เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
QUITE SHORT STORIESgiftmeme
love, probably
  • this is a new year story with six separated scenes, all happening through the new year eve. 
    please scroll down to read, one story after another.

    01; coming of age
    02; strangers
    03; discrepancy
    04; time zone
    05; wonder
    06; stars
  • 4:30 pm / coming of age



    มีอีก 364 วันให้เลือก ทำไมต้องเป็นวันนี้ด้วย

    ผมคิดอย่างฉุนๆ ขณะหยิบหนังสือลงจากชั้น เหลี่ยมมุมและน้ำหนักของมันทำให้แขนผมเริ่มปวดร้าว พอวางลงในลังกระดาษแรงๆ เข้าหน่อย ฝุ่นก็ฟุ้งจนเห็นได้ชัดผ่านแสงแดดยามบ่ายแก่ๆ ที่ส่องลอดผ้าม่านเข้ามา ตอนแรกร่างกายยังทำท่าว่าไหว แต่พอจามจนหอบและน้ำตาไหลเกือบเป็นสาย ผมจึงต้องสวมหน้ากากอนามัยที่ชวนอึดอัด อากาศก็ร้อนจนน่าประกาศยกเลิกฤดูหนาวไปให้รู้แล้วรู้รอด

    เปิดตู้เสื้อผ้า กวาดเสื้อเชิ้ตและเสื้อยืดจากราวในคราวเดียวก่อนจะโยนลงบนเตียง ฝุ่นกระจายขึ้นมาอีกระลอก ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะเอาเครื่องแต่งกายเก่าๆ ที่ไม่ค่อยได้ใส่ไปทำไม ถ้าถาม หมอนั่นคงตอบว่า “เผื่อไว้น่า” ตามเคย แต่นั่นก็มีประโยชน์กว่าตุ๊กตาเน่าๆ ที่นอนแอ้งแม้งบนที่นอน แค่คิดว่ามีคนยอมรับเรื่องนี้ก็รู้สึกแปลกพิกล เขาชอบปามันใส่ผมเวลาจนมุม ดูชอบอกชอบใจที่เห็นผมทำท่ารังเกียจ โชคดีที่ผมใส่ถุงมือ เลยไม่ตะขิดตะขวงใจที่ต้องจับมันยัดลงกล่อง ไปอยู่รวมกับโล่รางวัลสมัยมัธยมปลายและโมเดลอะไรไม่รู้ที่ผมไม่อิน นี่ก็ปาไปกล่องที่สามแล้ว ยังเหลือโต๊ะทำงานอีกที่หนึ่ง

    ปากกาเก่าๆ ที่เขียนไม่ติดอัดแน่นเต็มกล่องพลาสติก เช่นเดียวกับปากกาไฮไลต์ที่ซีดหมดแล้ว ยางลบ
    เหนียวๆ ก็ไม่รู้จักโยนทิ้งไป ตั้งแต่แม่เลิกเข้ามาวุ่นวายกับห้องของเรา ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ยอมทิ้งอะไรไปสักอย่าง ส่วนผมก็ไม่ใคร่ใส่ใจเรื่องเขานัก ขอแค่อย่ารุกล้ำอาณาเขตกันก็พอ คาดไม่ถึงเลยว่าจะเก็บสะสมของเอาไว้เยอะขนาดนี้ ในลิ้นชักมีกระทั่งสลิปโอนเงินค่าเรียนพิเศษเมื่อปีมะโว้ ซองไปรษณีย์ที่ลงวันที่เมื่อเกือบสิบปีก่อน และซีดีรอมที่ไม่มีอะไรเขียนไว้ พวกสมุดโน้ตย่อที่เขาเคยเสนอให้ยืมอ่านสอบและผมหยิ่งเกินกว่าจะรับกองกันเป็นระเบียบ โดนฝังอยู่ในนั้นโดยไม่รู้เรื่องรู้ราวนานหลายปี
    พวกนี้คงต้องทิ้งสินะ เขาไม่ได้บอกให้เก็บ อาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่ายังมีของพวกนี้อยู่

    ผมพลิกหน้ากระดาษเพื่อดูเนื้อหาข้างในคร่าวๆ พอเป็นเรื่องแบบนี้ทีไร ผมอดใจไม่อยากรู้ไม่ได้ทุกที กิจกรรมทำความสะอาดห้องหรือเก็บข้าวของมักเสร็จช้าเพราะแบบนี้แน่ๆ ขนาดพวกมิวสิกวิดีโอยังชอบกำหนดคอนเซ็ปต์เป็นคนนั่งเก็บของพลางระลึกถึงอดีตอย่างเศร้าๆ เลย ถ้าเป็นผม เหตุผลที่จะนั่งร้องไห้คงเป็นเพราะฝุ่นเวรนี่เข้าตาและทำให้ภูมิแพ้กำเริบ ไม่ใช่เพราะอาลัยอาวรณ์ลายมือเรียบร้อยที่จดโน้ตกับปากกาสีชวนลายตานี่หรอก 

    “ยังเก็บไม่เสร็จอีกเหรอลูก” เสียงแม่ตะโกนถามจากชั้นล่าง ผมส่งเสียงตอบกลับไปว่าอีกเดี๋ยว รู้ตัวอีกทีก็มีน้ำเสียงเหมือนเขาไปเสียแล้ว ผมรีบโยนสมุดเก่าๆ ลงลัง อาจลงไม้ลงมือหนักไปหน่อย จู่ๆ เศษกระดาษอะไรสักอย่างก็ร่วงลงมาจากตัวสมุดจนเกลื่อนพื้น ดูดีๆ ถึงได้รู้ว่าเป็นซองจดหมายหลายซอง ราวกับสวรรค์กำลังทดสอบผม ลายมือที่จ่าหน้าซองดูคุ้นตา มั่นใจมากว่าเป็นลายมือผู้หญิง ถ้าผมออกแรงเพียงนิดเดียวเพื่อให้กระดาษเลื่อนออกมา และขยับนิ้วนิดหน่อยเพื่อคลี่รอยพับ ผมจะต้องเสียใจเหมือน
    พระเอกเอ็มวีหรือเปล่า

    พี่ชายอายุห่างจากผมสามปี จังหวะการดำเนินชีวิตของเราจึงเหมือนรอยตะเข็บที่เกือบๆ จะสม่ำเสมอบนผืนผ้าเวลาลูบ ตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนประถมที่เราหลบเลี่ยงกัน เปลี่ยนอาคารแล้วอาคารเล่าโดยมีผมไล่ตาม แม้ว่าหมายเลขห้องจะต่างกันจนน่าขำ พอผมขึ้นชั้นมัธยมต้น เขาก็เป็นนักเรียนมัธยมปลายต่างโรงเรียน ก่อนที่อีกสามปีต่อมาจะไปไกลกว่าเดิมในฐานะนักศึกษามหาวิทยาลัย และไปไกลกว่านั้นอีกหลังเรียนจบ ส่วนผมยังอยู่ที่เดิม 

    เพราะแว่นตาอันใหม่แน่ๆ ที่ทำให้เขาดูเปลี่ยนไป แว่นตาล่องหนของผมกับแว่นกรอบเหลี่ยมรุ่นพ่อของเขา พี่ชายยกมือสวัสดีแม่ พูดกับผมสั้นๆ ว่า “เอาของไว้หลังรถได้เลย” แล้วพาพี่สะใภ้เข้าบ้าน ผมยกลังและกล่องพลาสติกที่เก็บมาค่อนวัน ใส่ท้ายรถเอสยูวี ให้ความรู้สึกเหมือนปิดตายความทรงจำยี่สิบปีในเสี้ยววินาทีที่ปิดประตู เสร็จแล้วผมจึงนั่งอยู่อย่างนั้นหน้าบ้าน อยู่ดีๆ ก็นึกถึงหมาที่เคยเลี้ยงมาสิบปีและรู้สึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก 

    “ของเยอะจัง” พี่ชายเอ่ย เขากวาดตามองข้าวของ หลังจากต้องเปิดท้ายรถเพราะแม่ให้มะม่วงมาอีกหนึ่งกิโล “นี่เรามีของแบบนี้ด้วยเหรอ จะเอาไปดีไหมนะ” เหมือนเขารำพึงกับตัวเองคนเดียวมากกว่าจะถามความเห็นผม ผู้ซึ่งอยากตอบว่าเอาไปสิ ผมกำจัดร่องรอยของพี่ไปจากบ้านหมดแล้ว ไปอย่างสบายใจเถอะ อย่าทิ้งอะไรไว้ข้างหลังเลย แต่สุดท้ายเขาก็เอาแค่เสื้อผ้าและถ้วยรางวัลไป ปล่อยกองหนังสือ
    และของสัพเพเหระไว้บนพื้น แม่บ่นผมว่าเก็บอะไรให้พี่ไม่เข้าเรื่องและบอกให้ย้ายมันไปไว้ห้องเก็บของทีหลัง

    นั่นน่าจะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขากอดผม ไม่นับตอนที่ผมยังเป็นทารกไม่ประสีประสา พี่สะใภ้บีบแขนผมเบาๆ บอกว่าผมดูดีขึ้นนะ รอยยิ้มเศร้าๆ แต่สวยจนประทับลึกลงในใจของเธอยังเหมือนคราวที่เราเป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน

    ผมมองรถเคลื่อนจากไป แอบคิดว่าถ้าหมาเรายังอยู่ มันคงไล่ตามรถไปเหมือนกัน
  • 6:00 pm / strangers


    เรามาเจอกันวันปีใหม่ได้ไหม เธอถาม
    ได้สิ ฉันตอบ

    ไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองว่าคนเราต้องใช้ช่วงเวลานี้กับคนสำคัญหรอกนะ ความคิดแวบแรกคือเธอต้องตัวคนเดียวแค่ไหนถึงได้ชวนคนที่ไม่เคยเจอกันออกมากินข้าวเย็นในวันส่งท้ายปี ไม่มีปัญหา ฉันมีนัดออกไปข้างนอกอยู่แล้ว แวะไปเจอเธอสักหน่อยแล้วค่อยไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ คงไม่น่าเป็นไร เธอไม่น่าจะคิดว่าเห็นกันเป็นทางผ่าน เราไม่ได้รู้จักกันขนาดนั้นสักหน่อย ก็แค่คนแปลกหน้า

    จำเราได้ไหม เธอถาม

    ฉันไม่รู้จะตอบคำถามนี้อย่างไร ไม่รู้ว่าคนตรงหน้าอยากได้คำตอบแบบไหน นี่เป็นคำถามจริงจังหรือแค่มุกตลกจืดๆ เหมือนหน้าตาและท่าทางของเธอ ซึ่งเป็นคนประเภทที่ถ้าเราหันไปทางอื่นก็คงหายลับไปจากความทรงจำตลอดกาล ฉันหมุนหลอดในแก้วกาแฟเล่น ยิ้มแก้เก้อ แล้วตอบไปว่าจำได้ เธอคือคนที่เขียนเรื่องสั้นลงเว็บทุกวันอังคารและคุยกันบ้างเป็นครั้งคราวในทวิตเตอร์ ฉันรู้จักชื่อของเธอจากแอคเคาท์ เธอเองก็น่าจะเหมือนกัน จะว่าไปเราไม่เคยแนะนำตัวกันอย่างเป็นทางการ เราเอ่ยเรียกกันและกันตามความเข้าใจแบบนั้น

    จำไม่ได้สินะ เธอยิ้ม ห้องอนุบาลสามทับสิบห้า ชุดพละสีแดง 

    นั่นคงเป็นคำใบ้ แม้จะเฉพาะเจาะจง แต่ก็เลือนรางในคราวเดียวกัน โรงเรียนของเราเรียกอนุบาลสามว่าป.เตรียม ซึ่งในความเป็นจริงที่ฉันไม่เคยฉุกคิดควรจะเรียกว่า “เตรียมประถม” มากกว่า ทั้งระดับชั้นน่าจะเริ่มที่ห้องเก้าและสิ้นสุดที่ห้องสิบหก ฉันไม่เคยหาคำตอบเหมือนกันว่าห้องหนึ่งถึงแปดหายไปไหน เด็กแต่ละห้องใส่ชุดพละสีเดียวกันหมด ก่อนจะโดนแบ่งแยกและกระจัดกระจายไปตามผลการสอบในระดับประถมและมัธยมตลอดเก้าปี สมาชิกห้องสิบห้าสวมชุดพละสีแดง ตอนนั้นฉันยังไม่ได้อ่านแฮร์รี่ พอตเตอร์ รู้แต่ว่าสีแดงไม่เข้ากับผิวคล้ำของตัวเองเท่าไร ยิ่งตอนประถมสองที่ไปเรียนว่ายน้ำตอนปิดเทอมก็ยิ่งดูไม่จืด ฉันเติบโตมาเป็นสลิธีริน ไม่ใช่กริฟฟินดอร์

    เราเคยอยู่ห้องเดียวกันเหรอ ฉันถาม

    ฉันชอบคิดว่าเพื่อนวัยเด็กคือเพื่อนที่เราไม่ได้เลือก เป็นคนแปลกหน้า โดนจับใส่กล่องเดียวกันแล้วเขย่า ระหว่างที่เราเดินเซไม่รู้เหนือรู้ใต้ พอคว้าใครไว้ได้ก็กลายเป็นเพื่อนกันไปโดยปริยาย บางทีอาจเป็นเพียงคนที่นั่งข้างกันเพราะไม่เหลือที่ว่าง หรือบังเอิญสูงต่างกันไม่ถึงเซนติเมตรจนได้ยืนเข้าแถวต่อกัน เราไม่เคยสงสัยความหมายของคำว่ามิตรภาพ แม้แต่ตอนเขียนคำอำลาในสมุดให้กันก็ยังเรียกขานด้วยคำคำนั้น นั่นคงเป็นสาเหตุที่ฉันทำเพื่อนหล่นหายไปตามทาง ถ้าพูดให้ตรงกว่านั้นคือปล่อยมือจากพวกเขาโดยไม่ยี่หระนัก ถ้าคุณนักเขียนตรงหน้ามาจากห้องสิบห้าจริงๆ การที่ฉันจำเธอไม่ได้ก็สมเหตุสมผลดีแล้ว

    เธอพยักหน้า บอกชื่อเล่น ทีนี้ทุกอย่างค่อยฟื้นคืนมาช้าๆ เหมือนสีน้ำค่อยๆ แผ่กระจายไปบนผิวกระดาษ เราเคยกินข้าวเที่ยงด้วยกัน วิ่งตากฝนไปซื้อขนมอีกตึกด้วยกัน เธอมีพี่สาวที่ฉันไม่ค่อยถูกชะตาเพราะท่าทางน่ากลัว เราไปทำฟันที่คลินิกเดียวกัน ฉันไม่เคยเจอเธอที่นั่น แต่หมอฟันที่เป็นคุณป้าของเธอเล่าให้ฟัง เพราะหลังจากชั้นเตรียมประถม เส้นทางของเราไม่เคยหวนมาบรรจบกันอีก ฉันอยู่ห้องหนึ่งตลอดชั้นประถม ส่วนตอนมัธยมต้น ฉันได้ยินว่าเธอย้ายไปอยู่โรงเรียนอื่นแล้ว หากนับเป็นมิตรภาพ นั่นก็เป็นมิตรภาพใสซื่อที่อายุสั้นเหมือนต้นกล้าก่อนลงดิน

    เราเห็นเธอทวีตถึงโรงเรียนเก่าก็เลยเอะใจ แล้วก็ตอนมีคนเรียกเธอด้วยชื่อจริง รู้สึกทึ่งมากๆ เลย ไม่นึกว่าเราจะมาเจอกันผ่านทางนี้ ตอนแรกกะจะบอกก่อนเจอกันแล้ว แต่ลองมาถามเองให้แน่ใจดีกว่า ถึงหน้าตาเราจะเปลี่ยนไปเยอะก็เถอะ ถ้าไม่ใช่คนที่คิดไว้ เราคงหน้าแตกยับ

    พอเธอพูดไปหัวเราะไป คนหน้าจืดท่าทางลำบากใจก็กลายเป็นเด็กหญิงผมสั้นในชุดพละสีแดง เธอในอดีตนั้นหน้าตาน่ารัก ผิวขาว แก้มสีระเรื่อมีเลือดฝาดตลอดเวลา คนแบบเธอนี่แหละที่เหมาะกับชุดพละตัวนั้น จู่ๆ ภาพอีกภาพก็แทรกเข้ามา เธอยังผมสั้นตรงถูกระเบียบเหมือนเคย เพียงแต่ตัวสูงขึ้น ใบหน้ารูปไข่มีรอยยิ้มประดับ ฉันไม่แน่ใจว่านั่นเป็นเธอจริงๆ หรือว่าภาพนิมิต

    ตอนประถม ไม่แน่ใจว่าชั้นไหน เราเคยเจอกันด้วยนะ เรายิ้มให้เธอตอนกีฬาสี แต่เธอดูจะจำเราไม่ได้ หลังจากนั้นก็ไม่ได้คุยกันเลย จริงๆ ตอนขึ้นป.หนึ่ง เราเสียใจมากเลยที่ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกัน เราเรียนไม่เก่งเองแหละ

    ตอนเราแยกกัน ไม่มีใครคิดแลกเบอร์โทรติดต่อหรือแม้แต่ไอดีแช็ต พวกเราต่างคนต่างขึ้นชั้นประถมอีกครั้ง ฉันบอกว่านัดเพื่อนไว้ต่อ ส่วนเธอโบกมือลายิ้มๆ ไม่รู้ว่าจะดีใจอะไรขนาดนั้น ก็แค่ได้รับจดหมายที่มาส่งช้าไปยี่สิบปีเอง
  • 9:09 pm / discrepancy 


    1

    ระยะเวลาที่ไฟเย็นเผาไหม้จนหมดประกายคือ 30 วินาที ขณะที่การสารภาพรักด้วยคำสามคำอาจใช้เวลาเพียงหนึ่งในสิบเท่านั้นเอง

    ถึงเขาจะเป็นฝ่ายเริ่มจุดก่อนจะต่อไฟให้เธอ ไฟเย็นในมือของเขายังคงเต้นระบำหลังจากเธอพูดความในใจออกไป จังหวะที่ประกายไฟค่อยๆ เลือนหายระหว่างที่เขาจ้องมันอย่างเอาเป็นตายโดยไม่แสดงสีหน้าอะไรอาจเป็นได้ทั้งฉากในหนังตลกและหนังเศร้า และเมื่อแท่งไฟเย็นในมือเธอมอดจนหมด ทุกอย่างคล้ายตกจะอยู่ในความมืดชั่วคราว ทั้งที่รอบข้างยังสว่างไสว

    ฉิบหายเอ๊ย หญิงสาวสบถในใจ อยู่ๆ ก็เกิดปัญญาว่าไม่ควรโพล่งอะไรแบบนั้นในคืนส่งท้ายปี ข้อแรกเป็นเพราะมันเชยและน้ำเน่าจนน่าขนลุก เหมือนหนังหรือละครที่เธอชอบค่อนแคะบ่อยๆ ข้อสองก็คือเธอรู้สึกว่าตนเองได้ทำให้วันปีใหม่ไร้ความหมาย จะดีหรือร้าย เวลาที่คนเฝ้ารอกันทั้งบ้านทั้งเมืองก็ไม่สำคัญกับเธออีกต่อไป ถ้าชีวิตถูกย่นย่อมาอยู่ในสามวินาทีที่พูดออกไปว่า “เราชอบแก” ความเงียบหลังจากนั้นก็คงเป็นความตายชั่วนิรันดร์ 

    2

    ชายหนุ่มตอบแค่ว่า “ขอบคุณนะ” ขณะที่คำว่าขอบคุณเป็นได้ทั้งคำตอบรับและปฏิเสธ ถ้าบริกรกำลังจะรินน้ำใส่แก้วแล้วเรายกมือยั้งพร้อมพูดว่าขอบคุณ นั่นแปลว่าไม่ ส่วนเวลาใครให้ของแล้วขอบคุณออกไปนั้นแปลว่ารับ แต่วิธีการต่อกรกับคำพูดดูจะซับซ้อนกว่านั้นสำหรับเขา ถ้าอีกฝ่ายบอกว่าชอบ เพียงตอบว่า “เราก็ชอบเธอเหมือนกัน” หรือ “ขอโทษนะ เราไม่ได้ชอบเธอ” ย่อมถือว่าชัดเจนพอ คำขอบคุณเปล่าๆ ที่ไม่มีคำว่า “แต่” ห้อยตามมาฟังดูเหมือนไม่ใช่อะไรเลย

    หากนับกันตามสถิติ อาจอนุมานได้ว่าเขาไม่ใช่มือใหม่เรื่องการถูกสารภาพรัก แต่ถ้าถามเจ้าตัว เขาคงให้ความเห็นว่าบ่อยแค่ไหนก็ไม่ชิน เคยตอบตรงไปตรงมา เคยเห็นน้ำตาเด็กผู้หญิงมานับไม่ถ้วน ระยะหลังมานี้เลยพูดได้แค่คำว่าขอบคุณเปล่าๆ แล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพื่อนสนิทเคยบอกว่าแบบนี้ใจร้ายกว่า แต่เขาเถียงว่าตัวเองทำตามมารยาท เหมือนเวลามีคนชมก็ต้องขอบคุณ

    “คนละเรื่องกันเลยโว้ย” เพื่อนบอก

    3

    ชายหนุ่มอีกคนเกือบเผลอทำไฟเย็นหลุดมือ ไม่อยากเชื่อว่าจะได้ยินอะไรแบบนั้นจากปากหญิงสาว คนเย็นชาคนนั้นบอกชอบมนุษย์คนอื่นด้วยน้ำเสียงจริงจัง ถึงเธอจะพูดเสียงเบาให้ได้ยินกันแค่สองคน แต่หูเจ้ากรรมของเขาดันไวเกิน เลยต้องคว้าไฟเย็นที่เหลือมาจุดต่อไปพลาง เพราะว่าบรรยากาศรอบตัวสองคนนั้นมืดมนเหลือเกิน เขาอยากเอาไฟเย็นทิ่มหัวของเพื่อนสักทีตอนที่หมอนั่นตอบ “ขอบคุณ” อีกฝ่าย นุ่มนวลแต่รุนแรงเสียจนแทบได้ยินเสียงความเงียบหลังจากนั้น

    “เอ้า เอาไปอีกสิ” เขายัดไฟเย็นใส่มือเพื่อนทั้งสองคน ตีหน้าซื่อและใส่อารมณ์สดใสร่าเริงลงไป ความร้อนบาดผิวอยู่ที่ปลายนิ้วตอนจุดไฟแช็ก น่ารำคาญจริงๆเขาคิด ตอนนี้เพื่อนทั้งสองทำหน้าปลาตาย เหมือนประกายไฟที่ไร้ความรู้สึกร้อนเย็นในมือที่นิ่งไม่ไหวติง 

    “ไม่เห็นสนุกเลย” ยัยนั่นเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน หัวเราะแห้งๆ ทั้งที่น้ำตาแทบจะไหลอยู่แล้ว เขาแซวว่าเธอคงแก่เกินจะอิน แสร้งทำเป็นเสียใจเล็กน้อยเพราะตัวเองเป็นคนจัดซื้อจัดหาของเล่นวัยเด็กมาให้ทุกคนที่ตื่นเต้นนักหนาตอนที่เขาเอาออกมาอวด โชคร้ายที่เธอไม่ขำ คราวนี้เขาได้ยินเสียงพื้นแก้วใต้ฝ่าเท้าที่ไม่มีใครมองเห็นเริ่มแตกร้าว น่ากลัวจนต้องเอามือคว้าราวระเบียง อยากจะฉวยจับมือเธอเอาไว้ด้วยกัน แต่ยัยนั่นหันหลังหายไปในฝูงชนเสียแล้ว

    4

    หญิงสาวมาสาย แต่ไม่คิดว่าจะได้รับการต้อนรับด้วยการจากลา เพื่อนผู้หญิงคนแรกเดินหงอยๆ สวนกันตรงบันได ไม่สบตา ไม่มีทีท่าว่าจะจำกันได้ เธอจึงได้แต่ทำหน้าเหวอ ยกมือทักทายค้างกลางอากาศ ไร้ซึ่งเสียงที่เปล่งออกมา

    ชายหนุ่มอีกคนตามติดลงมาเมื่อเธอก้าวลงบนบันไดขั้นก่อนสุดท้ายพอดี เขาทำสีหน้าพิลึก บอกยากว่าเคอะเขินหรือรู้สึกผิด ถ้าจะลงไปเข้าห้องน้ำหรืออะไรก็ไม่ควรทำสีหน้าแบบนั้นสิ เธอคิด แต่ว่ายังไม่ทันได้ถามไถ่อะไร มือของเขาก็สัมผัสมือของเธอระหว่างสวนทาง ระยะเวลาสามวินาทีไม่ขาดไม่เกิน ปลายนิ้วสัมผัสปลายนิ้ว ไม่ถึงขั้นมิสเตอร์ดาร์ซีกับอลิซาเบธในหนัง แต่มากพอให้ต้องกำมือและคลายออกเพื่อสลัดไล่ความรู้สึกแปลกประหลาดออกไป ก่อนจะคิดได้ภายหลังว่าถ้าเก็บเอาไว้อีกหน่อยก็คงจะดี
    เพื่อนอีกคนตะโกนทักเมื่อเธอไปถึง แม้จะได้อานิสงส์จากแสงระยิบระยับรอบๆ แต่เธอก็รู้ได้ทันทีว่าตาหมอนี่เป็นประกายวิบวับ น่าเสียดาย พวกนั้นเล่นไฟเย็นจนหมดแล้ว
  • 10:00 pm / time zone

    Happy New Year! 22:00

    จอห์นใช้รูปหมีแพนด้าเป็นภาพโปรไฟล์ในแอปพลิเคชั่นแช็ต คุ้นว่าอาทิตย์ก่อนๆ เป็นรูปหมาชิบะ แมวตัวอ้วน และนกแก้วตามลำดับ สำหรับคนเป็นโปรเจกต์เมเนเจอร์ของบริษัทที่มีสาขาอยู่ทั่วโลก นี่อาจเป็นหลักฐานบ่งบอกถึงความเป็นมนุษย์ที่หลงเหลืออยู่ เพราะอีเมลที่นอนรอในกล่องข้อความเนื่องจากถูกส่งมาตอนตีสามเอย หรือกลุ่มแช็ตที่มีบทสนทนาคั่งค้างมหาศาลในยามเช้าเอย ของพวกนี้ทำให้ชวนนึกว่าเป็นฝีมือหุ่นยนต์มากกว่าคนทำงาน เราอาจเป็นสัตว์ในอาณาจักรทุนนิยมเหมือนกัน แต่คนละสายพันธุ์แน่ๆ โชคดีแค่ไหนแล้วที่ยังสนทนาภาษาอังกฤษและภาษามีมกันได้เข้าใจ

    22:01 read Haha. Thanks! It’s still early here, though.

    ใจจริงอยากตอบนักว่าอย่าเพิ่งชวนคุย นี่กำลังเร่งทำงานให้คุณอยู่ ต่อให้ได้ค่าล่วงเวลา คนทำงานในคืนวันสุดท้ายของปีก็ยังน่าสงสารและอารมณ์เสียเหลือทน จอห์นส่งสติ๊กเกอร์หมีสีน้ำตาลดึงประทัดเฉลิมฉลองมาให้ ดูเหมือนจะกะเวลาผิดไปหน่อย เพราะทางนี้เพิ่งส่งสติ๊กเกอร์หมีสีขาวยิ้มทั้งน้ำตาไปหมาดๆ จอห์นอ่าน แต่ยังไม่ตอบ คงไม่รู้ว่าจะมีปฏิกิริยายังไงไม่ให้เพื่อนร่วมงานเศร้าใจ

    Don’t worry. We still have a plenty of time.  22:03
    I’m here with you till the end of the line :)  22:03

    ถ้าเป็นบริบทอื่นคงฟังดูน่ารักดี แต่ที่เขาคอยเคียงข้างไปจนสุดทางก็เพราะต้องรอตรวจงานด่วนก่อนส่งไปให้ลูกค้า ธรรมชาติของงานไม่เอื้อให้โอนอ่อนตามไทม์โซน ธรรมชาติของงานเหมือนธรรมชาติของจักรวาลยุคก่อนไอน์สไตน์ เวลาเดินคงที่เท่ากันทั่วทุกแห่งหน ศักดิ์สิทธิเท่ากับคำว่าเส้นตาย เพราะว่ากำลังติดพันกับงานเลยส่งแค่สติ๊กเกอร์น้องแกะโค้งคำนับขอบคุณไปให้ ย่อหน้าต่างแช็ตลงไป ปล่อยให้ข้อความผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ตรงหางตา ชักสงสัยว่าจอห์นไม่มีงานอื่นให้ทำฆ่าเวลาระหว่างรอพวกเราส่งงานหรืออย่างไร เขาน่าจะไปสวัสดีปีใหม่ประเทศอื่นที่หามรุ่งหามค่ำทำงานไม่ต่างกันด้วย ไปชวนทีมจีนกับญี่ปุ่นคุยโน่นไป ปีใหม่แล้วแน่นอน ไอ้คนเหงา

    Sorry if I bother you. Just wanna wish you a happy new year. 22:05
    Looking forward to working with you next year! 22:06
    I mean, this year. 22:06
    But it’s next year for you, of course. 22:06

    ไม่รู้ว่าจอห์นอายุเท่าไร แต่งงานมีครอบครัวหรือยัง พวกโปรเจกต์เมเนเจอร์ผู้หญิงของบริษัทชอบใช้
    รูปลูกๆ เป็นภาพโปรไฟล์ หรือไม่ก็ภาพตัวเองในอิริยาบถสบายๆ มีคนจำพวกนั้นและคนอย่างจอห์นที่ใช้รูปสัตว์ตลกๆ โดยไม่คำนึงถึงภาพลักษณ์ (แน่นอนว่านั่นก็เป็นภาพลักษณ์อย่างหนึ่ง) บนรายชื่อผู้ติดต่อในแช็ตมีเพียงคำว่า “จอห์น” พร้อมวงเล็บชื่อจริงตามภาษาแม่ให้รู้ถึงถิ่นที่มา ในแผนผังบุคลากรมีเพิ่มเติมแค่ตำแหน่งและอีเมลติดต่อ เขาไม่อัปเดตภาพหรือสถานะใดๆ ในโซเชียลมีเดียของบริษัทด้วยซ้ำ จอห์นคือตัวเจบนพื้นหลังสีชมพู ต่อให้พยายามมองหาในภาพงานเลี้ยงเป็นหมู่คณะก็ยากจะเดา ไม่รู้ว่าพวกเขาลืมแท็กจอห์นหรือจอห์นไม่มาร่วมวงด้วย จะใช่คนตัวสูง หน้าง่วงๆ ที่อยู่แถวหลังหรือเปล่าก็ไม่รู้

    หัวหน้าทีมบอกว่าเคยเจอจอห์นที่งานประชุมประจำปี หมอนี่ดูดีเกินมนุษย์มนา ตอนประชุมทางวิดีโอ จอห์นไม่เคยพลาดเปิดกล้อง เลยไม่เคยเห็นกับตาว่าคำร่ำลือเป็นจริงหรือไม่ บริษัทมีกฎห้ามพนักงานคบหากัน จอห์นหล่อเหลาถึงปานนั้นก็คงอันตราย ควรจับไปทำงานในห้องใต้บันไดแล้วล็อกกุญแจไว้ นั่นคงเป็นคำอธิบายว่าทำไมเขาถึงได้ลึกลับนัก 

    23:00 read Hi John, I already sent the file. Could you kindly check it? 

    ได้คุยกับจอห์นครั้งแรกเมื่อห้าหกเดือนก่อน ด้วยความที่ไม่เคยมีโปรเจกต์เมเนเจอร์ทักมาเป็นการส่วนตัวมาก่อน สัญชาตญาณจึงบอกว่าไม่น่าจะใช่เรื่องดี แล้วก็เป็นอย่างนั้น ต้องแก้งานใหม่แล้วขอโทษขอโพยยกใหญ่ แต่จอห์นตอบกลับมาว่า No worries! Thank you for a quick response :) ถึงจะหัวเสียยังไง แต่คนระดับนี้ก็เหวี่ยงวีนไม่ได้หรอก ไม่รู้ว่าเขาส่งรอยยิ้มออนไลน์ด้วยสีหน้าแบบไหนกัน แต่ทุกครั้งที่แช็ตส่งเสียงแจ้งเตือน หัวใจแทบวายด้วยความกังวล

    Hi again. The file is alright! Thank you for working hard. 23:05
    Just wondering if you can standby for a while. Till midnight, maybe? 23:06

    23:06  Okay. Let me know if you need any help.

    No need. I just want to do this properly. 23:07

    23:07  Do what?

     

    Incoming call from John 23:59

  • 11:45 pm / wonder


    “ช่วงนี้ดูเหงาๆ เปลี่ยวๆ นะ ไม่เคยเห็นเป็น” เขาทัก รินเบียร์ลงแก้วจนฟองแทบล้น เขาหยุดทันตอนที่เครื่องดื่มขึ้นมาปริ่มขอบแก้วพอดิบพอดีโดยไม่มีอาการชะงักแต่อย่างใด หมอนี่เป็นเครื่องจักรรินเหล้าถึงขนาดนั้นเลย

    “เหรอ จะว่าเพราะเทศกาลก็ไม่น่าใช่นะ ร้อนฉิบหาย ไม่มีบรรยากาศหน้าหนาวเหงาๆ แบบในหนังเลย” ผมหัวเราะ จริงๆ ก็ประหลาดใจที่เขาสังเกตอารมณ์และจับความรู้สึกที่ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารู้สึกได้อย่าง
    มั่นอกมั่นใจปานนั้น

    “อาจเป็นเพราะแกอารมณ์ศิลปินมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วมั้ง แล้วช่วงปลายปีมันคงมีไวบ์บางอย่าง”
     วิธีที่เขาออกเสียงคำภาษาอังกฤษพยางค์เดียวได้ชัดแจ๋วแต่ไม่ขัดใจทำให้ผมนึกถึงสมัยเราอยู่มัธยม “ไม่รู้สิ พักนี้เห็นเขียนแต่เรื่องเศร้าน่ะ ปกติแกชอบเขียนอะไรมีความหวัง แล้วก็แนวๆ ถ้าไม่รักก็อกหักรุนแรงไปเลย แต่ช่วงนี้มันบอกไม่ถูก เรียกว่าโหยหาอะไรบางอย่างได้หรือเปล่า โคตรเหงาเลย”
      
    “โอ้โฮ อ่านเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมยื่นแก้วให้เขารินเบียร์เติมบ้าง “เขินแฮะ ถึงขั้นวิเคราะห์ได้ด้วย ที่ว่าเหงานี่เป็นเพราะแกเหงาเองหรือเปล่า”

    “เหมือนแกอวยตัวเองเลยว่ะ แบบว่า ‘เฮ้ย ฉันเขียนดีจนคนอ่านรู้สึกตามเลย’ แล้วก็อย่ามาบอกนะว่าคนเขียนกับเรื่องที่เขียนมันไม่เกี่ยวกัน แกถนัดเขียนเรื่องรักที่ไม่มีคำว่ารัก เรื่องเศร้าที่ไม่มีคนร้องไห้ ดังนั้นถ้าเหงาก็คงไม่ยอมบอกว่าเหงาหรอก”

    “ขนาดนี้แล้วมาเขียนคำนิยมให้เลยไหม” 

    “ตกลงว่าเป็นอะไรล่ะ ไม่เห็นตอบตรงๆ”

    “ก็ไม่อะไร ถ้าถามว่าอยู่อารมณ์ไหน เราคงตอบว่าอารมณ์สงสัย แกอย่าเพิ่งตัดสินเรานะ คือเราเห็นคนมีแฟนหรือแต่งงานแต่งการกันเยอะ อยู่มาวันหนึ่งเลยสงสัยว่าความรักที่สมหวังมันเป็นยังไง การมีคนมาชอบหรือได้รับความรักบ้างมันจะเป็นความรู้สึกแบบไหน เราคงซ่อนความสงสัยไม่เนียน แกเลยนึกว่าเราเปลี่ยวใจมั้ง” ผมหัวเราะหึ หน้าชักร้อนผ่าวๆ ที่ต้องสารภาพมากกว่าฤทธิ์เบียร์ “บอกตามตรง พักนี้เราเขียนถึงความรักได้ไม่สนิทใจแล้ว เหมือนตอบข้อสอบโดยที่ตัวเองไม่เชื่อน่ะ แค่จำๆ เขามา แต่เราไม่อยากถือตาข่ายไปไล่จับความรักแล้ว ไม่ได้โหยหาอยากได้ใครสักคนมาเป็นคนรัก ทั้งหมดคือเราอยากรู้จักมัน แค่สงสัย แต่จะหายคาใจได้ไวที่สุดก็ต้องพึ่งประสบการณ์ตรงหรือเปล่านะ”

    “เฮ้ย ใจเย็น” เขาทำตาโตเมื่อเห็นผมทำท่าจะเปิดเบียร์อีกขวด “เราเข้าใจละ ว่าทำไมเรื่องของแกถึงจบแบบนั้นทุกที”

    “แบบไหน”

    “ไม่มีแฮปปี้เอ็นดิ้ง ถ้าไม่จบเศร้าก็จบไปดื้อๆ แบบนั้นเลย ต่อให้ตัวละครรักกันก็ไม่มีใครพูดว่ารัก เป็นพวกปากแข็ง”

    “เราก็แค่เขียนเรื่องที่เรารู้จักดี” ผมหัวเราะ “เราว่าเราถนัดหลงรักคนไปเรื่อยๆ ว่ะ ชอบคนมาแทบทุกแบบแล้ว จนวันหนึ่งมันก็จบไปดื้อๆ เหมือนของโดนเก็บลงกล่อง วันดีคืนดีมาจัดบ้านใหม่แล้วเจอก็ชอบหยิบมาดูอีก ประมาณนั้นแหละ”

    “หลงรักไปเรื่อยๆ แล้วแกเคยบอกออกไปหรือเปล่าล่ะ”


    ยังไม่ทันได้ตอบ เสียงเพื่อนคนอื่นๆ ดังโหวกเหวกขึ้นมาให้เตรียมนับถอยหลัง ทุกคนกรูกันไปอยู่หน้าจอโทรศัพท์ที่กำลังถ่ายคลิปสิบวินาทีสุดท้ายของปี ผมกับเขาอยู่รั้งท้าย ไม่รู้ว่ากล้องจะจับภาพผมได้ชัดหรือไม่ ส่วนเขาตัวสูงเลยรอดตัวไปสบายๆ 

    ผมไม่ได้ส่งเสียงนับเลขกับเขาหรอก รู้ตัวอีกทีสายตาก็จ้องไปที่พลุที่จุดจากอีกฟากของแม่น้ำแล้ว ดอกไม้เบ่งบานบนฟ้ามืด ก่อนที่กลีบจะร่วงโรยและหายลับไปเหมือนลมพัด เอาเข้าจริงก็เหมือนเพื่อนฝูงที่อีกเดี๋ยวก็จะสลายตัวไปตามทางของตัวเอง ระยะเวลาสิบปีที่เรามารำลึกหมดไปไวเหมือนเหล้า
    ในหนึ่งคืน 

    “ไม่เคยบอกหรอก” ผมตอบคำถามที่ค้างคาอยู่ เขาเอนหลังพิงราวสะพาน ยกมือเสยเส้นผมสีดำเส้นละเอียด “เราคงเสพติดการตกหลุมรักไปเรื่อยๆ มั้ง”

    ผิดคาด เขาไม่ได้เอ่ยวาจาตัดสินอะไรนอกจาก “นั่นสินะ เราก็เหมือนกัน” 


    เรายืนมองเรือล่องแม่น้ำผ่านไปช้าๆ เหมือนภาพบนสไลด์ 
     ปีใหม่แล้ว แต่ดูเหมือนแฮปปี้เอ็นดิ้งจะยังมาไม่ถึง
  • 00:10 am / stars


    ผมเจอเธอที่นั่น บนดาดฟ้าโรงเรียนหลังผ่านเที่ยงคืนมาได้หยกๆ เด็กผู้หญิงผมสั้นประบ่าใส่เครื่องแบบนักเรียนนั่งขัดสมาธิอยู่ใกล้ขอบตึก ไม่ว่าใครเห็นก็คงสะดุ้ง นึกว่าเป็นผี และคนสติดีๆ ก็คงรีบหันหลังกลับ แต่พอผมส่งเสียง “เฮ้ย” ออกไป กลายเป็นว่าเธอดันร้อง “เฮ้ย” ดังกว่ากลับมาเสียได้

    ข้างตัวเธอมีน้ำอัดลมใส่น้ำแข็งที่ละลายไปค่อนแก้ว อากาศเย็นจะตาย เสื้อกันลมกันหนาวก็ไม่ใส่ ผมเดินไปนั่งลงใกล้ๆ เหยียดแข้งเหยียดขา ปลายเท้าชนขอบคอนกรีตที่สูงขึ้นมาไม่กี่นิ้ว ไม่ได้สร้างมากันใครร่วงลงไปอยู่แล้ว

    ไม่แน่ว่าเธอคงตกอกตกใจกว่านี้ถ้าผมไม่ได้ใส่ชุดนักเรียนเหมือนกัน อกเสื้อเธอปักดาวดวงเดียว บวกกับทรงผมถูกระเบียบนั่นด้วยแล้ว ดูปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นน้องใหม่ แต่เอาเข้าจริงเธออาจไม่ได้อึดอัดหรือหวาดกลัวขนาดนั้นก็ได้ ในเมื่อเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อนว่า “ถ้าจะมาดูพลุก็มาช้าไปนะ ปีนี้คงงบน้อยมั้ง จุดแค่ไม่กี่นัดเอง”

    ไม่ได้พูดลงท้ายค่ะ เธออาจจะไม่เห็นดาวสามดวงเหนือชื่อจริงและนามสกุลผม น้ำเสียงก็ไม่ได้เคอะเขินเหมือนพูดแก้เก้อ แต่ออกแนวเล่าให้ฟังอย่างเบื่อๆ เหมือนโดนขัดจังหวะมากกว่า พูดจบเธอก็ยกแก้วน้ำหวานเจือจางนั่นขึ้นมาดื่ม แถมยังเคี้ยวน้ำแข็งดังกรุบอีกต่างหาก

    “แล้วเธอขึ้นมาดูพลุเหรอ” ผมถาม

    “เปล่า ขึ้นมาดูดาว” เธอตอบเรียบๆ เดาไม่ออกว่าพูดจริงหรือพูดเล่น

    “แสงรบกวนเยอะขนาดนี้จะเห็นเหรอ” ผมหมายถึงไฟหลากสีที่เปิดสว่างทั่วโรงเรียน ไม่รวมที่ประดับประดาตามต้นไม้และละแวกใกล้เคียงที่จัดงานเลี้ยงฉลองขึ้นพร้อมๆ กัน พอมองจากตึกสูงระดับนี้แล้ว วันนี้ดูจะสว่างไสวกันไปค่อนเมือง อีกทั้งยังเอ็ดตะโรไม่เบา ผมได้ยินเสียงร้องเพี้ยนๆ ไม่ตรงจังหวะของศิษย์เก่าแววมาจากเวทีกลางสนามด้านล่าง

    “นั่นไง” เธอชี้ไปที่ท้องฟ้า ผมมองตาม เห็นจุดจิ๋วๆ ที่ปลายนิ้วของเธอ 

    “ดาวอะไรน่ะ”

    “ไม่รู้สิ ดาวเหนือหรือเปล่า”

    เอาจริงๆ นะ ผมว่าถ้าเธอไม่จงใจกวนโอ๊ยก็คงเพี้ยนตามธรรมชาติ หรืออย่างร้ายที่สุดก็คงคิดสร้างพฤติกรรมแปลกๆ ที่ทึกทักเอาเองว่าเท่ อย่างมานั่งบนดาดฟ้าคนเดียวในคืนขึ้นปีใหม่ ผมไม่รู้ว่าอย่างไหน แต่ที่แน่ๆ เธอเข้ามาแทรกกลางระหว่างผมกับแผนที่วางไว้อย่างเหนือความคาดหมาย

    “ไม่ใช่แล้ว นั่นเครื่องบินต่างหาก” ผมกวนตีนกลับบ้าง

    เธอเอามือป้องตา ตั้งอกตั้งใจเพ่งดู ไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม ไม่ใช่ตอนกลางวันสักหน่อย ลึกๆ แล้วผมรอให้เธอถามว่าผมขึ้นมาบนนี้ทำไม แต่ก็ดูไร้วี่แวว ถ้าผมเอ่ยปากถามว่าทำไมเธอถึงไม่ถาม นั่นคงเป็นการเรียกร้องความสนใจน่าดู ไม่เท่เลย

    “เมื่อไหร่จะลงไปล่ะ” ผมเลือกคำถามนี้แทน “อู้งานเหรอ” 

    “ประธานนักเรียนก็ควรไปด้วยนะ” เธอย้อน “เพราะพี่ไม่ไปคุม เลยมีคนอู้ไง”

    ช่างปากกล้า ที่ผ่านมาคงแกล้งทำเป็นไม่รู้จักกันสินะ

    “ดูดีๆ นั่นก็เหมือนดาวนะ” เธอเปลี่ยนเรื่องฉับพลันทันใด ขยับมานั่งริมขอบดาดฟ้าจนถึงขั้นหย่อนขาลงมา ไม่กลัวลมพัดกระโปรงเปิด ไม่กลัวผีผลักตกตึก ไม่แสดงอาการหวาดเสียวสักนิดตอนเหยียดแขนไปชี้ดวงไฟระยิบระยับตรงโน้นตรงนี้ในโรงเรียน ผมเออออว่า “เหมือนก็เหมือน” ด้วยเสียงแผ่วๆ ขณะที่ลมพัดผมสั้นของเธอจนแทบมองไม่เห็นใบหน้า จู่ๆ ผมก็รู้สึกว่ายัยนี่เหมือนวิญญาณลึกลับขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าที่หัวใจเต้นตึกตักเป็นเพราะกลัวเธอ กลัวความสูง หรือกลัวอะไรกันแน่

    “เราไปข้างล่างกันเถอะ” รู้สึกเหมือนโดนต้อนจนมุม ผมลุกขึ้น ปัดกางเกง ไม่รู้ว่าคราวนี้เลือกคำพูดถูกหรือเปล่า เธอถึงยอมทำตามแต่โดยดี แต่ให้ตาย จังหวะที่เธอจะขยับจากตรงนั้นมันน่าหวาดเสียว
    เหลือเกิน โชคดีแล้วที่ไม่ร่วงลงไป

    โชคดีใช่ไหมนะ

    เราลงบันไดทางเดียวกับที่ขึ้นมา เสียงฝีเท้าสะท้อนก้องบ่งบอกถึงน้ำหนักและแรงกระทำ โชคดีที่เธอไม่ใช่ผีสาง เพราะผมเห็นเพื่อนร่วมรุ่นของเธอทักว่าหายไปไหนมาอย่างโกรธๆ และโชคดีที่ผมเจอเธอ เพราะผมไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าไม่เจอ ผมลืมไปชั่วครู่ว่าไม่ได้ทำสิ่งที่ตั้งใจไว้ เอาไว้ค่อยคิดวันหลังแล้วกัน 

    เราไม่ได้พูด “สวัสดีปีใหม่” หรือแม้แต่พยักหน้าบอกลา

    บ้าบอเหลือเกิน ผมมองเด็กสาวเดินลับตาไป ว่าแต่วันอังคารจะเจอเธอไหมนะ


  • happy new year! 
    wish you a very happy year ahead.
    with many thanks :) 

    - gift


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
a week before valentine (@wirunyupha.chia)
ผ่านปีใหม่มาสองวันแล้วแต่เพิ่งได้อ่านค่ะ ชอบทุกเรื่องเลย 555 มีจุดที่รู้สึกว่า relate กับตัวเองไปเสียหมด แต่เรื่องที่ทำเอาต้องหยุดไปหวีดก็คือเรื่อง timezone นี่แหละค่ะ อยากมีจอห์นเป็นของตัวเองบ้าง T////T สวัสดีปีใหม่นะคะ ขอให้เป็นปีที่ดีค่ะ <3
giftmeme (@giftmeme)
@wirunyupha.chia ทุกคนอยากมีจอห์นที่ออฟฟิศไว้สักคนกันหมดเลยค่ะ ;-; ดีใจที่ชอบ (และรีเลท) นะคะ สุขสันต์ปีใหม่เช่นกันค่ะ!
dyppnl (@dyppnl)
ชอบอ่านเรื่องของคุณกิฟต์มากเลยค่ะ ขอโทษนะคะที่ไม่เคยเม้นเลย ขอบคุณนะคะที่เขียนเรื่องดีๆให้อ่านเรื่อยๆ อ่านเรื่องของคุณกิฟต์ทีไรรู้สึกเหมือนได้ต่อชีวิตทุกทีเลยค่ะ สุขสันต์วันปีใหม่นะคะ?
giftmeme (@giftmeme)
@dyppnl ดีใจมากๆ ที่ชอบนะคะ แค่แวะมาอ่านก็ดีใจแล้ว ขอบคุณที่คอมเมนต์ด้วยนะคะ :)