คำพูด น้ำเสียง ท่าทาง — ผมนึกถึงย่อหน้าแรกในหนังสือที่เพิ่งหยิบมาอ่าน ใจความสำคัญของประโยคนั้นกับประโยคนี้แทบไม่ต่างกัน เพียงแต่ในกรณีนี้ คำพูดของเขาดูจะขัดแย้งกันเองหน่อยๆ “ได้สิ” ดูเป็นคำตอบรับหนักแน่น ขณะที่ “ไว้เจอกัน” นั้นเบาหวิวและเลื่อนลอยเหมือนไม่มีอยู่จริง น้ำเสียงทุ้มต่ำนั่นฟังดูสบายๆ ราวกับว่าการออกไปดื่มหลังเลิกงานไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่แล้วในวินาทีถัดมามันกลับกลายเป็นเรื่องซับซ้อนที่เขายังไม่อยากจะลงมือทำตอนนี้ ไหนจะท่าทางเฉยชาและสุภาพจนชวนโมโหนั่นอีก ความเป็นมืออาชีพงั้นเหรอ ผมคิด เขาอยากให้ผมเกลียดงั้นเหรอ ผมมองเขาหยิบเสื้อแจ็กเกตหนาๆ ขึ้นมาจากเก้าอี้ สวมหมวกบีนนี่ตลกๆ เพื่ออำพรางตัวเองเวลาออกไปข้างนอก โดยที่ไม่รู้เลยว่านั่นทำให้เขายิ่งโดดเด่นเข้าไปใหญ่ คนอเมริกันประหลาดๆ ในลอนดอน ผมอยากพาเขาไปผับโปรดใจจะขาด ขอเวลาแค่ชั่วโมงเดียวที่เราได้เป็นเรา ไม่ต้องเป็นเพื่อนร่วมงาน ไม่ต้องสวมบทบาท ไม่ต้องมีปริศนาหรือความลับให้คาดเดาเหนือแก้วเบียร์ แต่ทั้งหมดทั้งมวลดูจะไกลเกินเอื้อมเมื่อเขายกมือขึ้นมาเก้อๆ ก่อนจะพูดว่า “ไว้เจอกัน” อีกหน คราวนี้ถ้อยคำลอยปลิวไม่เจาะจงถึงใครพิเศษ หมอนั่นเดินออกไปโดยไม่รอคำตอบรับจากหลายๆ คนที่อยู่แถวนั้นด้วยซ้ำ
ผมไม่รู้ว่าเขาเข้าใจความนัยของคำพูดนั้นหรือเปล่า “เราน่าจะไปดื่มกันหน่อยนะ” จากปากผมหมายถึง “ฉันอยากรู้จักนายให้มากกว่านี้” ไม่สิ “ฉันอยากเป็นเพื่อนกับนาย” ในขณะที่ “ไว้เจอกัน” จากปากเขาชี้ชวนให้เข้าใจได้อย่างเดียวว่า “ไม่มีวัน”
2. Stare
“นายไปดื่มกับเขามาเหรอ” ผมทวนคำบอกเล่าของน้องชาย
“เขาชงมาร์ตินีให้พวกเรา” เสียงปลายสายเจื้อยแจ้ว “ใช้มือข้างเดียวด้วยล่ะ เจ๋งชะมัด”
ขี้อวด ผมรำพึงในใจ มีแต่พระเจ้าที่รู้ว่าหมอนั่นเปลี่ยนท่าทีไปตามบทบาทที่ได้รับหรือว่าทำตัวแล้วแต่อารมณ์กันแน่ หากเป็นอย่างแรกก็พอเข้าใจได้ ผมเห็นความทุ่มเทจริงจังสุดขีดของเขาด้วยสายตาตัวเองมาแล้ว และหากเป็นอย่างนั้นจริง สิ่งที่เขาต้องการก็แค่เวลาที่จะลอกเปลือกตัวตนเก่าออกไปช้าๆ ก็เท่านั้น แต่ถ้าเป็นอีกอย่าง — ถ้าเป็นเพราะว่าเขาไม่อยู่ในอารมณ์อยากคบค้าสมาคมกับผม ถ้าเขาเลือกแล้วว่าไม่ล่ะ ขอปฏิเสธ ผ่านคำสัญญาครึ่งๆ กลางๆ นั่นคงทำให้ผมต้องการเรียกร้องเหตุผลจากเขา “ทำไมนายถึงไม่ชอบฉัน” เรื่องนั้นผมคงได้แต่คิดและไม่ยอมเอ่ยออกไปให้เสียหน้าเปล่าๆ งี่เง่าเหลือเกินที่ใส่ใจคนที่พบกันในกองถ่ายแค่ปีละหน หนละไม่กี่วัน คนที่อยู่อีกฟากมหาสมุทรและเขตเวลา คนที่โคจรผ่านมานานๆ ทีและทำให้เกิดสุริยุปราคาเต็มดวง
ความทรงจำถูกฝังกลบไปหลายเดือน รู้ตัวอีกทีผมก็เผลอมองเขาอีกแล้ว ราวกับว่านั่นเป็นคำสาปจากเมื่อครั้งที่เราสบตากันครั้งแรกโดยบังเอิญและรีบเบือนหน้าหนีพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย อันตรายเกินไป รุกล้ำเกินไป ใกล้ชิดเกินไป คนแปลกหน้าจะเลิกเป็นคนแปลกหน้าต่อกันเมื่อทั้งคู่ได้จ้องเข้าไปยังดวงตาของอีกฝ่าย เพราะไม่มีโอกาสแบบนั้น เราสองคนจึงห่างเหินกันใช่หรือไม่ เมื่อเขามองไปทางอื่น เมื่อนั้นสายตาของผมถึงอาจหาญไปสำรวจปริศนาชิ้นใหญ่กว่าหกฟุตที่คอยวนเวียนอยู่ไม่ไกล หมอนั่นก็เหมือนเดิม เว้นแต่ว่าจะใส่เสื้อผ้าสีดำบ่อยขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ รังสีที่แผ่ออกมารอบตัวบอกชัดว่าอย่าเข้ามาใกล้ แต่ถึงกระนั้นสายตาของผมก็ยังคงดื้อรั้นด้วยความเชื่อผิดๆ ว่าสามารถมองทะลุกำแพงสูงและหนานั่นได้ ก่อนที่ต่อมาจะพ่ายแพ้อย่างราบคาบเมื่ออีกฝ่ายหันมาสบตาด้วยอย่างจัง
ผมหลบตาอย่างรวดเร็วจนไม่ทันสังเกตว่าเขาเองรีบเบือนหน้าหนีด้วยหรือเปล่า
แหงอยู่แล้ว
3. Slip
ผมไม่รู้ตัวเลยว่าพูดชื่อของหมอนั่นบ่อยกว่าใคร จนกระทั่งวันหนึ่ง หลังจากหลุดปากพูดชื่อของเขาออกมาราวกับเป็นสิ่งธรรมดาสามัญที่สุดที่คนเราจะเอ่ยถึงได้ ความจริงก็จู่โจมเข้ามาในสำนึกเหมือนคอยท่าอยู่นาน — ทุกๆ อย่างล้วนวกกลับมาที่เขา คำถามแล้วคำถามเล่าที่ส่วนใหญ่มีเขาเป็นคำตอบ น่าอายเหลือเกินที่สุดท้ายก็ไม่ต่างกับการตะโกนลงไปในบ่อน้ำลึก สิ่งที่สะท้อนกลับมามีเพียงเสียงของผมและคำสองพยางค์นั้น ชื่อที่เรียบง่ายจนน่าหงุดหงิดและก้องกังวานไม่ยอมหยุดจากปากของผมเอง
“ใครๆ ก็อยากอยู่กับเขาทั้งนั้นแหละ” ผมพยายามพูดติดตลก แต่น้ำเสียงที่ผมได้ยินเองกลับฟังดูเป็นอย่างอื่น เหมือนเด็กน้อยที่ต้องการความสนใจจากเพื่อนคนดังในห้อง ผมยิ้มเจื่อน เอื้อมไปจับมือบอกลากับคนสัมภาษณ์ที่เจ้าเล่ห์จนทำให้ผมยอมรับว่าอิจฉาคนที่ได้อยู่ใกล้ๆ หมอนั่น วันนี้ไร้เงาของเขาในสตูดิโอ เราทั้งคู่สวนกันไปมา ระแวดระวังกันและกันเหมือนมีกับระเบิดอยู่รอบตัว มีการพยักหน้าเล็กๆ น้อยๆ เป็นคำทักทายและบอกลา ไม่ต่างกับเมื่อสองปีก่อน ปีนี้ และน่าจะในอีกสองปีข้างหน้า น่าน้อยใจอยู่นิดหน่อยที่เขาโคจรรอบคนอื่นๆ มากมาย แต่ผมดูจะมีแค่เขาคนเดียวเท่านั้น
หลังจากการเหลียวมอง การเอ่ยชื่ออีกสองสามครั้ง และไวน์กับค็อกเทลหลายแก้ว คำพูดหลุดปากก็กลายเป็นบทสนทนาธรรมดา “ในที่สุดก็ได้ดื่มด้วยกัน” ผมว่า หัวเราะเก้อๆ เสียจนเริ่มจะเกลียดตัวเอง “เชียร์ส”
“ใช่” เขาตอบรับ ท่าทางตระหนกราวกับผมลอบทำร้ายเขาโดยไม่ทันตั้งตัว เขาก้มมองแก้วเครื่องดื่มในมือเหมือนพยายามหาทางออกด้วยการละลายหายไปในนั้น ท่าทางอึดอัดใจทำให้ผมแทบระเบิด แอลกอฮอล์เวรพรากความยับยั้งชั่งใจไปหมดสิ้น วินาทีต่อมาผมจึงโพล่งออกไปด้วยคำถามเดียวที่เก็บมานาน ไม่ใช่แค่สองปี แต่เป็นห้าปี นับตั้งแต่เราตัดสินใจไม่มองหน้ากันถ้าหน้าที่การงานไม่บังคับ
“ทำไมนายถึงไม่ชอบฉันนัก”
“อะไรนะ —“
“ทำไมถึงเกลียดขี้หน้ากัน”
เขาทำหน้างุนงงสุดขีด ใช่ ผมสบตาเขาตรงๆ จ้องเข้าไปในดวงตาลูกหมายักษ์คู่นั้นเป็นครั้งแรก ไม่ใช่ในฐานะตัวละคร แต่เป็นคนสองคน โดยที่คนหนึ่งเมามายและน่าจะอับอายขายหน้าในเช้าวันรุ่งขึ้น
“เพราะนายอายุเท่าฉัน” เขาตอบ “และเพราะว่านายเก่งชะมัด”
ผมยังไม่ทันประมวลผลข้อมูลเท่าไรนัก นั่นเป็นคำยืนยันว่าหมอนั่นเกลียดผมจริงๆ หรือเปล่า หรือว่านั่นเป็นคำชมประเภทไหนกัน ก่อนที่ผมจะมีโอกาสได้ไถ่ถามอะไรต่อ ช่างภาพสักคนที่เห็นเราอยู่ด้วยกันก็ร้องเรียก แสงแฟลชวาบบาดตา ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำหน้ายังไง เขาทำหน้ายังไง นั่นเป็นภาพแรกที่เราถ่ายด้วยกันสองคน แค่สองคน เปิดเผยสู่โลกภายนอกที่น้อยคนจะล่วงรู้ความในใจของผม
เขาปลีกตัวไปทางอื่นอย่างเงียบเชียบก่อนที่ผมจะรู้ ร่างสูงโย่งถูกห้อมล้อมด้วยผู้คนที่มุ่งหน้ามาแสดงความยินดี ถึงจะเห็นไม่ชัด แต่ผมรู้ดีว่าเขาคงยิ้มเขิน กล่าวขอบคุณ และรอคอยจังหวะที่จะชิ่งออกไปจากงานอีกครั้ง
เพียงแวบหนึ่งเท่านั้น เขาหันมามองผมจากอีกฟากหนึ่งของห้อง ผมไม่แน่ใจว่าตาฝาดหรือเพ้อฝันไปเองหรือไม่
คราวนี้ผมไม่ได้หันหน้าหนี
เขาก็เหมือนกัน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in