนเปิดเยอะกว่าไปหาลูกค้าอีก90% ตอนเทสต์10%นี่ไม่มีปัญหาหรอก แต่เราลืมส่งไปให้ลูกค้าอีก90%ไปสองครั้งเพราะเราต้องคอยส่งตอนทุ่มนึงทุกวันซึ่งเราไม่สะดวกเลย(บางทีอยู่ข้างนอก บางทีกินข้าวอยู่ บางทีก็หลับ)

    ก็นั่นแหละฮะ..โดนด่าไปตามระเบียบ

    แต่มันก็ทำให้รู้ว่าเห้ยนี่ชีวิตทำงานแล้วนะ เวลาทำอะไรผิดพลาดแล้วมันกระทบบริษัท มันกระทบกับรายได้ของบริษัทเลยนะ มันไม่ได้กระทบเราคนเดียว เพราะฉะนั้นจะทำอะไรต้องรอบคอบกว่านี้นะ



    ในส่วนของสุขภาพ(กายและจิต)

    อืม..สุขภาพย่ำแย่ลงพอสมควร ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเราบริหารเวลาห่วย(มาก) เพราะเราขี้เกียจเอง(อันนี้ก็ส่วนหนึ่ง) หรือว่าชีวิตฝึกงานมันกินเวลาของเรามากเกินไป

    จากคนที่ไม่กินจุกจิกก็เข้าสู่ลูปการกินขนมขบเคี้ยวทุกครั้งที่ว่าง จากคนที่เข้าฟิตเนสทุกวันกลับต้องไปฟรีซฟิตเนสเพราะไม่มีเวลาไป จากคนที่ได้เดินเทียวไปเทียวมากลับต้องนั่งอยู่กับที่จ้องคอมทั้งวันเป็นเวลานานๆ เพียงแค่สองเดือนเท่านั้น...ออฟฟิศซินโดรมก็มาเยือนซะแล้ว ปวดคอบ่าไหล่แถมสายตาเสีย เห้อ

    สิ่งเดียวที่ทำให้เราไม่เป็นง่อยตายไปซะก่อนคือการเดินไปกลับบริษัททุกวัน ครั้งละ25นาทีโดยประมาณ เดินฟังเพลงไปด้วยชิลๆ (แต่ประเด็นคือเดินผ่านตลาด เลยแวะซื้อของกินตลอด ไอ้ชิบหายเอ๊ย)

    มาพูดถึงสุขภาพจิตกันบ้าง...อันนี้ก็แย่พอกัน

    เราคิดว่ามันน่าจะเป็นเพราะเราเป็นคนไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง เราเลยจะใช้เวลาปรับตัวเข้ากับสถานที่และสถานการณ์ต่างๆได้ช้ากว่าคนทั่วไป และเพราะแบบนั้นแรกๆเราเลยยังรู้สึกว่าเราไม่ belong กับบริษัท รู้สึกไม่ใช่ส่วนหนึ่งและยังจะอึดอัดใจหน่อยๆ

    แต่พอผ่านไปได้สักพักมันก็ดีขึ้นและเราค่อยๆรู้สึกโอเคขึ้นกับความอึดอัดใจนั้น

    ส่วนความเครียดก็มีบ้าง แต่จะให้ตอบว่ามหาลัยกับฝึกงานอันไหนเครียดกว่าก็คงตอบไม่ได้เพราะมันเครียดคนละแบบ อย่างมหาลัยมันเครียดเรื่องเรียน เครียดเรื่องเกรด เครียดเวลาอ่านหนังสือไม่ทัน มันจะเครียดแบบรู้ว่าผิดที่ตัวเอง ขี้เกียจเอง ไม่ตั้งใจเรียนเอง มันเป็นความเครียดที่เกิดจากความทุเรศของตัวเอง

    แต่งานมันเครียดแบบหน่วงๆ บางทีอะไรๆมันก็ควบคุมไม่ได้ เครียดแบบงงๆเพราะบางทีเราก็ไม่ได้ทำอะไรผิดแต่งานมันเยอะจริงๆ มันทำไม่ได้จริงๆ ก็จะเป็นความเครียดอีกแบบหนึ่ง ถือว่าเป็นความแปลกใหม่ในชีวิต


    เออ..เป็นสรุปชีวิตฝึกงานที่ไม่สังเขปจริงๆด้วย ใครอ่านมาถึงตรงนี้ก็ขอซูฮกอ่ะนะครับ ขอบคุณที่สนใจกันจนจบบทความ นี่คงเป็นบันทึกสุดท้ายแล้วใน DaisyxInternship2017 ไว้พบกันใหม่ในบทความอื่นๆเด้อเจ้า

    ด้วยรักจากเดซี่.


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
tarantarn_tarn (@tarantarn_tarn)
เราขอ contact หน่อยได้ไหมคะ อยากสอบถามเพิ่มเติมอะค่ะ
Call me Daisy. (@helloimdaisy)
@tarantarn_tarn สวัสดีค่ะ เราไม่ค่อยได้เข้าบล็อกนี้เลย ยังไงสามารถติดต่อเราได้ที่ทวิต @annannes นะคะ ขอโทษที่ตอบช้าไปมากๆๆเลยค่า ;_;
bean726 (@bean726)
พอดีเรากำลังหางานค่ะ เจอตำแหน่งที่อยากทำในบริษัทนี้พอดี บล็อกของคุณเป็นประโยชน์กับเราในด้านอื่นๆนอกเหนือจากเรื่องงานมากเลย ขอบคุณมากเลยนะคะ
Call me Daisy. (@helloimdaisy)
@bean726 เราเพิ่งได้มาเห็นคอมเม้นนี้หลังจากไม่ได้เข้ามานาน ขอบคุณมากเช่นกันนะคะที่เข้ามาอ่าน และดีใจมากๆที่บล็อกของเราให้ประโยชน์กับคุณ5555 หวังว่าจะสนุกกับการทำงานนะคะ :-)