เมื่อเทียนกงเส่า มือกระบี่อันดับหนึ่งแห่งยุทธภพและผู้ครองวิชาฝ่ามือเหล็ก ได้จบชีวิตลงอย่างสงบเมื่อหลายปีก่อน กวงโกวเนี้ยเป็นศิษย์หญิงเพียงคนเดียวที่หลงเหลืออยู่ แม้นางจะเพิ่งเข้าสู่ยุทธภพไม่นาน แต่ก็ได้สร้างชื่อเสียงระบือไปทั่วทิศ เพราะนางเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถเอาตัวรอดจากดาบแดงอันอำมหิตของนักฆ่าแซ่ไคมาได้ถึงสองครั้งสองหน
มีข่าวร่ำลือกันว่า แท้จริงแล้ว ผู้แซ่ไค เคยเป็นศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักกระบี่ย่ำนภา ว่ากันว่ามันอาจเป็นถึงหลานชายคนเดียวของเทียนกงเส่า หลายคนถึงกับก่นเสียดายที่เทียนกงเส่าถือเพศพรหมจรรย์ กระทั่งหลานชายยังเก่งกาจปานนี้ หากลูกเป็นลูกในไส้ จักรภพนี้คงสงบเรียบร้อยดี แต่ก็มีบ้างที่เห็นแย้ง อ้างว่าจอมยุทธ์กระบี่แดงแซ่ไค แท้ๆ แล้วสืบเชื้อสายจากวีรบุรุษและวีรสตรีผู้กล้าแห่งยุค แต่ยังมีสันดานต่ำทรามเข้าพวกกับกลุ่มโจรชั่วดีอี้ แถมยังสังหารได้กระทั่งบิดาของตนเอง
หรือแท้จริงแล้ว เลือดยังมิอาจข้นกว่าน้ำ?
ม้าตัวนั้นห้อเป็นระยะทางกว่าหมื่นลี้มิได้หยุดแม้แต่ครั้งเดียว แต่เมื่อออกมาพ้นชายป่าที่เมืองบนเนินริมทะเลแห่งนั้น มันกลับถูกหยุดไว้ราวถูกถ่วงไว้ด้วยตาชั่งพันลี้ มือสีขาวโพลนที่แลดูอ่อนช้อยคู่นั้นรั้งบังเหียนไว้อย่างแรงจนปากของมันแทบฉีกกระจายหากมิอาจหยุดยั้งได้ทัน
หากพ้นจากจุดนี้ไปแม้เพียงก้าวเดียว มิแน่ว่าทั้งม้าและโกวเนี้ยร่างเพรียว อาจหล่นปลิวไปในหน้าผาสูง
กวงโกวเนี้ยขยับตัวลงจากหลังม้า คว้ากระบอกสีดำจากข้างอานม้าขึ้นแนบตาขวาและส่องไปในทะเลกว้าง ในกระบอกสีดำติดตั้งไว้ด้วยกระจกนูนใสทำให้เห็นสิ่งที่อยู่ไกลได้อย่างชัดเจนประหนึ่งจะเอื้อมมือจับได้ สิ่งที่นางเห็นคือซากปรักหักพังของสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่อยู่ห่างจากชายฝั่งไม่ต่ำกว่ายี่สิบลี้ คลื่นทะเลและลมพายุที่บ้าคลั่งพยายามฉีกทำลายโบราณสถานกลางน้ำนี้อย่างย่อท้อ
เสียงฝีเท้าแหวงหญ้ากรอบแกรบดังขึ้นจากข้างหลัง กวงโกวเนี้ยลดกระบอกสีดำลงจากสายตาและยื่นให้บุรษร่างใหญ่ผิวคล้ำที่เดินมาหานาง โดยไม่หันมามอง "เจ้ามาช้า"
บุรุษผิวคล้ำรับกระบอกสีดำไปส่องดู พลางเอ่ยปาก "ปราการลอยน้ำสื่อเยว่ จากสงครามเมื่อก่อนพวกเราเกิด"
"ใช่" กวงโกวเนี้ยกล่าวขรึมๆ "พวกเรามาถึงแล้ว"
ป้อมปราการลอยน้ำสื่อเยว่ เป็นผลงานของแผ่ผาติ๋นฮ่องเต้เมื่อกว่าสามสิบปีก่อน แท้จริงแล้วมันเป็นเรือรบขนาดยักษ์ที่ทรงอาณุภาพเกรียงไกร ที่สามารถแม้แต่การจมเกาะขนาดใหญ่ทั้งเกาะได้ง่ายๆ จนในที่สุดเทียนกงเส่านำพากองเรือเล็กของฝ่ายกบฎบุกมาทำลายจนกลายเป็นซากมหึมาที่แม้แต่คลื่นลมและกาลเวลายังไม่อาจลบมันจากผิวน้ำทะเล ในศึกครั้งนั้น แผ่ผาติ๋นฮ่องเต้เองก็ยังจบชีวิตไปกับป้อมปราการลอยน้ำแห่งนี้
เมื่อสิบวันก่อน กวงโกวเนี้ยและสหายผิวคล้ำ รับคำสั่งจากจอมทัพหญิงหลี่อา ซึ่งนับเป็นม่วยม่วยของเทียนกงเส่า ให้มาเสาะหาซากแห่งนี้ หลี่อาเชื่อว่าในเศษปรักหักพังที่ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ยังมีสิ่งหนึ่งที่กองกำลังขบฎต้องการเพื่อจะรบให้ชนะกับกองทัพของจอมดาบแซ่ไค ที่หลังจากสังหารอ๋องซาโนกได้ จึงตั้งตนเป็นจอมทัพอิสระ
"แล้วเราจะข้ามทะเลนี่ไปถึงป้อมปราการนั่นได้อย่างไร?" ชายร่างคล้ำถาม
กวงโกวเนี้ยไม่ตอบ สายตาของนางกำลังเพ่งมองไปที่ซากเศษไม้ระเกะระกะที่ลอยวนติดโขดหินโสโครกใต้หน้าผา ชายร่างคล้ำเหลือบมองตาม กำลังจะร้องห้ามแต่ก็ไม่ทัน กวงโกวเนี้ยพลิ้วร่างใช้วิชาไต่กำแพงสวรรค์โลดลิ่วลงไปถึงโขดหินเบื้องล่างอย่างรวดเร็ว
กวงโกวเนี้ยเติบโตมาในดินแดนทะเลทราย ต้องหาเลี้ยงตนเองด้วยการเก็บค้นของเก่าไปแลกเงินหรืออาหาร นางรู้พียงชื่อตัวว่ากวง แต่บิดาและมารดาก็ทิ้งนางไปตั้งแต่ยังมิทันรู้ความ นางจึงยังไม่ทันรู้จักแม้กระทั่งแซ่ของตนเอง
นางเคยใฝ่ฝันว่าจริงๆ แล้วบิดาและมารดาอาจจะเป็นผู้สูงศักดิ์ แต่เมื่ือมีคนบอกว่าบิดาและมารดาของนางก็เป็นเพียงคนเก็บของเก่าเช่นเดียวกับนาง ซึ่งทำให้กวงโกวเนี้ยผิดหวังถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับอยู่หลายเดือน แต่การได้เข้าสำนักกระบี่ย่ำนภาก็ทำให้นางรู้สึกว่าตนเองสงบลง และทุ่มเทฝึกปรือวิทยายุทธเพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับตนเองและจะได้ตามหาบิดามารดา
ในทะเลทราย นางชอบขึ้นไปเล่นบนเนินทราย และนั่งลงบนกระดานไม้ให้ไถลลงมาจากเนินสูง แต่เวลานี้นางใช้วิชาเท้าพันชั่งเหยียบมั่นคงอยู่บนแผ่นไม้กระดานผุ ส่วนสองมืออยู่ในท่านางแอ่นถลาลม ควบคุมทิศทางของนางไปจนลุถึงซากป้อมปราการกลางน้ำในเวลาเพียงชั่วอึดใจ วิทยายุทธที่หมดจดงดงามเช่นนี้ บุรุษผิวคล้ำได้แค่มองจากบนหน้าผาด้วยสีหน้าวิตกกังวลในตัวสหายรัก
"กวงโกวเนี้ย ข้าอยากบอกเจ้าเหลือเกินว่า ..." มันหยุดพูดกลางคัน ข้อเท็จจริงบางเรื่อง แม้จะสำคัญแต่ก็มิอาจกล่าวออกไปได้ แม้มิอาจพูด แต่ก็มิอาจไม่พูดออกไป มันหวังว่าวันหนึ่งจะได้บอกกับกวงโกวเนี้ยต่อหน้า แต่ในยุทธภพที่วุ่นวาย มันเพียงไม่รู้ว่า วันพรุ่งนี้จะมาถึงหรือไม่สำหรับมันหรือกวงโกวเนี้ย
ในซากอัปปางที่เอียงกะเท่เร่ของป้อมปราการสื่อเยว่ กวงโกวเนี้ยใช้วิชาไต่บันไดสวรรค์ปืนป่ายขึ้่นไป ไม่มีใครบอกได้ว่า ด้านใดเคยเป็นผนัง เป็นพื้น หรือเป็นเพดาน ดีที่นางมีพื้นฐานดีเยี่ยมตั้งแต่สมัยเด็ก และยังได้รับสืบทอดวิชาจากเจ้าสำนักย่ำนภา จึงพัฒนาวิชาตัวเบาชั้นเลิศ แม้แผ่นไม้ที่เหยียบย่ำลงไปจะผุร่อนแค่ไหน แต่ทันทีที่ปลายเท้าของนางสัมผัสลง ร่างของนางก็ดีดตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่ไม้แต่ละแผ่นจะหักพังตกลงไปในทะเลบ้าที่อยู่ภายล่าง
ชั่วไม่ถึงน้ำชาหนึ่งถ้วย นางก็พบตัวเองอยู่ในสิ่งที่อาจจะเคยเป็นโถงบัญชาการรบ ที่นี่ แผ่ผาติ๋นฮ่องเต้ชราได้รบกับเทียนกงเส่าในวัยหนุ่มอย่างดุเดือด ก่อนจะพลั้งเผลอถูกเทียนกงเส่าใช้วิชาจับทุ่มภูผา เหวี่ยงแผ่ผาติ๋นจมหายไปในท้องทะเล และกลายเป็นตำนานสืบทอดมาในยุทธภพ
กวงโกวเนี้ยสำรวจรอบๆ โถงใหญ่ ที่สุดปลายของมันยังเห็นกรอบรูปเขียนเก่าแก่เกาะติดกับผนังอยู่แนบแน่น นางมั่นใจว่านี่คือสิ่งที่จอมทัพหญิงหลี่อาสั่งให้นางมารับไป แต่ขณะที่นางกำลังมองหาเส้นทางที่พอจะเดินไปยังกรอบรูปดังกล่าวนั้นเอง กระบี่สีแดงกลับฟันทะลุกรอบภาพนั้นออกมา
"ซือเฮีย ท่านมาแล้ว?""ซือม่วย เจ้าสบาย?""ท่านกล้าถาม?""เจ้าเป็นคนเดียวที่ข้ายอมมอบความจริงใจให้ และก็เป็นคนเดียวที่ยอมปฏิเสธข้าต่อหน้า เจ้าคิดว่าข้าควรทำอย่างไร""ท่านควรพิจารณาเส้นทางที่ตัวเองเลือกด้วยจิตบริสุทธิ์ ควรแล้วหรือที่ยอดฝีมือผู้สืบเชื้อสายวีรชนอย่างท่านจะมาเดินในทางทุรชน มารดาของท่านเป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่ที่รักความเป็นธรรม""อ๋านปากง ผู้เป็นไว่กงของข้า คือวายร้ายอันเป็นที่เกรงขามไปทั่วยุทธภพ แม่นางโปรดอย่าลืม" "ใช่ แต่ในนาทีอันวิกฤต อ๋านปากงถึงกับยอมสละชีพเพื่อยื่นมือเข้าช่วยเทียนกงเส่าจากอาวุธลับของแผ่ผาติ๋น ท่านพึงเลือกได้ว่าจะสืบทอดวีรกรรมเสี้ยวไหนของไว่กงท่าน""ใช่ ข้าเลือกแล้ว นามของข้าเวลานี้คือ อ๋านไคอ๋อง" มันจรดกระบี่แดงขึ้นในท่าเตรียมพร้อม "เพลงกระบี่ย่ำนภาที่ฝึกมาอย่างครึ่งๆ กลางๆ ของเจ้า และกองทัพกระจอกงอกง่อยของหลี่อา ไม่มีทางทำอะไรข้าได้"
มันมองหน้ากวงโกวเนี้ยแลแอบถอนหายใจเบาๆ "แต่เจ้ายังมาร่วมกับข้าได้ ข้างกายข้ายังต้องการให้เจ้ามาร่วมครองความย่ิงใหญ่นิรันดร์กับข้า"
"ซือเฮีย โปรดอย่าบีบบังคับข้าเช่นนั้น" กวงโกวเนี้ยชักกระบี่ข้างเอวออกจากฝัก ประกายสีฟ้าฉายแววชัด มันคือกระบี่วิเศษคู่มือของเทียนกงเส่าในอดีต "ซือม่วย เจ้าต่างหากที่กำลังเชื้อเชิญคมกระบี่แดงของข้าทั้งที่ข้ามิได้ต้องการเช่นนั้นเลย"
ศิษย์พี่น้องร่วมสำนักปราดเข้าหากันด้วยกระบวนท่าเดียวกันที่รับสืบทอดมาจากเทียนกงเส่า ทั้งสองต่างไม่มียั้งมือ มิใช่ด้วยรู้ว่าชีวิตของตนอาจสิ้นลงด้วยความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย แต่เพราะต่างนึกถึงน้ำใจที่ตนเองพยายามมอบให้อีกฝ่าย จอมดาบกระบี่แดงฟาดฟันด้วยพลังของความหนุ่มแน่นและใจอันอัดแน่นถึงความคับข้องใจ สีหน้าของกวงโกวเนี้ยที่ปฏิเสธข้อเสนอของตนที่ผ่านมาเข้ามาสวมทับใบหน้าของคู่ต่อสู้ที่อยู่ตรงกันข้าม ส่วนกวงโกวเนี้ยใช้ความคล่องแคล่วเคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่ง คลี่คลายพายุหมุนของคมกระบี่แดง และสวนกลับไปที่ตำแหน่งทรวงอกของไคซือเฮีย หมายทะลวงดวงจิตอันมืดมิดที่ไม่ใยดีความปรารถนาดีของนาง
ผ่านไปกว่าสองร้อยกระบวนท่า จู่ๆ จอมดาบกระบี่แดงกลับพลิกผันแอบเร้นแฝงเพลงดาบท่าอันชั่วร้ายของสำนักซิทง กวงโกวเนี้ยใจหายวูบนึกในใจ "ผิดท่าแล้ว" ยกกระบี่ประกายฟ้าขึ้นกั้นแต่ถูกหวดลงกำลังอันห้าวหาญผสานกับวิชากำลังภายในของดาบตระกูลซิทงอีกเจ็ดส่วน กระบี่วิเศษอันสืบทอดจากซือแป๋ถูกปัดตกลงข้างกาย ไม่ทันกระพริบตา ปลายกระบี่แดงกลับมาจ่อพรวดและหยุดนิ่งอยู่ที่ลำคอของนาง
แม้แต่อ๋านไคอ๋องเองก็ไม่คิดว่ากระบี่แดงนี้จะไม่ชำแรกดื่มโลหิตของนางผู้เป็นที่รัก สิ่งเดียวที่กั้นอยู่ระหว่างคมกระบี่และคอบางระหงของกวงโกวเนี้ยกลับเป็นจี้เส้นเล็กๆ รูปลูกเต๋าสีเงินผูกกันสองลูก
ชั่วพริบตาที่อ๋านไคอ๋องชะงักงัน กวงโกวเนี้ยกลับพลิกข้อมือ ทิ่มแทงกระบี่ประกายฟ้าไปข้างหน้า คมกระบี่แทรกผ่านช่องท้องของจอมดาบกระบี่แดง เลือดสีคล้ำฉานอาบประกายสีฟ้าจนหม่นลง
"ซือเฮีย!!!"
"จี้เส้นนี้?" อ๋านไคอ๋อง รวบรวมพลังเอ่ยถาม
"จอมทัพหลีอา ... มารดาของท่าน....มอบให้ข้าก่อนจะเดินทางมาที่นี่ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?"
"นาง... มารดา ... เป็นอย่างไรบ้าง?" พูดยังมิทันจบ ร่างของมันก็พลันทรุดลง กวงโกวเนี้ยถลันเข้าประคองแล้วพยุงตัวซือเฮียของนางให้นั่งลง ถอดจี้ออกจากคอของนางและบิดกลไกที่ลูกเต๋าเงินลูกหนึ่ง เทผงสีเทาลงที่บาดแผลของอ๋านไคอ๋อง จากนั้นจึงเร่งฉีกแขนเสื้อออกปิดบาดแผลไว้อย่างรีบเร่ง
"เจ้า... จงรีบไป" อ๋านไคอ๋องฝืนพูด แววตาอันเกรี้ยวกราดหายลับไป เปิดทางให้กับแววตาอันหม่นหมองที่มองหน้าซือม่วยของมันอย่างห่วงใย
"ท่านอย่าเพิ่งกล่าวคำ ข้าจะเดินกำลังภายในรักษาให้ท่าน"
"นั่นไม่จำเป็น ซือม่วย เจ้าจะรั้งอยู่ที่นี่มิได้" จอมยุทธกระบี่แดงกลั้นใจรวมพลังสกัดจุดห้ามเลือดของตัวเอง เลือดที่ทะลักจนเกือบชุ่มแขนเสื้อของกวงโกวเนี้ยจึงค่อยไหลช้าลง "ที่ข้ามาที่นี่เพื่อหยุดไม่ให้เจ้าทำภารกิจจนลุล่วง ไม่ใช่เพราะความเกลียดชัง แต่ข้ารู้ว่ามันจะนำมาซึ่งความทุกข์อันสาหัสสำหรับเจ้า"
"ข้าไม่เข้าใจ" กวงโกวเนี้ยเอ่ยขึ้นช้าๆ สายตากราดไปมองกรอบภาพที่ซือเฮียของนางทำลายทิ้งเมื่อก่อนทั้งสองจะประมือกัน "ในสิ่งนั้นมีอะไร?""นั่นหาสำคัญไม่ เจ้าจงรีบไป""แต่มันเป็นหน้าที่ที่ข้าได้รับคำสั่งมา" กวงโกวเนี้ยลุกขึ้นยืนและเดินไปที่ภาพเขียนโบราณช้าๆ อ๋านไคอ๋องพยายามลุกขึ้นห้าม แต่มันกลับสูญสิ้นเรี่ยวแรง พูดได้เพียงเบาๆ คำเดียว "อย่า"
กวงโกวเนี้ยปลดภาพเขียนคร่ำคร่าลงจากผนังไม้ แม้ภาพจะเก่าแก่ ถูกความชื้นจนลางเลือน แลถูกคมกระบี่แดงแทงทะลุเป็นรอยแต่ยังมองเห็นลายเส้นเดิมได้อยู่บ้าง "ซือเฮีย นี่มันคืออะไรกัน?" นางชี้ไปที่รูปวาดของทารกหญิงผู้หนึ่งอายุราวสี่ห้าขวบปี ตัวอักษรแถวหนึ่งบนภาพเขียนจางหายไปมากจนมิอาจจะอ่านได้ออก"นั่นมิใช่สิ่งที่เจ้าพึงได้รู้ ความลับบางอย่างไม่สมควรจะเปิดเผย""ท่านบอกมา มิฉะนั้นข้าจะแทงท่านอีกแผลหนึ่ง"
"เจ้า"
"บอก"
"วันหนึ่งเจ้าคงรู้อยู่ดี นั่นเป็นภาพทารกหญิงผู้หนึ่ง"
"สิ่งนั้นข้าย่อมมองเห็นได้ ทารกผู้นี้มีความสำคัญอันใด"จอมยุทธกระบี่แดงถอนใจ "เมื่อนานมาแล้ว ทารกหญิงผู้นี้ถูกหมายมั่นให้สืบทอดบัลลังก์ของแผ่ผาติ๋น นางเป็นหลานในไส้เพียงหนึ่งเดียวของมัน"
"แล้วเกิดอะไรขึ้นกับทารกผู้นี้""บิดาของมัน พระโอรสของแผ่ผ๋าติ๋น มิได้มักใหญ่ใฝ่สูง หนำซ้ำขัดราชโองการอยู่เนืองๆ จนเคืองพระทัย มันชิงชังบิดาของตนเองที่เป็นทรราช จึงลักลอบพาเมียและลูกสาวหนีไปยังถิ่นทุรกันดารอันห่างไกลพระเนตรพระกันต์" มันมองหน้าซือม่วยของมันแล้วกล่าวต่อ "ในดินแดนทะเลทรายทางเหนือ"
กวงโกวเนี้ยสีหน้าซีดเผือดลง ด้วยคำพูดและท่าทีของซือเฮีย นางพอเดาใจความต่อไปได้อยู่ลางๆ "ไม่จริงใช่ไหม"
"ข้าไม่เคยโกหกเจ้า"
"ท่านหมายความว่า..."
"เจ้าเข้าใจถูกต้อง"
"แล้วบิดาของข้า...""แผ่ผาติ๋นให้คนวาดรูปของเจ้าขึ้นแล้วส่งนักฆ่านับร้อยนายกระจายไปทั่วยุทธภพ บิดาของเจ้าถูกจับได้ มันมิยอมแพร่งพรายร่องรอยของเจ้า จึงถูกบิดาตนเองสังหารในดาบเดียว"กวงโกวเนี้ย น้ำตาหลั่งไหลลงสองแก้ม
"แต่แผ่ผาติ๋นสิ้นชีพไปแล้ว ไม่มีความจำเป็นใดที่ข้าต้องหลบซ่อน"
"เอียเท้าน้อย ถ้อยคำลวงๆ ในยุทธภพมีค่าใดชวนเชื่อ?" เสียงแหบแต่ก้องกังวานลั่นขึ้นมาจากด้านหลัง กวงโกวเนี้ยพลางหันกลับ ชายชราผิวหน้าเหี่ยวย่นแสยะยิ้มอยู่ห่างไปไม่ถึงห้าเชี้ย นางใจหายวูบ ด้วยฝีมือการฝึกปรือระดับนี้ นางมิเคยไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ย่องเข้ามาใกล้เพียงนี้ ชายชราผู้นี้แท้จริงแล้วย่อมมีวิชาตัวเบาที่สูงล้ำไปกว่าเทียนกงเส่าอีก
"อ๋านไคอ๋อง" ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงร่าเริง "ข้าขอบใจที่เจ้าพัวพันหลานของข้าไว้จนข้าเดินทางมาถึง แต่สุนัขที่หมดประโยชน์แล้ว จะรั้งมันไว้ให้ทรมาณเพื่อเหตุใด" พลันยกมือขวาขึ้นอย่างรวดเร็ว กวงโกวเนี้ยมองเห็นคล้ายแสงวูบวาบจากมือของชายชราเป็นเส้นตรงไปยังซือเฮียของนาง เสียงดังตึงราวกับร่างของมันถูกแรงผลักราวม้าห้อดีดจนล้มลง นางหันกลับไปดู เห็นโลหะแวววาวสองชิ้นปักลงซ้ำลงตรงบาดแผลที่นางก่อไว้
"ซือเฮีย!"
"เอียเท้าน้อย เจ้าจะร้องโหวกเหวกโวยวายไปเพื่ออะไร"
"ท่านคือ?"
"จนป่านนี้เจ้ายังมิทราบ เจ้านี่โง่ดักดานหรือฝืนใจไม่ยอมรับความจริงกันแน่?"
"แผ่ผาติ๋น?" กวงโกวเนี้ยกล่าวช้าๆ หันกลับมามองชายชราด้วยความงุนงวย "แต่ท่าน..."
"ถ้าตายจริง ข้าจะยืนอยู่ที่นี่ได้อย่างไร หลานตา เจ้าจงมาไปกับข้า และข้าจะทำให้เจ้าได้บรรลุชะตาที่แท้จริงของเจ้า"
"ไม่ ข้าไม่ใช่หลานของท่าน ข้าชื่อกวง เป็นศิษย์ของเทียนกงเส่า ผู้ต่อต้านทรราชและสังหารท่านไปเมื่อสามสิบปีก่อน"
"เทียนกงเส่าผู้โง่งม มันคิดว่าจะเอาชนะข้าได้ แต่ความตายอันสงบกลับพรากมันไปจากความตายอันทุกข์ทรมาณที่ข้าตั้งใจจะหยิบยื่นให้มัน เจ้าเลือก ความยิ่งใหญ่อันเป็นชะตากรรมของเจ้า หรือชะตากรรมอันแสนรันทดของซือแป๋ของเจ้า"
กวงโกวเนี้ยชักกระบี่ประกายฟ้าออกจากด้ามอีกครั้ง "ข้าเลือกความตายของเจ้า"
แผ่ผาติ๋นแหกปากหัวเราะเสียงดัง "เจ้ามั่นใจจะเอาชนะข้า และวิชาอาวุธลับอัคคีนภาของข้าได้?"
"ข้าไม่รู้ แต่ข้าจะไม่ยอมขายตัวเป็นทรราชเช่นท่าน"
"น่าเสียดายยิ่งนัก" แผ่ผาติ๋นถอนใจ "ฟ้าเอย ใยต้องมอบความยิ่งใหญ่ให้แก่ข้า แต่กลับมิยอมผ่องถ่ายมันให้กับผู้สืบสกุลของข้าแม้แต่คนเดียว" ประกายวูบวาบจากปลายนิ้วมือของมันปรากฎขึ้นอีกครั้ง กวงโกวเนี้ยร่างรำเพลงกระบี่ปัดเป่าอาวุธลับอัคคีนภาสองชิ้นออกไปได้ และรุกก้าวไปข้างหน้าเผื่อให้ได้ระยะทำลายของเพลงกระบี่
"น่าเสียดายยิ่งนัก" มันล้วงมือเข้าไปที่อกเสื้ออีกครั้ง แสงวูบวาบอีกครั้ง แต่ยาวนานและต่อเนื่อง แผ่ผาติ๋นเพียงพริบตาเดียวยิงอาวุธลับคู่กายออกมาอีกไม่ต่ำกว่าห้าสิบชิ้น ทั้งหมดล้วนถูกเพลงกระบี่ย่ำนภาปัดออกจนหมด แต่ก็ทำให้แขนของกวงโกวเนี้ยล้าลง
"น่าเสียดาย" ชายชรากล่าวพร้อมแสงวูบสองเส้นวิ่งเข้ามาหากวงโกวเนี้ยอย่างรวดเร็ว มั่นใจว่ากระบี่ประกายฟ้าที่มิได้ตั้งมั่นในท่าตั้งรับย่อมมิอาจปัดอาวุธลับออกทัน
คาดมิถึง อ๋านไคอ๋องที่จะตายมิตายแหละ รวบรวมพลังครั้งสุดท้าย กระโจนขึ้นมาโอบกอดกวงโกวเน้ีย อาวุธลับอัคคีนภาเกือบสิบชิ้นปักลึงเข้ากลางหลัง
"ซือเฮีย!""ซือม่วย กระบี่แดงของข้าเป็นของเจ้า ร่างของข้าเป็นโล่ของเจ้า จงใช้กระบวนกระบี่คู่ย่ำนภาพิชิตมัน" มันฝืนกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูของนาง เสียงดับสวบๆ แผ่ผาติ๋นยังสาดแอาวุธบลับอัคคีนภาต่อเนื่อง ล้วนปักลงจุดสำคัญของมัน มันเหลือเพียงลมหายใจรวยรินแต่ยังใช้กำลังจิตที่ยังเข้มแข็งเดินถอยหลังเพื่อลดระยะจู่โจมให้กับซือม่วย ที่ยังพยายามใช้กระบี่ประกายฟ้าคอยปัดกระสุนอัคคีนภาตกไปกว่าร้อยอัน
แผ่ผาติ๋นยังไม่ทันคิดว่ากวงซือเนี้ยจะถือครองกระบี่แดง ทั้งยังมิเคยเห็นฤทธิเดชของเพลงกระบี่คู่ย่ำนภา มันเพียงชล่าใจซัดอาวุธลับต่อเนื่อง คิดเพียงว่าเมื่อกระบี่แดงแซ่ไคล้มลง กวงโกวเนี้ยก็จะกลายเป็นเป้าง่ายๆ สำหรับมัน
ฉะนั้น เมื่อทั้งสองลากร่างเกือบไร้วิญญานของชายหนุ่มมาข้างหน้าได้ถึงสามเชี้ย มันจึงไม่ทันมองกระบี่แดงที่แทงปราดขึ้นมาจากเบื้องล่าง ประสานกับกระบี่ประกายฟ้าที่ฟาดมาจากด้านบน
แผ่ผาติ๋นถูกคมกระบี่วิเศษทั้งสองผ่าแล่งจากซ้ายแลขวาจนกายถูกแยกกระจายเป็นสี่ส่วน สีหน้ายังกระหยิ่มก็สิ้นลมโดยไม่ทันแม้กระทั่งประหลาดใจ แต่ท่วาทั้งกวงโกวเนี้ยและจอมยุทธแซ่ไคกลับทรุดฮวบลงไปแทบจะพร้อมกัน
"ซือเฮีย ข้า..." กวงโกวเนี้ย หายใจรวยริน จอมยุทธกระบี่แดงเห็นบาดแผลจากอาวุธลับอัคคีนภาเฉียดที่แก้มของนาง อาวุธลับของแผ่ผาติ๋นนี้ ความชั่วร้ายแท้จริงคือการฉาบเคลือบยาพิษสลายพลัง มาตรว่าเพียงเฉียดผิว แม้แต่หมอเทวดาก็มิอาจช่วย แต่ที่ทั้งสองยืนต่อสู้อยู่ได้ร้อยกว่ากระบวนท่าล้วนเป็นเพราะพลังยุทธพื้นฐานของสำนักย่ำนภาอันกร้าวแกร่ง
แม้จอมยุทธกระบี่แดงจะถูกกระหน่ำอาวุธลับปักหลังกว่านับไม่ถ้วน ชุดของมันยังใส่ไว้ด้วยเกราะเงินอยู่ภายใน อาวุธลับที่ปักเข้าหลังของมันยังไม่ถึงสองสามโหล กระนั้นพลังของมันยังเหลือเพียงไม่เกินสองส่วน
กวงโกวเนี้ย จะอย่างไรพลังฝึกปรนยังน้อยกว่า พิษที่ปาดผิวตรงๆ ของนางกลับสลายพลังของนางไปกว่าจนเกือบหมดสิ้น ตอนนี้ตาของนางหรี่ปรือ สติล่องลอย ไม่ได้ยินสรรพเสียงใดๆ
มือสังหารแซ่ไค พยายามนึกหาทางช่วยซือม่วยอันเป็นที่รักของมัน การพาร่างทั้งสองไปหาหมอนั้นเป็นไปไม่ได้ พลังที่มันเหลืออยู่ ย่อมพร้อมยอมสละแด่นางอันเป็นที่รัก หากเพียงจัดการกับพิษในกายนางได้ก่อน
เร็วเท่าความคิด มันก้มหน้าลง แนบปากกับแก้มของนาง และดูดพิษจากปากแผล มันถ่มโลหิตพิษสีเกือบดำสนิทออกกว่าสิบครั้ง จึงเริ่มเห็นปากแผลกลับมีโลหิตสีแดงอีกครั้ง
มันพยุงร่างนางขึ้น ประกบฝ่ามือเข้ากลางหลัง ขับพลังภายในเข้าไปยังจุดที่ถูกพิษสะกัดภายในให้คลายออก เพื่อให้ลมปรานของนางเดินผ่านได้สะดวก
มันรู้ว่านี่เป็นพลังสุดท้ายของมัน แม้ไม่มีประจักษ์พยาน อย่างน้อย กวงโกวเนี้ยก็ยังรู้ว่าสิ่งสุดท้ายที่มันทำคือการสละชีพเพื่อนาง
______
การรบจบลงแล้ว
คนที่ตายก็ตายไปแล้ว ป่าไม่เคยอาลัยอาวรณ์กับใบไม้ที่หลุดร่วงฉันใด ยุทธภพก็ไม่อ้อยอิ่งกับการสูญเสีย เพราะคนที่ยังไม่ตาย ก็ใช้ชีวิตต่อไป ตำนานบทเก่าที่ปิดลง เมื่อพลิกขึ้นหน้าใหม่ ก็มีจอมยุทธรายใหม่ๆ ปรากฏขึ้นอีกไม่รู้จักจบสิ้น
ที่บ้านร้างแห่งหนึ่ง ไร้ร่องรอยของผู้อยู่อาศัยมาหลายสิบปี กลิ่นอับอ้าวฟุ้งกระจายออกทันทีที่ประตูได้รับการเปิดออก แทบไม่น่าเชื่อว่าบ้านหลังนี้ ครั้งหนึ่งสุดยอดวีรบุรุษแห่งแผ่นดินจะกำเนิดและเติบโตขึ้น
ในวันที่สงครามจบสิ้นลง ทหารใหญ่น้อยต่างร่ำลา แยกย้ายกลับบ้าน แต่กวงโกวเนี้ยกลับเดินทางมาที่นี่ นางไม่มีพันธะใดๆ กับบ้านของนางเติบโตมาในฐานะเด็กกำพร้าเดียวดายอีกต่อไป ในเมื่อในจิดใจ นางได้พบกับครอบครัวใหม่แล้ว
นางบรรจงหยิบจับเครื่องใช้ไม้สอยในบ้านเก่าหลังนั้นทีละชิ้น สิ่งที่ใช้ได้ก็อาจแค่ปัดฝุ่นทำควาามสะอาด สิ่งใดซ่อมบำรุงได้ก็ซ่อมแซมไป
ข้าวของทุกชิ้นเคยผ่านมือของเทียนกงเส่าในวัยเยาว์ แต่ไม่มีชิ้นใดเลยจะเคยได้รับสัมผัสจากมือกระบี่แซ่ไคผู้เป็นหลาน
ใบหน้าของนาง ฉายขึ้นด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อคิดถึงยอดยุทธ์ผู้สละชีวิตให้นางผู้นั้น
บุรุษเดียว ที่เคยได้จุมพิตของนาง
(อวสาน)
หมายเหตุ: อ่านเรื่องราวก่อนหน้าได้ที่ http://minimore.com/b/Q1dvY/48
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in