disclaimer: names, incidents, and institutions mentioned in the story is purely fictional / any resemblance to the reality is coincidental. / note: this is mostly inspired by NETFLIX the crown
20:00
ชายหนุ่มร่างสูงสง่ายืนอยู่ตรงหน้าเตาผิงที่ไร้เปลวไฟในเดือนพฤษภา มือข้างหนึ่งถือแก้วบรั่นดี ส่วนอีกข้างล้วงกระเป๋ากางเกงสแลค เป็นอิริยาบถที่ดูเผิน ๆ ว่าผ่อนคลาย ทว่าบอกเป็นนัยว่าตนเป็นฝ่ายควบคุมบทสนทนาแม้ไม่ได้เอ่ยคำใด ผู้มาเยือนมองทะลุการแสดงเบื้องต้นนั้นด้วยหน้าที่การงานก็อย่างหนึ่ง ความสนิทสนมก็อย่างหนึ่ง ตอนนี้เขามองออกว่าชายเจ้าของห้องหรืออันที่จริงก็คือวังทั้งหลังรู้สึกเช่นไร องค์มกุฎราชกุมารไม่ได้ผ่อนคลายและไม่ได้ต้องการรับบทผู้ฟังของอาจารย์สอนวรรณคดีโบราณ (เขาลืมชื่อไปแล้ว) สักเท่าไร ด้วยเหตุนี้สายพระเนตรจึงส่งสัญญาณร้องขอความช่วยเหลือตั้งแต่เห็นว่าเขาก้าวเข้ามาในห้อง ขณะเดียวกันดวงหน้าขาวผุดผาดก็ยังคงแย้มรอยยิ้มแสนสุภาพ อ่อนหวานเหมือนริมฝีปากที่ละม้ายคล้ายกลีบดอกไม้ต้นฤดู ทั้งหมดก็เพื่อกลบเกลื่อนความเบื่อหน่ายและร้อนรุ่ม นี่คือศิลปะแห่งการซ่อนตัวในที่แจ้ง และผู้มาเยือนรู้สึกเพลิดเพลินที่ได้ไล่ต้อนเจ้าฟ้าชายในความเงียบงันเช่นนั้นเสมอมา
20:16
“ประหลาดใจนักที่คุณมา”
“ประหลาดใจนักที่เขายอมให้ผมเข้ามาด้วย”
การต่อปากต่อคำถือเป็นการทักทายอย่างหนึ่ง เมื่อคนเป็นเจ้าชายส่ายหน้าอย่างระอาและหยิบบุหรี่มาคาบไว้ที่มุมปาก ชายต่ำศักดิ์กว่าก็ขยับไปใกล้พร้อมไฟแช็กในมือแทบจะอัตโนมัติ สิ้นเสียง “กริ๊ก” เบา ๆ แสงไฟก็เรื่อเรืองในความมืดของสวน เขาพบว่าตนเองไม่ได้รู้สึกต้อยต่ำเหมือนเป็นข้าราชบริพารคนหนึ่ง หากแต่นั่นเป็นการแสดงความรักใคร่อย่างสามัญที่สุด มันทำให้เขาหวนนึกถึงตอนสอนคนตรงหน้าสูบบุหรี่ครั้งแรกตรงระเบียงหอพัก เพียงแต่ครั้งนั้นพวกเขาแบ่งปันมวนเดียวกัน รสมินต์เย็นวาบในลำคอแข่งกับหิมะเดือนมกรา ริมฝีปากของเจ้าชายหนุ่มน้อยแตกเป็นร่องเพราะเลียปากด้วยความประหม่าบ่อยๆ
“ถ้าเพียงแต่แม่เรารู้นะ จอห์น” เจ้าชายถอนใจพ่นควันออกมาอย่างอ้อยอิ่ง “ไม่คิดว่าหนักข้อไปหน่อยเหรอ”
“จำเป็นต้องคุยเรื่องแม่คุณด้วยจริง ๆ หรือ เจย์” ผู้มาเยือนยอกย้อนด้วยชื่อเล่นที่พวกเขาเก็บไว้เรียกกันเองเพียงสองคน อย่างน้อยการทำเช่นนั้นก็สะดวกเวลามีใครบังเอิญผ่านมาได้ยินบทสนทนา แม้ว่าอีกเหตุผลคือความปรารถนาจะเป็นความลับของกันและกันมากกว่าก็ตาม
“ก็จำเป็นอยู่นะ ในเมื่องานวันนี้ก็จัดด้วยเงินภาษีอย่างที่คุณว่า”
“เพราะงั้นผมเลยไม่หยิบเครื่องดื่มมาสักแก้ว” จอห์นยิ้มกว้าง “น้ำในน้ำพุนั่นกินได้ใช่ไหม อย่างน้อยผมควรมีสิทธิ์เข้าถึงน้ำประปานะ”
เจย์หัวเราะหึ ไม่นึกว่านักหนังสือพิมพ์ฝีปากกล้าจะเดินไปวักน้ำจากน้ำพุกลางสวนขึ้นมาดื่มจริง ๆ บางครั้งเขาก็ลืมไปว่าจอห์นคนที่เขียนบทความวิจารณ์งบประมาณประจำปีของราชวงศ์ไปเมื่อวาน ก็คือคนเดียวกับจอห์นที่เป็นเด็กหลังห้องจอมทโมนและชวนเขาแหกกฎเพราะจะได้รอดตัวจากการลงโทษ มิหนำซ้ำยังเป็นคนเดียวกันกับจอห์นที่เขาเผลอเอ่ยชื่อออกมาในยามสุขสมไร้ซึ่งความยับยั้งชั่งใจ แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไร สิ่งที่แน่นอนอย่างหนึ่งคือจอห์นจะไม่มีวันเป็นราษฎรหรือ subject ของราชวงศ์องค์ใดเป็นแน่ ไม่ว่าจะเสด็จแม่หรือตัวเจย์ในตอนนี้หรืออนาคต ตั้งแต่เริ่มต้นจวบจนบัดนี้ เขาไม่เคยได้ยินอีกฝ่ายเรียกตนว่า “ทูลกระหม่อม” หรือคำลงท้ายว่า “พ่ะย่ะค่ะ” สักครั้ง
“อยากให้คุณรู้นะว่าถ้าปิดผับนั้นฉลองได้ เราจะใช้เงินเดือนในฐานะภัณฑารักษ์พิเศษมาเลี้ยงเบียร์คุณไม่อั้น” เจย์พูด ขยี้ก้นบุหรี่จนมอด “แต่ต้องขอบคุณบทความของคุณ การทำแบบนั้นเลยกลายเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเกินจะเสี่ยงได้”
จอห์นส่งเสียงตอบรับในลำคอเบา ๆ
“ในภายภาคหน้ามันจะละเอียดอ่อนกว่านี้อีก”
“ทำไมเราถึงรู้สึกว่าคุณกำลังหาเหตุผลมาเลิกรากัน”
“ถึงใจจะปรารถนาแค่ไหน แต่เราไม่ได้คบกันนะเจย์”
ลมหายใจขาดห้วงไปพักหนึ่ง เจ้าชายควานหาบุหรี่อีกมวนในซอง แต่พบว่ามันหมดเกลี้ยงเสียแล้ว ดูเหมือนว่าจอห์นจะสังเกตเห็นท่าทางผิดหวังของเขาและหยิบมวนของตัวเองขึ้นมาจุดบ้าง ก่อนจะส่งต่อให้คนที่ต้องการ เจย์พิจารณามันอยู่ครู่หนึ่ง การรับไปสูบต่อเทียบกันไม่ได้สักนิดกับการสัมผัสริมฝีปากของอีกฝ่ายโดยตรง
“ผมไม่ได้โจมตีคุณ” จอห์นทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ “ผมโจมตีสถาบันที่คุณอยู่ สถาบันที่คุณเป็นตัวแทน สถาบันที่คุณต้องรักษา คุณเป็นเจย์ของผมในโลกที่มีเราสองคน แต่พอก้าวกลับเข้าไปในโน้น คุณก็จะเป็นคนอื่น หรือแม้แต่อย่างอื่น ผมไม่อยากทำร้ายคุณด้วยการอยู่ในโลกสองใบที่ถูกลิขิตมาให้พุ่งชนกัน”
ชื่อจริงพร้อมยศถาบรรดาศักดิ์ที่ออกจากปากของจอห์นฟังดูไร้ชีวิตเหลือใจ เป็นคนแปลกหน้า เป็นซากกลวงเปล่า ทว่าจริงแท้ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดและเจ็บปวดเฉกเช่นที่ความจริงทั้งหลายเป็น
01:45
“ตอนอายุสิบแปด เราทูลขอโทรศัพท์มือถือเครื่องแรกจากพ่อ” เจย์เลื่อนหน้าจอสมาร์ทโฟนที่สว่างจ้าในความมืด “ส่วนกับแม่ รู้ไหมว่าเราขออะไร”
จอห์นที่ง่วนอยู่กับการเก็บเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายบนพื้นขึ้นมาสวมหันมาส่ายหน้า ท่าทางอิดโรยปนง่วงงุนทำให้เขาดูปากเก่งน้อยลงนิดหน่อยจนเจย์รู้สึกผิดที่อยากปราบม้าพยศบ้างเป็นครั้งคราว
“ขออนุญาตดาวน์โหลดทวิตเตอร์” เจ้าฟ้าชายเฉลย
เขาไม่คาดคิดว่านักเขียนผู้เกรี้ยวกราดจะระเบิดเสียงหัวเราะลั่นจนตัวงอ จอห์นที่ใส่กางเกงเรียบร้อยแต่ท่อนบนยังว่างเปล่าเดินโซซัดโซเซมาทิ้งตัวลงบนเตียง เหลือบมองหน้าจอที่เปิดแอปพลิเคชั่นที่ถูกเอ่ยถึง รูปโปรไฟล์และชื่อที่เห็นไม่พ้องกับตัวเจ้าของ แมวสีส้มส่งสายตาเว้าวอนตอบกลับมา ไม่ใช่ภาพมกุฎราชกุมารที่ฉายโดยสำนักพระราชวัง ชื่อเสียงเรียงนามไร้อักษรย่อ เอชอาร์เอช นำหน้าและเครื่องหมายถูกสีฟ้าตามหลัง
“แม่นึกว่าเราอยากเล่นบัญชีหลักของทางวัง” เจย์พลอยขำไปด้วย “ท่านคงนึกไม่ถึงหากรู้ว่าเราสอดส่องความเห็นสาธารณะด้วยตัวเองอย่างแข็งขันขนาดนี้ เดี๋ยวก่อน จอห์น คุณอย่ากดติดตามเรานะ”
“กลัวจะเหลือหลักฐานว่าเราเป็นชู้รักกันงั้นหรือ” อีกคนพูดติดตลก
“คงเป็นพาดหัวข่าวที่น่าดูชมอยู่หรอก” เจย์ถอนใจ จ้องมองเพดานในความมืด “ฉาวโฉ่ ว่าที่กษัตริย์มีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเพื่อนชายคนสนิท”
“จะยิ่งน่าดูขึ้นไปอีกถ้าอยู่บนหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ของผม” จอห์นว่า
ทั้งสองหัวเราะเบา ๆ ให้กับความตลกร้ายของโชคชะตา อย่างที่นักเขียนหนุ่มกล่าวก่อนหน้านี้ว่าตนไม่ได้มุ่งร้ายมาที่เจย์ในฐานะปัจเจกบุคคล เพียงแต่ปัญหาอยู่ที่เขาเกิดมาในครอบครัวนี้โดยไร้ทางเลือก แม้ว่าเจ้าฟ้าชายจะพยายามชี้ให้พระมารดาเห็นถึงความว่างเปล่าของบัลลังก์และเงินตราที่ผลาญไปอย่างรวดเร็วเหมือนเชื้อเพลิงเครื่องบินโดยสารข้ามแอตแลนติก แต่สิ่งที่เขาได้รับคือการบรรยายพิเศษถึงภาระหน้าที่และความสำคัญของสถาบันยาวสามชั่วโมง ก่อนที่การปฏิบัติกรณียกิจจะสอนให้รู้ว่าตัวเขาเป็นที่ต้องการต่อคนจำนวนหนึ่งอยู่บ้าง ถึงจะยังไม่เข้าใจดีนักว่าความรักที่มีต่อคุณค่าที่มองไม่เห็นนั้นเป็นไปได้อย่างไร นั่นคงเป็นภาพแทนที่จอห์นว่า เจย์หวังเหลือเกินว่าตนจะเป็นนักมายากลที่เก่งกาจพอจะเสกให้เจ้าฟ้าชายองค์นั้นหายไป แล้วดึงคุณค่าและอุดมคติอันสูงส่งออกมาจากหมวกให้ประชาชนเคารพนับถือแทน
“บางทีเราก็คิดนะว่าฝ่ายล้มล้างส่งคุณมาล่อลวงเราหรือเปล่า” เจย์บิดขี้เกียจพร้อมกับหาว
“ผมไม่ใช่ฝ่ายล้มล้างสักหน่อย” จอห์นแสร้งทำเป็นฮึดฮัด “ผมเข้าข้างการปฏิรูปต่างหาก”
ร่างสูงใหญ่ของเขาลุกขึ้นจากเตียง คว้าเสื้อเชิ้ตขึ้นมาติดกระดุม — ภาพที่เจย์อยากเห็นไปตลอดชีวิต เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาพูดออกไป มิเช่นนั้นเขาจะไม่เหลืออะไรเลย
“การที่มีคนสนับสนุนไม่ได้ยืนยันความชอบธรรมให้พวกคุณฉันใด การมีคนต่อต้านหรือเกลียดชังมันก็ไม่ได้แปลว่ามันสมควรถูกล้มล้างฉันนั้น สิ่งสำคัญคือสิทธิ์ในการแสดงความเห็นและเลือกของประชาชน ผมแค่คิดว่าไม่ควรมีใครมีความเป็นคนมากกว่าคนอื่น งานของผมคือนำเสนอและวิพากษ์วิจารณ์เพื่อให้คนอ่านมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจ งานของคุณคือดำรงอยู่และทำงานรับใช้ประชาชนตามที่อ้าง นั่นก็เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจให้พวกเขาเหมือนกัน”
นิ้วหัวแม่มือของจอห์นทิ้งความรู้สึกอุ่นวาบไว้ที่แก้ม การให้เหตุผลของเขาฟังดูราวกับคำอำลา
“ถ้าวันที่พวกเขาต้องตัดสินใจมาถึง —“ เจย์พบว่าเสียงพูดของตัวเองกลายเป็นเสียงสะอื้นขาดช่วง
“ผมอยากเห็นวันนั้นมาถึง นั่นน่าจะเป็นข้ออ้างอันชอบธรรมของเราทั้งคู่” จอห์นจุมพิตบนหน้าผากอีกฝ่ายเบา ๆ “ถึงพระราชวังของคุณจะไม่มีที่ให้ผม แต่แฟลตของผมกว้างเกินพอสำหรับเจย์นะ”
“เฮ้อ เราอยากลงประชามติได้ด้วยชะมัด”
“จริง ๆ คุณจะสละบัลลังก์ทันทีที่ครองราชย์ก็ได้ แต่แม่คุณคงขังคุณไว้ที่นี่ตลอดไปแน่” จอห์นยิ้ม “อย่าทำแบบนั้นเลย เห็นใจคนที่รักคุณบ้าง ผมไม่อยากได้ชัยชนะแบบนั้น”
“แล้วคนที่ผมรักล่ะ”
จอห์น ผู้มาเยือน นักหนังสือพิมพ์ เพื่อนสนิท และคนรักที่ไร้สถานะ หันมามองเป็นครั้งสุดท้าย ปกติแล้วเขาไม่เหมาะกับรอยยิ้มเศร้าและความเงียบงันเลยสักนิด เมื่อประตูห้องนอนปิดลงจนสนิท ตอนนั้นเองเจ้าชายหนุ่มถึงได้ตระหนักว่ารสขมปร่าและความรู้สึกแห้งเหือดเหมือนขี้เถ้าจากความรักที่มอดลงในความลับเป็นเช่นนี้เอง
07:30
“อรุณสวัสดิ์พ่ะย่ะค่ะ” คนดูแลคอกม้ากล่าวทักทาย “กระหม่อมยินดีด้วยกับข่าวการหมั้น”
“ขอบใจ” เจ้าฟ้าชายตรัสตอบอย่างสุภาพ
“กระหม่อมคาดไม่ถึงว่าจะมาทรงม้าแต่เช้าตรู่ เลยไม่ได้เตรียมเจ้าสเนลเชสเซอร์เอาไว้”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราจัดการเอง”
นึกขำทุกทีเวลาใครต่อใครต้องทำใจพูดชื่อม้าตัวโปรดที่อยู่กับเขามาตั้งแต่ยังเล็ก ความคิดแผลง ๆ ในการตั้งชื่อนี้เกิดขึ้นในคาบเรียนประวัติศาสตร์ ไม่มีใครล่วงรู้ว่าเจ้าชายแอบสื่อสารกับเพื่อนร่วมห้องด้วยการผลัดกันเขียนลงไปในหนังสือเรียน พ่อเพิ่งให้ลูกม้าเราเป็นของขวัญวันเกิด จะตั้งชื่อว่าอะไรดี / เป็นม้าแข่งพันธุ์ดีหรือเปล่า / ใช่ / เจ๋ง งั้นชื่อสเนลเชสเซอร์แล้วกัน สุดท้ายพวกเขาสองคนลงเอยด้วยการขำคิกคักกันอยู่หลังห้องเสียจนโดนอาจารย์ดุ
มาวันนี้ ชื่อของคนที่มอบนามให้ม้ากลับปรากฏอยู่บนหนังสือพิมพ์กรอบเช้า วิเคราะห์และวิจารณ์แผนการจัดงานอภิเษกสมรสในอีกหกเดือนข้างหน้า ทั้งที่เมื่อคืนเพิ่งนอนกับว่าที่เจ้าบ่าวไปไม่ถึงหกชั่วโมง เจ้าชายนึกทึ่งในความสามารถของสหาย แต่ความขบขันเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เคยเป็นเรื่องบันเทิงในอดีตไม่อาจชดเชยอารมณ์ขุ่นมัวในเช้านี้ได้มากนัก
เขาปล่อยให้เจ้าม้าเหยาะย่างไปบนทุ่งหญ้าอย่างเชื่องช้าตามชื่อของมัน รู้ตัวอีกทีก็มาไกลถึงชายป่า เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นพระราชวังตระหง่านท้าแดดลมฝนอยู่บนเนิน มันคงอยู่มานานหลายศตวรรษ ผิดที่ผิดทางท่ามกลางป่าเขา เป็นฝีมือมนุษย์สร้าง พยายามดิ้นรนอยู่ในกระแสกาลเวลา และต้องการการดูแลบูรณะมากขึ้นในทุกขวบปีที่ผ่านไป ทั้งที่มนุษย์เราต้องการเพียงบ้าน แต่ปราสาทอันโอฬารก็ยังคงอยู่
เจ้าชายมกุฎราชกุมารลงจากหลังม้า ถอดอานและบังเหียนออก ปล่อยให้สเนลเชสเซอร์เดินเล็มหญ้าตามสบายเหมือนม้าป่า แอบเอาใจช่วยให้มันวิ่งหายไปไม่กลับมา แต่โชคร้ายที่ม้าเลี้ยงย่อมเป็นม้าเลี้ยงวันยังค่ำ ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้แต่ยืนบื้อใบ้ จนกระทั่งฝนเทกระหน่ำลงมา
ปราสาทหลังใหญ่พร่าเลือนในม่านฝน หรือไม่ก็เป็นเพราะน้ำตาที่หวังว่าจะหยุดไหลทันเมื่อเขากลับไปในฐานะเจ้าชายมกุฎราชกุมารและคู่หมั้นของหญิงสาวใสซื่อที่เขาเคยเจอหน้าแค่สองสามครั้ง
หาไม่แล้วก็ขอให้ฝนนั้นตกตลอดไปจนปราสาทหลังนั้นถล่มลงมา
ชอบการที่จอห์นยืนหยัดในความคิดของตนเองแมคนที่รักจะอยู่ในสถาบันนั้นก็ตาม และชอบที่เจย์เข้าใจในจอห์นด้วย ชอบที่พวกเขามีชื่อเรียกกันและกันสำหรับช่วงเวลาของพวกเขา ชอบบรรยากาศหวานอมขมเวลาคุยกันจังเลยค่ะ ชอบไปหมดเลย ;-;
แต่ในความชอบมันก็เจ็บจิ๊ด ไอเรื่องการวิจารณ์ปกติพวกงบประมาณอะไรนี่คงไม่อะไรเพราะถึงเกี่ยวกับเจย์มันก็เหมือนการแซะเรื่องรวมๆของบ้านเจย์ แต่การเขียนวิจารณ์เรื่องงานหมั้นของเจ้าชายนี่น่าจะเจ็บทั้งคนเขียนในหน้าที่และคนอ่านนะคะ ตอนที่เจ้าชายอยู่กลางสายฝนนี่อยากจะกอดแน่นๆเลย(แอบคิดด้วยว่าทำไมเกิดในแบบทีีใจไม่คล้อยตามมันเหนื่อยแบบนี้555)
ได้แต่หวังนะคะว่าการปฏิรูปจะเกิดขึ้นและเป็นไปด้วยดี หวังว่าสักวันเจย์จะได้มีโอกาสไปอยู่ในแฟลตที่กว้างพอนะคะ
เรื่องนี้เหมือนเป็นขั้นadvanceของรักต่างชนชั้นเลยค่ะ สุดจะironic แงงง ชอบจัง
ชอบความสัมพันธ์อื้อฉาวนี้เหลือเกินค่ะ *แค่ก* ––หมายถึง ชอบที่ทั้งสองคบกันในตัวตนอีกแบบหนึ่ง คือหนึ่งคนก็มีหลายตัวตนในแต่ละสังคม จอห์นกับเจย์ก็คงแบบนั้น จริง ๆ พวกเขาก็ต่างดูจะพร้อมรับทุก ๆ ตัวตนของอีกฝ่ายแหละ ถ้าไม่ติดว่าเจย์เป็นตัวแทนของสิ่งที่จอห์นไม่เห็นด้วย 5555 บ้าเอ๊ย unforbidden love มันช่างหอมหวาน ความต่างของชนชั้นวรรณะที่ขีดเราไว้แต่เราก็ยังดึงดันจะข้ามไป และก็พยายามจะทำลายมันด้วยวิธีการของตัวเองด้วย
เอาจริงวิธีของจอห์นก็ไม่ได้รุนแรงอะไรเลย แต่การยืนหยัดกับแนวคิดของตัวเองทำให้ดูต่อต้านชัดเจนมาก แต่เจย์ก็น่ารัก เข้าใจตลอด คนดีที่สุด /จุดนี้ต้องถอนสายบัวให้เขาใช่ไหมคะ
ชอบดีเทลเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเช่นการแสดงออกว่าไม่เห็นด้วยกับสถาบันของจอห์นด้วยการไม่เรียกเจย์ด้วยราชาศัพท์ 555 เอ็นดูที่สุดคือการสมัครทวิตเตอร์ น่ารักไปไหนเอ่ยคุณเจย์ Q__Q ใจอ่อนใจบาง น่ารักขนาดนี้ อยากให้เธอเป็นคนธรรมดาที่ได้รักกับนักหนังสือพิมพ์อย่างสบายใจจัง
ทั้งนี้ ตอนจบที่เปิดมาให้ขำกับชื่อม้า แต่ปิดด้วยเรื่องน่าปวดใจนี่ก็... Q____Q /น้ำตาซึม
แต่ ค่ะ มันหอมหวาน เรื่องแบบนี้มันหอมหวานเหลือเกินนนนนนนนนน o<---< รักงานพี่กิฟต์เสมอมาค่ะ ?