00:10 am / stars
ผมเจอเธอที่นั่น บนดาดฟ้าโรงเรียนหลังผ่านเที่ยงคืนมาได้หยกๆ เด็กผู้หญิงผมสั้นประบ่าใส่เครื่องแบบนักเรียนนั่งขัดสมาธิอยู่ใกล้ขอบตึก ไม่ว่าใครเห็นก็คงสะดุ้ง นึกว่าเป็นผี และคนสติดีๆ ก็คงรีบหันหลังกลับ แต่พอผมส่งเสียง “เฮ้ย” ออกไป กลายเป็นว่าเธอดันร้อง “เฮ้ย” ดังกว่ากลับมาเสียได้
ข้างตัวเธอมีน้ำอัดลมใส่น้ำแข็งที่ละลายไปค่อนแก้ว อากาศเย็นจะตาย เสื้อกันลมกันหนาวก็ไม่ใส่ ผมเดินไปนั่งลงใกล้ๆ เหยียดแข้งเหยียดขา ปลายเท้าชนขอบคอนกรีตที่สูงขึ้นมาไม่กี่นิ้ว ไม่ได้สร้างมากันใครร่วงลงไปอยู่แล้ว
ไม่แน่ว่าเธอคงตกอกตกใจกว่านี้ถ้าผมไม่ได้ใส่ชุดนักเรียนเหมือนกัน อกเสื้อเธอปักดาวดวงเดียว บวกกับทรงผมถูกระเบียบนั่นด้วยแล้ว ดูปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นน้องใหม่ แต่เอาเข้าจริงเธออาจไม่ได้อึดอัดหรือหวาดกลัวขนาดนั้นก็ได้ ในเมื่อเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อนว่า “ถ้าจะมาดูพลุก็มาช้าไปนะ ปีนี้คงงบน้อยมั้ง จุดแค่ไม่กี่นัดเอง”
ไม่ได้พูดลงท้ายค่ะ เธออาจจะไม่เห็นดาวสามดวงเหนือชื่อจริงและนามสกุลผม น้ำเสียงก็ไม่ได้เคอะเขินเหมือนพูดแก้เก้อ แต่ออกแนวเล่าให้ฟังอย่างเบื่อๆ เหมือนโดนขัดจังหวะมากกว่า พูดจบเธอก็ยกแก้วน้ำหวานเจือจางนั่นขึ้นมาดื่ม แถมยังเคี้ยวน้ำแข็งดังกรุบอีกต่างหาก
“แล้วเธอขึ้นมาดูพลุเหรอ” ผมถาม
“เปล่า ขึ้นมาดูดาว” เธอตอบเรียบๆ เดาไม่ออกว่าพูดจริงหรือพูดเล่น
“แสงรบกวนเยอะขนาดนี้จะเห็นเหรอ” ผมหมายถึงไฟหลากสีที่เปิดสว่างทั่วโรงเรียน ไม่รวมที่ประดับประดาตามต้นไม้และละแวกใกล้เคียงที่จัดงานเลี้ยงฉลองขึ้นพร้อมๆ กัน พอมองจากตึกสูงระดับนี้แล้ว วันนี้ดูจะสว่างไสวกันไปค่อนเมือง อีกทั้งยังเอ็ดตะโรไม่เบา ผมได้ยินเสียงร้องเพี้ยนๆ ไม่ตรงจังหวะของศิษย์เก่าแววมาจากเวทีกลางสนามด้านล่าง
“นั่นไง” เธอชี้ไปที่ท้องฟ้า ผมมองตาม เห็นจุดจิ๋วๆ ที่ปลายนิ้วของเธอ
“ดาวอะไรน่ะ”
“ไม่รู้สิ ดาวเหนือหรือเปล่า”
เอาจริงๆ นะ ผมว่าถ้าเธอไม่จงใจกวนโอ๊ยก็คงเพี้ยนตามธรรมชาติ หรืออย่างร้ายที่สุดก็คงคิดสร้างพฤติกรรมแปลกๆ ที่ทึกทักเอาเองว่าเท่ อย่างมานั่งบนดาดฟ้าคนเดียวในคืนขึ้นปีใหม่ ผมไม่รู้ว่าอย่างไหน แต่ที่แน่ๆ เธอเข้ามาแทรกกลางระหว่างผมกับแผนที่วางไว้อย่างเหนือความคาดหมาย
“ไม่ใช่แล้ว นั่นเครื่องบินต่างหาก” ผมกวนตีนกลับบ้าง
เธอเอามือป้องตา ตั้งอกตั้งใจเพ่งดู ไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม ไม่ใช่ตอนกลางวันสักหน่อย ลึกๆ แล้วผมรอให้เธอถามว่าผมขึ้นมาบนนี้ทำไม แต่ก็ดูไร้วี่แวว ถ้าผมเอ่ยปากถามว่าทำไมเธอถึงไม่ถาม นั่นคงเป็นการเรียกร้องความสนใจน่าดู ไม่เท่เลย
“เมื่อไหร่จะลงไปล่ะ” ผมเลือกคำถามนี้แทน “อู้งานเหรอ”
“ประธานนักเรียนก็ควรไปด้วยนะ” เธอย้อน “เพราะพี่ไม่ไปคุม เลยมีคนอู้ไง”
ช่างปากกล้า ที่ผ่านมาคงแกล้งทำเป็นไม่รู้จักกันสินะ
“ดูดีๆ นั่นก็เหมือนดาวนะ” เธอเปลี่ยนเรื่องฉับพลันทันใด ขยับมานั่งริมขอบดาดฟ้าจนถึงขั้นหย่อนขาลงมา ไม่กลัวลมพัดกระโปรงเปิด ไม่กลัวผีผลักตกตึก ไม่แสดงอาการหวาดเสียวสักนิดตอนเหยียดแขนไปชี้ดวงไฟระยิบระยับตรงโน้นตรงนี้ในโรงเรียน ผมเออออว่า “เหมือนก็เหมือน” ด้วยเสียงแผ่วๆ ขณะที่ลมพัดผมสั้นของเธอจนแทบมองไม่เห็นใบหน้า จู่ๆ ผมก็รู้สึกว่ายัยนี่เหมือนวิญญาณลึกลับขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าที่หัวใจเต้นตึกตักเป็นเพราะกลัวเธอ กลัวความสูง หรือกลัวอะไรกันแน่
“เราไปข้างล่างกันเถอะ” รู้สึกเหมือนโดนต้อนจนมุม ผมลุกขึ้น ปัดกางเกง ไม่รู้ว่าคราวนี้เลือกคำพูดถูกหรือเปล่า เธอถึงยอมทำตามแต่โดยดี แต่ให้ตาย จังหวะที่เธอจะขยับจากตรงนั้นมันน่าหวาดเสียว
เหลือเกิน โชคดีแล้วที่ไม่ร่วงลงไป
โชคดีใช่ไหมนะ
เราลงบันไดทางเดียวกับที่ขึ้นมา เสียงฝีเท้าสะท้อนก้องบ่งบอกถึงน้ำหนักและแรงกระทำ โชคดีที่เธอไม่ใช่ผีสาง เพราะผมเห็นเพื่อนร่วมรุ่นของเธอทักว่าหายไปไหนมาอย่างโกรธๆ และโชคดีที่ผมเจอเธอ เพราะผมไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าไม่เจอ ผมลืมไปชั่วครู่ว่าไม่ได้ทำสิ่งที่ตั้งใจไว้ เอาไว้ค่อยคิดวันหลังแล้วกัน
เราไม่ได้พูด “สวัสดีปีใหม่” หรือแม้แต่พยักหน้าบอกลา
บ้าบอเหลือเกิน ผมมองเด็กสาวเดินลับตาไป ว่าแต่วันอังคารจะเจอเธอไหมนะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in