ทุกอย่างช่างเงียบสงบ
น้อตพบว่าไม่อาจขังตัวเองในห้องพักขนาดสามสิบตารางเมตรได้อีกต่อไป เขารู้สึกเบื่อหน่ายกับความตายที่ผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ด น้องชายของเขาก็เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อสิบวันที่แล้ว ทำให้อาหารที่เขาตุนไว้สำหรับสองสัปดาห์กลับอยู่ได้เกินหนึ่งเดือน การกักตัวเองในบ้านของเขาต้องเลยยืดยาวและเดียวดายเกินที่คาดไว้ตั้งแต่แรก
การสังเกตเข็มวินาทีได้กลายมาเป็นกิจวัตรใหม่ของเขา ในบางครั้ง เขาจินตนาการว่าเข็มยาวนั้นเป็นนักวิ่ง โดยมีขีดเล็กๆ หกสิบเส้นรอบหน้าปัดนาฬิกาเป็นรั้วที่นักวิ่งต้องกระโดดข้าม เขาเฝ้าดูเข็มนาฬิกาแบบนี้ได้นานทีละหลายชั่วโมง
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น น้อตมองดูหน้าจอ มีสัญลักษณ์สีเขียวกะพริบ หมายความว่าผู้โทรเข้ามาได้เปิดระบบระบบหน่วงสัญญานทำงานให้สายนี้ปลอดภัยพอที่จะสนทนาได้แล้ว
“ฮัลโหล นี่เราเอง” เสียงของจอยดังขึ้นจากปลายสาย น้อตตอบกลับด้วยน้ำเสียงเนือยๆ
“มีอะไร” เสียงของเขาถูกกักไว้จนครบสามวินาทีก่อนถูกปล่อยไปถึงหูของจอย และอีกสามวินาทีเช่นกันก่อนที่น้อตจะได้ยินคำตอบ
“เราเบื่อ”
น้อตหัวเราะ “ตอบแบบนี้มันเสี่ยงมากนะ คุณก็รู้ว่าเราไม่สามารถเห็นพ้องกับคุณได้ แม้เราจะมีความรู้สึกที่ไม่ต่างจากคุณไปเท่าไหร่เลย”
“อืมม์ เมื่อไหร่โรคระบาดนี่มันจะหมดๆ ไปซะทีนะ เราแทบจะคุยกับใครไม่ได้เลย”
“เราว่านะ มันคงจะไม่หมดไปจากโลกนี้หรอก และพวกเราก็จะวิวัฒนาการจากสัตว์สังคมกลายเป็นสัตว์ที่หากินกันตามลำพัง”
“อันนี้เราไม่เห็นด้วยนะ” จอยแย้ง ถ้าในเวลาปกติ เสียงของจอยคงแทรกมาตั้งแต่เขายังพูดไม่จบประโยค “ไม่ใช่แกล้งไม่เห็นด้วยเพราะกลัวไอ้โรคระบาดนี้นะ แต่มันเป็นไปไม่ได้หรอก คนเราเกิดมาแบบเป็นสัตว์สังคม ช่วงอายุคนเดียวจะลบลักษณะของเผ่าพันธุ์ไปหมดมันเป็นไปไม่ได้”
น้อตพยายามเลือกคำตอบในประเด็นที่ต่างออกไป ไม่มีใครอยากตายด้วยโรคระบาดที่คร่าชีวิตคนไปแล้วมากกว่าครึ่งโลก มันมีความจำเป็นที่ทุกคนต้องมีความคิดของตัวเอง “เราแค่คิดว่า ในช่วงชีวิตของเรานี่แหละ ที่พวกเราทุกคนจะถูกบังคับให้ตัดขาดจากคนรอบข้างไปจนหมดความสามารถในการมีความสัมพันธ์ ผู้ชายกับผู้หญิงอาจจะยังปิ๊งกันอยู่ แต่การตกลงใจจะมีอะไรกันก็คือการที่หนึ่งในสองคนต้องตาย เด็กที่จะเกิดขึ้นมาได้คงต้องเกิดจากการข่มขืนเท่านั้น และพอรุ่นเราตายมันจะเหลือมนุษย์ในโลกนี้อีกสักเท่าไหร่เชียว”
“บ้าสิ มันต้องมีคนคิดยารักษาได้สิ ปกติน้อตเชื่อมั่นในศักยภาพของวิทยาศาสตร์ไม่ใช่เหรอ ทุกอย่างต้องแก้ไขได้”
“นี่ดีที่คุณกดหน่วงเวลาแล้วนะ ไม่งั้นเราจะนึกว่าคุณคิดจะหลอกฆ่าเราด้วยคำถามแบบนี้” น้อตตอบแค่ปาก แต่ตากลับไปจ้องมองเข็มนาฬิกา อย่างน้อยมันก็ดึงความคิดจากสมองของเขาออกไปทางอื่น “ตอนนี้เราเชื่อว่า ไม่มีใครจะผลิตยาที่ว่านั่นได้หรอก สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ทำได้ คือไอ้เจ้าแอพที่เราใช้อยู่นี้ เพราะมันหน่วงเวลาไม่ให้คลื่นสมองของเราจูนตรงกันได้ แต่มันก็เป็นผลงานของเด็กเนิร์ดๆ สักคนที่นั่งคิดและเขียนโปรแกรมนี้คนเดียว มันถึงช่วยให้คนยังคุยกันได้โดยลดการตายลงไปได้มากขนาดนี้” น้อตหยุดพูดเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ดังลั่นมาจากบ้านตรงกันข้าม
"เดี๋ยวนะ” เขาเปิดเสียงจากลำโพงวางโทรศัพท์ แล้วจึงลุกขึ้นไปดูที่หน้าต่างเด็กหญิงวัยห้าขวบกำลังนั่งร้องไห้ตาแดงก่ำ แม่วัยสาวของเธอนอนนิ่งอยู่กับพื้น
“อะไรนะ” คำถามของจอยดังออกมาจากลำโพงโทรศัพท์
“เด็กบ้านตรงข้ามน่ะ สงสัยแม่เขาเพิ่งตาย” น้อตเดินกลับมาหยิบโทรศัพท์และกดปุ่มให้สัญญานกลับมาออกลำโพงเล็กอีกครั้ง
“น่าสงสาร บ้านนั้นมีใครอีกมั้ย”
“เราก็ไม่รู้ ไม่ได้สนใจ คงไม่มีหรอก”
“แล้วน้องเขาจะอยู่ยังไงล่ะ คุณลองไปถามดูมั้ย”
“บอกแล้วไงว่าไม่สนใจ” น้อตใช้หัวไหล่หนีบเครื่องโทรศัพท์ไว้ มือของเขากำลังเปิดสำรวจดูตู้เย็น “ถ้าคุณอยากรู้ มาถามน้องเขาเองมั้ย เดี๋ยวเราไปหาอาหารแล้วเลยไปรับก็ได้”
เสียงที่ปลายสาย เงียบไปนานกว่าปกติ การหน่วงเวลาสองฝั่งรวมกันก็แค่หกวินาที จอยคงลังเลที่จะพูดอะไรออกมา“
น้อตกลายเป็นคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่” เขาสังเกตความเคร่งขรึมในน้ำเสียงของจอย ไม่แน่ใจว่าควรตอบความจริงออกไปจะเป็นการดีไหม
สำหรับน้อตแล้ว เขารู้ดีว่าสิ่งที่ทุกคนเรียกว่าโรคระบาด จริงๆ แล้วมันเป็นเพียงคำสาบแช่งจากความน้อยใจของเขาเอง การระบาดเริ่มต้นที่ตัวของเขาในวันที่ค้นพบว่า ไม่ว่าตนจะพูดอะไรออกไป ผู้หญิงที่เขารักก็ไม่เคยเข้าใจและมีข้อขัดแย้งกับเขาตลอดมา จนในที่สุด การทะเลาะกันจะเป็นจะตายในวันนั้น จบลงที่เขาตะโกนใส่จอยว่า “เออ ดี ต่อไปนี้ใครจะคิดอะไรก็ไม่ต้องมาเห็นดีเห็นงามกัน กะอีแค่เห็นด้วยจะตายเลยรึไง”
แล้วเขาก็เดินจากมาง่ายๆ อย่างนั้น ในเย็นนั้น การเสียชีวิตอย่างลึกลับก็เริ่มขึ้นจนขยายไปทั่วโลกในเวลาไม่ช้า เริ่มมีคนสังเกตว่า มันเป็นโรคประหลาดที่เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนเฉพาะในเวลาที่มีคนอยู่ตั้งแต่สองคนขึ้นไป และถ้ามีใครมีความเห็นคล้อยตามคู่สนทนา ก็จะเกิดอาการจุกแน่นหน้าอก และขาดใจเสียชีวิตลงในทันที
ช่วงสัปดาห์แรก หน่วยงานด้านสาธารณสุขเริ่มงานวิจัยขึ้นอย่างเร่งด่วน แต่ทีมงานกลับล้มตายลงอย่างรวดเร็ว นักวิจัยที่เหลืออยู่เป็นคนสุดท้ายรีบส่งสรุปงานวิจัยต่อไปยังผู้บริหารที่เกี่ยวข้อง โดยเบื้องต้นระบุข้อสงสัยว่าเป็นการระบาดผ่านการทำงานของคลื่นสมอง และเสนอให้ผู้คนทั่วไปหลีกเลี่ยงการพูดคุยกัน เพราะอาจเกิดการที่คลื่นสมองจะสอดรับกันได้
ในการประชุมรัฐสภาเพื่อทบทวนรายงานดังกล่าว และกำหนดนโยบายให้เจ้าหน้าที่และวางแนวทางปฏิบัติให้ประชาชน สมาชิกรัฐสภาเกือบห้าร้อยคน เสียชีวิตตอนลงมติไปเกือบร้อยละเก้าสิบ และเมื่อนักข่าวนำเรื่องราวนี้มาเล่าในรายการตอนเช้า ประชาชนที่ได้ฟังเกือบครึ่งประเทศ เสียชีวิตพร้อมกันทันที จนทางหัวหน้าสถานี ต้องสั่งยุติการถ่ายทอดสดไปจนกว่าจะมีการค้นพบยารักษา ตั้งแต่นั้นมา ในโทรทัศน์ก็มีแต่รายการข่าวบันทึกเทป ละครหลังข่าวก็ถูกนำกลับมาฉายใหม่ทั้งวัน
ไม่มีใครได้ทำงานอีกต่อไป เพราะต้องรักษาระยะห่างจากการได้เจอกับคนอื่นๆ ร้านค้าพากันปิด แม้แต่โรงพยาบาลก็ไม่มีคนมาทำงาน ผู้คนไปกวาดข้าวของจากร้านสะดวกซื้อที่ไม่มีใครเฝ้าร้าน พอนานวันเข้า ก็ต้องไปหามาจากบ้านที่คนในบ้านล้วนเสียชีวิตไปกันจนหมดแล้ว
ทั้งหมดนี้ น้อตมั่นใจว่า เขาเป็นตัวการของทุกการเสียชีวิตในโลก ถ้ามีคนรู้เข้า คงจะหนีไม่พ้นมีผู้คนมารุมประชาทัณฑ์ถึงบ้านเป็นแน่
แต่ตอนนี้เขาเบื่อ เขาจึงค่อยเล่าให้จอยฟังทั้งหมด ถึงการเชื่อมโยงกันระหว่างการทะเลาะกันของเขาทั้งสองในวันนั้นกับโรคระบาดใหม่นี้
เสียงจอยหัวเราะมาจากปลายสาย “บ้าแล้ว มันจะเป็นไปได้ยังไง”
“คุณไม่ฟังที่เราพูดเลย ลองคิดดูแล้วกันว่าเหตุการณ์มันเหมาะเจาะพอดีกันขนาดไหน”
เสียงที่ปลายสาย เงียบไปนานกว่าปกติอีกครั้ง “แปลว่าน้อตเป็นมนุษย์ที่เลวกว่าที่เราคิดมากเลย เห็นด้วยมั้ย”
คราวนี้น้อตหัวเราะบ้าง “ถ้าคุณคิดอย่างนั้น เราก็ไม่อาจไม่เห็นด้วยกับคุณ”
“อย่างนั้นน้อตก็เป็นคนที่สมควรตายมากกว่าแม่ของเด็กหญิงคนนั้นมากเลย” จอยตอบสวนกลับมาอย่างรวดเร็วจนเขาแปลกใจ เลยเหยียดแขนออกเพื่อจะดูหน้าจอโทรศัพท์ สัญลักษณ์การทำงานของระบบหน่วงเวลาดับไปแล้ว
“นี่คุณเผลอไปปิดแอพหน่วงเวลาหรือเปล่า” น้อตระล่ำระลัก
“ไม่ค่ะ เราไม่ได้เผลอ แต่เราเพิ่งกดปิดมันไปตะกี้นี้เอง” จอยตอบอย่างทันที “และน้อตก็เห็นด้วยกับความคิดของเราแล้ว เราคิดว่าควรจะได้เวลาแล้วที่น้อตจะต้องชดใช้ให้กับทุกคนในโลกที่ต้องมาเสียใครไปจากความงี่เง่าของตัวเอง” จอยหัวเราะแทรกราวกับสิ่งที่ตัวเองพูดนั้นขบขันมากมาย “ตรงนี้ เราก็หวังว่าน้อตจะเห็นด้วยเช่นกัน ฉะนั้น ลาก่อนนะคะ”
น้อตไม่ได้ยินเสียงวางสายของจอย หน้าอกซ้ายของเขามันปวดร้าวราวกับเกิดระเบิดขึ้นจากข้างใน โทรศัพท์หลุดจากมือของเขาเมื่อไหร่ เขาไม่ได้สนใจอีกต่อไปตอนที่เขาล้มลงกระแทกพื้นห้อง
แล้วทุกอย่างในห้องก็เงียบสงบลงอีกครั้ง
ทั้งละแวกนั้น เหลือเพียงเสียงเด็กหญิงที่กำลังกอดศพแม่ร้องไห้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in