มาถึงแดนมหามงคลกี่โมงจำไม่ได้ น่าจะสิบเอ็ดโมงกว่าหรือเที่ยง มีคนลงจุดนี้พร้อมเราหลายคน ต้องเดินเข้าไปอีกหน่อยถึงจะจุดก่อนข้ามสะพาน ก็จะมีคนใส่ชุดขาวมาบอกพวกเราที่เดินทางมาใหม่ให้เปลี่ยนเป็นชุดขาวหรือชุดสุภาพก่อนข้ามสะพาน เราก็เอากางเกงสีขาวมาสวมทับกางเกงยีนส์ขาสั้นก่อนเดินข้ามสะพานไปยังจุดลงทะเบียน
หลังจากลงทะเบียนก็ต้องดูชุดที่เราจะใส่ในการปฏิบัติธรรม การมาปฏิบัติธรรมที่นี่ครั้งแรกๆ จะอยู่ได้ 3 วันก่อน ถ้าประพฤติดีค่อยอยู่ต่อ ตอนแรกตั้งใจจะไม่ซื้ออะไร เพราะเงินไม่ค่อยมี แต่สุดท้ายก็ต้องซื้อผ้านุ่งสีขาวมาใส่แทนกางเกงสีขาวที่เราเอามา ส่วนหนังสือสวดมนตร์ไม่แน่ใจว่าซื้อหรือมีแจก ส่วนเรื่องอาหารที่นี่จะทานอาหารแค่ช่วงเช้าและให้เก็บอาหารช่วงเช้าใส่กล่องมาทานตอนกลางวัน
เมื่อเราซื้อของเสร็จก็เข้าห้องน้ำ อาบน้ำเปลี่ยนเป็นชุดขาว ไปขอบวชต่อหน้าพระพุทธรูปที่ศาลาใหญ่ที่ต้องเดินเข้าไปข้างในแล้วเอาของไปยังที่พักที่เป็นศาลาริมน้ำ ฝากโทรศัพท์มือถือ ซึ่งพี่ชุดขาวที่เป็นคนดูแลที่นี่จะเอาไปเก็บไว้ในตู้เก็บของด้านหลัง ซึ่งยอมรับว่าที่นี่สวยมากเป็นที่พักตากอากาศได้เลย ตรงด้านในศาลาที่ติดริมแม่น้ำจะมีทางลงไปริมน้ำ ซึ่งไม่แน่ใจว่ามีปลาด้วยไหม แต่ดูสงบ ธรรมชาติช่วยให้ผ่อนคลาย แต่อากาศก็ร้อนมาก
ตอนมาถึงแรกๆ ไม่ทราบว่าจะทำอะไร มาคนเดียวด้วย ไม่รู้จะไปคุยกับใคร ก็เดินไปเดินมา ก็เดินไปศาลาใหญ่หลังหนึ่ง ไหว้พระ แล้วมานั่งคุยกับแม่ชี ซึ่งก็เหมือนคุยกันไม่รู้เรื่องเท่าไหร่ เบื่อมาก ก็เดินไปที่ศาลาเล็กๆ ใกล้ๆ จุดเข้า - ออก ที่มีคนใส่ชุดขาวที่เหมือนอยู่มานานและเป็นเป็นคนดูแลที่นี่ ก็ไปนั่งคุยกับเขา แต่เพราะกิริยาเราไม่เรียบร้อยและทำอะไรไม่เป็น เขาเลยบอกว่าถ้าเรามาเร็วกว่านี้อาจจะดีกว่านี้ พี่ชุดขาวคนหนึ่งก็มารวบผมติดกิ๊ฟให้เรา ตอนนั้นเราใส่สายสิญจ์อยู่หลายเส้น เขาก็บอกให้เอาออกเพราะที่นี่ไม่ให้ใส่ แต่เราก็ไม่ได้เอาออก ก็อยู่ไปอย่างเบื่อๆ เพราะไม่คุ้นกับการมาปฏิบัติธรรมด้วย ตอนเย็นๆ ก็มีสวดมนตร์นั่งสมาธิ จะมีทั้งในศาลาใหญ่หรือบางวันก็ไปนั่งที่สนามหญ้าหน้าศาลาใหญ่อีกหลังซึ่งเป็นศาลาที่มาขอบวช
ตอนนอนก็นอนรวมในศาลาริมน้ำ บางคนก็มีมุ้ง เราก็ไปนอนริมๆ แถวๆ ระเบียงริมแม่น้ำ ก็อยู่ไปอย่างเบื่อๆ จริงๆ ตอนเช้าก็ตื่นมาสวดมนตร์ที่ศาลาใหญ่แต่เช้า พอสวดมนตร์เสร็จก็มีแบ่งหน้าที่ว่าใครจะทำอะไร ก่อนมาเราเคยอ่านว่าทำความสะอาดอะไรจะได้บุญอะไร อย่างล้างห้องน้ำวัด หน้าตาผ่องใส ดวงดี ชีวิตรุ่งโรจน์ หรือถูสะพานข้ามไปมา ก็ข้ามทุกข์ข้ามความโศก ก็เหมือนเป็นอุบายทำความสะอาดวัดแล้วจะได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ให้คนที่มาปฏิบัติธรรมช่วยทำความสะอาดดูแลวัดอย่างตั้งใจ เราเลือกทำความสะอาดสะพาน ก็มีคนไปทำหลายคน เขาก็ให้เราขัดราวสะพาน (ความจริงเราอยากถูสะพานข้ามไปมามากกว่า) คนถูสะพานข้ามไปข้ามมาก็มี ตอนใกล้ทำความสะอาดเสร็จ เราเลยไปขอไม้ถูพื้น ถูสะพานข้ามไปมารอบหนึ่งบ้าง ส่วนขัดห้องน้ำนี่งานเหนื่อยและเปียก ห้องน้ำก็มีหลายห้อง มีคนทำหลายคน คือประมาณ 5 - 6 คนก็แบ่งห้องกันทำ นอกจากนี้ก็พวกกวาดพื้นทั่วไป, ทำความสะอาดศาลาและช่วยงานครัว
การมาปฏิบัติธรรมที่นี่ อยู่ๆ ไป เราก็รู้จักคนหลายคน พี่คนหนึ่งรู้จักน่าจะตอนที่เราไปนั่งคุยเรื่อยเปื่อยที่ศาลาลงทะเบียนหรือตอนไปทำความสะอาดสะพานนี่แหละ ได้คุยกันนิดๆ หน่อยๆ พี่เขาดูมีเงินและบอกทำ Aimstar ซึ่งพี่คนนี้หลังจากเราออกจากที่นี่กลับไปใช้ชีวิตปกติ ก็มีโทรมาบ้างเรื่อง Aimstar มีจะมาคุยกับเราที่บ้านด้วยแบบหาลูกค้า แต่พอเราบอกเราเรียนอยู่ก็เลิกโทรมา
น้องอีกคนหนึ่งรู้จักตอนที่พี่ชุดขาวระดับหัวหน้า (ที่นี่เราเรียกพี่เหล่านี้หลายคนว่า "คุณแม่") เรียกพวกเราที่นั่งเล่นอยู่ในศาลานอนไปทำความสะอาด น่าจะพวกผ้าปูยางหรืออะไรสักอย่าง (นานแล้วจำไม่ได้) ก็มีคนอาสาเยอะ เราเลยไปนั่งดูแถวนั้น คนที่ทำความสะอาดก็ทำกันไปคุยกันไป เราก็ได้ยินพี่คนหนึ่งเหมือนเขามาปฏิบัติธรรมที่นี่นานหลายเดือน เราก็นึกในใจเหมือนเขาคงใจบุญสร้างกุศล แต่ประโยคต่อๆ ไปคือเขาใกล้จะออกจากที่นี่แล้ว และคาดหวังเรื่องมีงานดีดีทำ แบบก่อนมาปฏิบัติธรรมที่นี่ เขาตกงาน สิ่งที่เราคิดในใจก็อาจเหมือนหลายๆ คนที่นี่ คือมาปฏิบัติธรรมเพราะมีเรื่องทุกข์ใจหรือมีสิ่งที่ต้องการปรารถนาและหวังว่าการมาปฏิบัติธรรมที่นี่ บุญกุศลที่ทำ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองที่นี่จะช่วยให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ
ส่วนน้องที่เราบอกว่ารู้จักตอนนั่งดูการทำความสะอาดเพราะเขามานั่งใกล้ๆ เรา อายุอ่อนกว่าเราปีหนึ่ง ก็เลยได้นั่งคุยกัน และน้องคนนี้แหละที่พาเราไปรู้จักพี่ฝาแฝด 2 คน เป็นแฝดแท้แต่หน้าต่างดูไม่เหมือนกัน พี่คนหนึ่งหน้ากลมกว่า อีกคนดูสวยกว่า อายุมากกว่าเรา 3 - 4 ปี ชื่อพี่หมูและพี่แมว ตอนที่เข้าไปคุย พวกเขาก็นั่งล้อมวงคุยกับคนอื่นๆ กันอยู่แล้ว เราเลยเข้าไปนั่งรวมวงด้วย
ตอนเราอยู่ที่นี่ เราทำอะไรไม่เป็นเท่าไหร่และขี้เกียจทำด้วย ยอมรับทุกข์ใจเลยอยากหนีปัญหา เช้าวันต่อๆ มาหลังจากสวดมนตร์เสร็จก็แบ่งกลุ่มทำความสะอาด น้องที่เราเจอที่อ่อนกว่าเราปีหนึ่งคนนี้เลยลากเราไปทำความสะอาดห้องน้ำ เพราะเขาเชื่อว่าการล้างห้องน้ำจะช่วยล้างทุกข์ล้างโศก เราก็ตามเขาไป แต่ก็ไม่รู้คิดผิดไหม เพราะบางจุดมีขี้นก และเรายอมรับว่าไม่ใช่คนชอบทำความสะอาด แต่เมื่อรับหน้าที่แล้วก็ต้องทำ เพราะเราถือมาใช้สถานที่เขา มานอน มาใช้น้ำ มากินข้าวฟรี
ในส่วนที่มาทำห้องน้ำมีกัน 5 คน มีพี่ผู้หญิงที่ทาแป้งที่หน้าขาวๆ คนหนึ่งที่เขารับทำความสะอาดส่วนที่สกปรกที่สุด ล้างขี้นกบนพื้นด้วย ไม่รู้มีใครแนะนำตัวกันรึเปล่า แต่เราไม่ได้สนใจมาก คือล้างห้องน้ำคือเชื่อว่าล้างทุกข์ล้างโศก แต่เราละเหี่ยใจอยู่ เลยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
ชีวิตที่แดนมหามงคลก็ดำเนินไปเรื่อยๆ แต่เราว่าพวกพี่ชุดขาวระดับหัวหน้าบางคนที่เขาอยู่กันมานานๆ น่าจะไม่ชอบเรา เพราะเราทำไรไม่เป็นเท่าไหร่ และดูนิสัยไม่ดี ไม่เชื่อฟัง อย่างเหตุการณ์หนึ่ง ตอนนั่งสมาธิที่ใต้ศาลานอนริมน้ำ พี่ที่นำนั่งสมาธิ ก็พูดไรต่อไรไป แต่จำได้เขาตำหนิเรื่องมีคนทิ้งผ้าอนามัยที่ถังขยะและไม่ห่อ แต่เขาดันมองหน้าเรา แต่ตรงนั้นก็นั่งกันหลายคน และเราไม่ได้ทำแบบนั้นไง เราก็ทำหน้าเฉยๆ ไม่สนใจ
ตอนที่นั่งสมาธิใต้ศาลาริมน้ำนี้อีกเช่นกัน ตอนที่มานั่งกัน พี่ที่ดูแลที่เป็นคนนำบอกให้เอาเบาะมาด้วย แต่เราอืดอาด ไม่สนใจเลยไม่เอาลงไปด้วย ดังนั้นคนอื่นนั่งเบาะ เราก็นั่งพื้นไปแบบไม่ได้สนใจอะไร จนเขาปล่อย ก็มีพี่ผู้หญิงอวบๆ คนหนึ่งมาถามเราทำไมนั่งพื้น เราก็บอกไม่ได้เอาเบาะลงมา เขาก็บอกนึกว่าเราโดนทำโทษอะไรถึงได้นั่งพื้นไม่ได้นั่งเบาะ ตอนแรกเราไม่รู้ว่าเขาคือใคร คิดว่ามาทักเฉยๆ เราก็ไม่ได้สนใจ แต่มารู้เลาๆ ไม่เขานี่แหละที่บอกเองทีหลังว่าคือพี่คนที่ทาแป้งขาวๆ ทำความสะอาดห้องน้ำกลุ่มเดียวกัน แต่เราจำไม่ได้ จำชื่อก็ไม่ได้ ตอนนั้นเรารู้สึกไม่ดีนิดนึง เพราะเขาเหมือนเป็นห่วงเรา มาถามเราแบบนั้นแบบนี้ เรื่องที่เราโดนทำโทษหรือเปล่า แต่เรากลับจำเขาไม่ได้ แต่ที่แปลกคือเขาจำชื่อเราได้ด้วย เรียกเราว่า "น้องแนต" ตอนแรกเราไม่รู้เขารู้จักชื่อเราได้ไง แต่ถ้าทำความสะอาดห้องน้ำมีการแนะนำตัวกันก่อนทำ เราคงแนะนำตัวออกไปแต่เราจำไม่ได้เองแหละ แต่บอกตรงๆ ตอนที่พี่มาถามเราเรื่องโดนทำโทษรึเปล่า หน้าพี่เขาถึงมีอายุแต่หน้าใสสวยเลยแหละ ต่างจากการทำความสะอาดห้องน้ำที่ทาแป้งขาวทั้งหน้า เราเลยอาจจำเขาไม่ได้
ตอนที่อยู่แดนมหามงคลแม้อยู่ไม่กี่วัน แต่เราก็รู้จักคนเพิ่มขึ้นอีกคนเป็นคนรู้จักของพี่หมูพี่แมว ตอนนั้นยืนรอทานข้าวกันอยู่ เรียงแถวหน้ากระดานต่อๆ กัน พี่แมวไม่ก็พี่หมูนี่แหละแนะนำเราให้รู้จักพี่คนหนึ่งที่ยืนถัดพวกเขาไปชื่อพี่อ๋อย อายุ 25 ปี อายุมากกว่าเรา 2 ปี เขาก็ยิ้มให้เรา เราก็ยิ้มตอบ แต่เขาก็ทราบเรื่องเราแบบไม่ค่อยมีเงิน มีปัญหา แต่เราไม่รู้ว่าเราไปเล่าอะไรให้คนอื่นเขาฟังเหมือนกัน แต่พี่อ๋อยให้เงินเรามา 200 บาทเป็นค่ารถกลับบ้าน เขาบอกว่าช่วยคน เราก็รับไว้ แต่อย่างที่เรารู้ คนที่มาที่นี่ที่เราได้คุยเหมือนน้อยคนจะมีความสุขไม่ต้องการอะไร ส่วนใหญ่มาที่นี่ถ้าไม่ทุกข์ก็ต้องการให้มีสิ่งใดใดก็ตามที่นี่ช่วยเขาให้พ้นจากปัญหาหรือเรื่องทุกข์ใจ ถึงแม้สุดท้ายช่วยอะไรไม่ได้หรือไม่มีอะไรดีขึ้น มันก็เหมือนได้มาทำไรสักอย่างที่เป็นที่พึ่งทางใจ เหมือนมาทำดีก็น่าจะมีสิ่งดีดีเข้ามาในชีวิตเราบ้างให้ชีวิตดีขึ้น ให้เรื่องทุกข์ใจลอยหายไป
เรื่องห้องน้ำ + ห้องอาบน้ำที่แดนมหามงคลนี้ ตอนที่เรามาปฏิบัติธรรม จะมีสามส่วน คือส่วนแถวจุดลงทะเบียนที่เราอาบน้ำเปลี่ยนเป็นชุดขาวตามที่เขากำหนดให้เรียบร้อย ซึ่งจะมีหลายห้องเป็นห้องน้ำ + ห้องอาบน้ำที่ใช้โดยคนทั่วไป ส่วนที่อยู่ในศาลาที่พักริมน้ำ ถ้าจำไม่ผิดจะมี 2 - 3 ห้อง อาบน้ำได้ด้วย ใช้ขันตักๆ อาบ ส่วนอีกแห่งหนึ่งต้องเดินเข้าไปข้างในอีก ตอนนั้นห้องน้ำคนใช้เยอะ อาบน้ำ รอนานมากและใกล้เวลาเข้านอน เราก็ตามพี่หมู พี่แมวและคนอื่นๆ ไปอาบ ซึ่งส่วนนี้ห้องน้ำเยอะมาก เลือกอาบได้ แต่ต้องเดินเข้าไปไกลสุด คนอาจไม่ค่อยรู้ เราที่ไม่มีไฟฉายก็ต้องเกาะกลุ่มกันไป เพราะดึกๆ ถ้ามืดคือมืดเลยในบางช่วง
แดนมหามงคลจะมีภูเขาอยู่ใกล้ๆ ลูกหนึ่ง ด้านบนจะมีพระบรมสารีริกธาตุให้ขึ้นไปกราบไหว้ ตอนเดินขึ้นไปก็ไม่ได้ใส่รองเท้า คนที่มาปฏิบัติธรรมที่นี่ไม่ใช่อยากขึ้นก็เดินขึ้นไปเลยต้องมีการบอกกล่าวคนดูแล ขอก่อนและให้ขึ้นไปกลุ่มละ 3 - 4 คน จำไม่ได้ว่ามาครั้งนี้เราเดินขึ้นไปไหม แต่น่าจะได้เดินขึ้นไป แต่ไปกับใครบ้าง จำไม่ได้ ก็ขึ้นไปไหว้ขอพรพระบรมสารีริกธาตุ เดินจงกรมรอบที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ความจริงในใจควรสงบแต่ก็ขอพรในใจไปด้วย
ส่วนเรื่องการซักทำความสะอาดชุดที่ใส่ จะมีบริการคือมีคนรับจ้างซักให้น่าจะครั้งละ 5 บาท แต่เราไม่ได้ซัก มีแค่ 1 ชุดไม่ก็ 2 ชุดใส่ซ้ำๆ ไป
เราอยู่ที่แดนมหามงคลประมาณ 3 - 4 วันก็เดินทางกลับกรุงเทพฯ ตอนเดินทางกลับ น้องคนที่อ่อนกว่าเรา 1 ปีที่เป็นคนพาเราไปแนะนำกับพี่หมูพี่แมว ฝากเรากลับกับพวกพี่เขาด้วยโดยไปลงสุพรรณบุรีบ้านพวกพี่เขา ตอนก่อนออกเดินทาง พี่ชุดขาวหัวหน้าคนหนึ่งที่เหมือนไม่ชอบหน้าเราก็เรียกเราไปทำความสะอาดศาลา แต่เราต้องกลับเลยไม่ได้ทำ แต่เราไม่รู้ว่าเราคิดหรือรู้สึกไปเอง แต่ดูเขาค่อนข้างรู้สึกดีกับเรามากขึ้นจากที่เมื่อก่อนดูไม่ชอบหน้าเรา บางทีเราก็คิดว่าเป็นแนวแบบกรรมไม่ดีทำให้คนอื่นไม่ชอบหน้าเราโดยที่เราไม่ได้ทำไรให้ ทั้งที่เป็นคนเพิ่งมาเจอหน้ากัน แต่บางทีความจริงก็คือการกระทำเราเองตอนที่เราอยู่ที่นี่ก็ได้ แต่เราก็ไม่ได้ทำไรโดดเด่นนะ คนอื่นอาจจะเห็นแล้วรู้สึกว่าเราขัดหูขัดตาเองก็ได้
ตอนเดินทางกลับมาสุพรรณบุรี ระหว่างนั่งรถ เราก็รู้เรื่องของพี่หมูกับพี่แมวมากขึ้น อย่างพี่หมูมีสามีคนหนึ่งและมีลูกสาว 1 คน ส่วนลูกชายเสียชีวิตแล้วเพราะพี่สาวสามีขับรถทับตาย แบบเขามองไม่เห็นว่ามีเด็กอยู่หลังรถ พี่หมูบอกเสียใจมากตอนพาลูกไปหาหมอแต่พบว่าลูกเสียชีวิตแล้ว ส่วนพี่แมวมีลูก 1 คน สามีที่เป็นพ่อของลูกเสียชีวิตแล้ว ตอนอยู่ที่แดนมหามงคล พี่แมวก็เล่าว่าตอนท้องเคยเดินขึ้นเขาลูกนี้เพื่อไปขอพรจากพระบรมสารีริกธาตุให้ลูกฉลาด ซึ่งเราค่อนข้างทึ่งเพราะทางขึ้นเขาลูกนี้ไม่ใช่เดินสบายๆ เดินไกลด้วย แต่พี่เขาอุ้มท้องเดินขึ้นไปได้ แต่พี่แมวก็เล่าเรื่องที่ตอนสามีเขาเสียชีวิตใหม่ๆ เหมือนกลับมาหาด้วย แต่ฟังไปเรื่อยๆ พี่คนนี้ก็เล่าให้ฟังเหมือนเขาก็มีแฟนหลายคนส่งเงินให้เหมือนกัน
ตอนก่อนไปถึงสุพรรณบุรีก็แวะทานข้าวกัน พี่หมูบอกว่าตัวเองเป็นร่างทรงเจ้าพ่อไม่ก็เจ้าแม่มะขามหรือต้นอะไรสักอย่าง และบอกเรื่องเนื้อคู่เราว่าจะเจอตอนอายุ 25 ปี เป็นคนผิวขาว มีฐานะ ชอบธรรมะทำบุญเหมือนกัน ซึ่งความจริงเรื่องลักษณะ เราจำไม่ค่อยได้เพราะนานมากแล้ว ความจริงเราไม่รู้ว่าเจอหรือไม่เจอแต่ตอนที่เขียนบันทึกย้อนความทรงจำ เราก็ 30 กว่าแล้วและยังโสด ไม่เคยมีแฟนอยู่ดี ซึ่งเราอาจเจอผู้ชายคนนี้จริงแต่อาจไม่รู้จักหรือคลาดกันไปแล้วก็ได้ หรืออย่างคำทำนายจากแม่ชีที่เชียงคำก็เคยทำนายว่าเราจะเป็นเมียน้อยคนอื่นตอน 27 ปี และทำนายมาตั้งแต่ตอนเราอายุ 23 ปี จนตอนนี้เรา 30 กว่าก็ยังไม่มีใครอยู่ดี
พอกลับจากแดนมหามงคลเราก็กลับมาเรียน มาทำโปรเจคต่อจนเราเรียนจบ ก็มีติดต่อพวกพี่หมูพี่แมวบ้าง แต่นานๆ ที เขาก็ไม่ได้สนใจไรเรา จนต่อมาตอนเราเรียนจบประมาณ 1 สัปดาห์ เราไปมหาลัยอยากพบอาจารย์คนหนึ่งเรื่องงาน แต่ไม่มีโอกาสพูดอะไร เพราะความจริงเราเองที่ทำผิดไปมากๆ จนไม่น่าให้อภัยตัวเอง เราเลยไปพบอาจารย์อีกครั้ง แต่อาจารย์ก็อยู่กับอาจารย์คนอื่น คุยกัน เราเลยไม่กล้าไปทักและคุยอะไรด้วย และตัดสินใจโทรหาเพื่อนคนอื่นๆ ที่เราพอรู้จัก แต่ก็ไม่มีใครรับหรือใครว่างเลย คือเราไม่รู้พูดไรกับใคร เลยตัดสินใจโทรหาพี่แมว เขาดันรับ เราเลยเล่าเรื่องให้ฟัง ซึ่งเราไม่รู้ว่าเล่าอะไรออกไป แต่พี่แมวบอกให้เราไปหาพี่อ๋อยที่แถวเมืองทองธานี เราก็เลยตัดสินใจไป แต่ตอนนั้นคือตัดสินใจไปแบบกระทันหัน ไม่ได้เอาทั้งเสื้อผ้าหรือที่ชาร์จแบตไปด้วย และแบตใกล้หมดแล้วด้วย พอไปถึงก็ไปรอพี่อ๋อยแถวๆ อาคารที่เขาบอก เราก็ยอมรับตรงๆ ว่าตอนนั้นว่าจำหน้าพี่เขาไม่ค่อยได้ และเขาจะจำเราได้ไหม? เพราะไม่เจอกันนานแล้วและเจอกันไม่กี่ครั้งตอนไปปฏิบัติธรรม แต่พี่อ๋อยเป็นคนมาทักเราก่อน ยิ้มให้เราและเดินนำเราเดินขึ้นห้อง พี่เขาอยู่กับแม่เขาสองคน เขาเล่าให้ฟังว่ามีลูกสาวคนหนึ่งแต่อยู่กับสามีที่เลิกกันไปแล้วเป็นนายแบบ นานๆ ทีลูกจะมาอยู่ด้วย เราเลยขอค้าง พี่อ๋อยเขาเล่าว่าตัวเองก็มีปัญหาเรื่องแฟนคนใหม่และไปอยู่กับพี่แมวมา 5 วันเหมือนกัน เราเข้าไปในห้องเขาก็เห็นโต๊ะที่วางพวกกุมาร ของขลังอยู่ติดกับเตียงด้านใน พี่เขาก็บอกว่าพี่เขารับขันธ์มา เราก็อยู่อาศัยที่ห้องเขาไปไม่มีท่าทีว่าจะกลับ (ความจริงไม่รู้ตอนนั้นคิดไรอยู่ เคยคิดว่าคนที่ไม่รู้จัก ไม่น่าจะมาเจอกัน อยู่ๆ มาพบกัน เจอกันได้ที่แดนมหามงคล เพราะเคยทำกรรมเวรหรือพบเจอกันมาก่อนรึเปล่าในชาติก่อน มาพบกันสักพักเพื่อชดใช้เวรกรรมอะไรสักอย่างให้กันแล้วจากกันไป)
ตอนที่อยู่ห้องพี่อ่อย ช่วงเช้าๆ สายๆ ไม่มีคนอยู่ห้องเพราะแม่พี่เขาไปทำงาน พี่เขาก็ออกไปที่ไหนสักที่ เราเลยอยู่ห้องคนเดียว เบื่อๆ ก็ไปหาร้านคอมเล่นเนต ไม่ก็ไปที่สนามเด็กเล่นด้านล่างตึก ดูเด็กๆ เล่นกันฆ่าเวลา เราอยู่ห้องเขาไปสองสามวัน พี่อ๋อยก็ถามเราเหมือนกันว่าอยู่คนเดียวไม่กลัวเหรอ แบบที่นี่มีผี มีคนกระโดดตึก ห้องที่เราอยู่ก็มีผี เป็นผีเด็ก เราก็บอกไม่นะ ไม่กลัว จนวันหนึ่งเขาก็พาเราออกไปข้างนอกกับเขา เราก็สงสัยว่าเขาจะพาเราไปไหน เขาก็บอกไปทานข้าว เราก็ตามเขาไป จนไปถึงรถสีดำคันใหญ่คันหนึ่ง เราก็ไม่รู้รถใคร พี่อ๋อยเปิดประตูหน้า เราเลยเห็นผู้ชายท่าทางมีอายุคนหนึ่งนั่งหลังพวงมาลัย แต่งตัวภูมิฐาน หันมา เราเลยยกมือไหว้ ก็สงสัยว่าใครอาจเป็นญาติพี่อ๋อยเขา พี่อ๋อยขึ้นไปนั่งหน้า เราเลยไปนั่งหลัง ผู้ชายคนนั้นขับรถพาไปทานอาหารที่ร้านแห่งหนึ่ง เราเลยได้ไปทานด้วย สักพักก็มีเพื่อนของผู้ชายคนนั้นมา แล้วก็นั่งคุยกัน เราก็แค่นั่งฟังไปเรื่อยๆ และเราก็ดูรู้ว่าผู้ชายคนที่มาใหม่นี่ทำงานรัฐวิสาหกิจ เมียหย่ามีลูก 2 คน แต่ดูเขาเหมือนมองเราไม่ดีไงสักอย่าง เหมือนไม่ค่อยชอบเรา คือเรานั่งเฉยๆ แต่รู้สึกได้เลย จากสีหน้าที่เขามองมา ซึ่งเราพอมาเดาเหตุผลได้ทีหลังพอรู้เรื่องอะไรสักอย่างแล้ว
หลังจากที่ทานอาหารกันเสร็จ ผู้ชายคนนั้นก็พาพี่อ๋อยกับเรามาส่ง พี่อ๋อยก็เล่าให้เราฟังเรื่องผู้ชายคนนี้ว่าผู้ชายคนนี้มีภรรยามีลูกอยู่แล้ว มีภรรยาแล้ว 2 คนแล้วพี่เขาเป็นคนที่สาม ภรรยาคนแรกของผู้ชายคนนี้เคยโทรมาร้องไห้กับพี่อ๋อยขอให้เลิกกับสามีเขา พี่เขาก็ทุกข์ใจ อาจเป็นกรรมอะไรสักอย่าง และพี่อ๋อยก็ชวนเราไปงานทอดกฐินวัดที่ต่างจังหวัดวัดหนึ่ง นัดกับพี่หมูไว้ตั้งนานแล้ว เราก็เลยไปด้วย ความจริงเราก็รู้ว่าพี่อ๋อยคงคุยกับพี่แมวว่าเรามาอยู่กับเขาไม่ยอมกลับบ้านสักที แบบจะเป็นภาระเขา แต่เขาไม่กล้าไล่เรา แต่ตอนนั้นเราตั้งใจจะอยู่ 5 วัน (ไม่รู้ทำไม ดูไม่มีความเกรงใจ) แต่วันที่ 4 ที่เรามาอยู่กับพี่เขา เราก็ตามพี่เขาไปทอดกฐินที่วัดต่างจังหวัด พี่อ๋อยให้ยืมเสื้อและกางเกง ผู้ชายที่เป็นแฟนพี่อ๋อยขับรถพาไป เพื่อนผู้ชายคนนั้นก็ไปด้วย แต่พอเขาขึ้นรถก็เอาที่กั้นตรงกลางเก้าอี้ที่เป็นเบาะพับลงมากั้นระหว่างเขากับเรา คือพี่อ๋อยนั่งคู่กับแฟนเขา เรานั่งด้านหลัง ตอนนั้นเราไม่รู้ว่าเขามองเราไม่ดีรึเปล่าแบบประมาณว่าเราเป็นเพื่อนพี่อ๋อย พี่อ๋อยเป็นเมียน้อยเพื่อนเขา เขาก็คงคิดเราเป็นแบบเดียวกัน แต่เราก็นั่งไม่สนใจไรจนมารับพี่หมูที่สุพรรณบุรี ตอนมื้ออาหารเที่ยงที่แฟนพี่อ๋อยเลี้ยง ก็สั่งอาหารมาทาน เราก็ไม่ค่อยทาน เพราะเกรงใจ เพราะเหมือนเราเป็นส่วนเกิน คือมาอยู่กับพี่อ๋อยเฉยๆ ไม่ยอมกลับบ้าน และอยู่ๆ ก็ตามพี่เขามาต่างจังหวัดอีก พี่แมวก็มาด้วยและบอกว่าหลังจากกลับจากงานทอดฐินให้กลับบ้านไปซะ ตอนที่เจอหน้าพี่แมวตอนนี้ หน้าพี่เขากลับมาเหมือนหน้าพี่หมูแล้ว จนเราคิดว่าพี่แมวต้องฉีดไรที่หน้ามาแน่ๆ เพราะตอนเจอที่แดนมหามงคลครั้งแรก หน้าพี่เขาเรียวกว่านี้ แบบสวย จนมาถึงงานทอดกฐิน ก็มีทำบุญ รำวงบนเวที เราก็ขึ้นไปรำวงกับเขาด้วย สนุกดี แต่ตอนนอน ตอนแรกเราก็คิดจะนอนวัด แต่พี่อ๋อยกับแฟนเขาจะไปหาที่พักนอนที่อื่น เราก็มองไปรอบๆ ว่าเรากับพี่หมูจะนอนตรงไหน ไม่ได้เอาอะไรมาด้วย แต่พี่หมูก็ลากเราไปกับพี่อ๋อย คืออาจเป็นเรื่องน่าเกรงใจ เพราะแฟนพี่อ๋อยต้องออกค่าที่พักห้องของเราและพี่หมู แต่ก่อนไปที่พัก เราก็ไปทานข้าวกัน เราก็เครียดเรื่องงาน เพราะหางานไม่ได้ เลยโทรหาใครสักคนเพื่อคุย และโทรหาพี่ที่เคยไปฝึกงานคนหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นเขาออกไปทำงานอยู่ที่อื่นแล้ว เขาก็บอกกำลังคิดงานอยู่แต่ก็ยอมคุยด้วย แต่คิดทีหลังว่าเหมือนเราไปรบกวนเขาหรือเปล่า ไปเล่าไรที่ทุกข์ใจให้เขาฟังเหมือนไปบอกเขาทำไม พอค้าง 1 คืนก็เดินทางกลับ ตอนกลับก็แวะทานข้าวกันอีก พี่แมวก็มาทานข้าวด้วยเพราะเรามาส่งพี่หมูที่สุพรรณบุรี พี่แมวหน้ากลับมาเรียวสวยเหมือนเดิมและมากับผู้ชายคนละคนกับที่เราเจอตอนทานข้าวเมื่อวาน และพี่แมวบอกให้เรากลับบ้านด้วย เราก็รู้สึกไม่ดีเพราะมารบกวนพวกพี่เขามากๆ ไม่ยอมกลับบ้าน แต่เราก็คิดและตั้งใจไว้แล้วว่าเราจะกลับหลังครบ 5 วัน ตอนนั้นไม่รู้ทำไม อาจเพราะพี่อ๋อยบอกไปอยู่กับพี่แมว 5 วันก่อนเรามา เราเลยมาอยู่กับพี่อ๋อย 5 วันเหมือนกัน แต่หลังจากนั้นเราค้างกับพี่อ๋อยอีกคืน แต่ตอนค่ำวันนั้น พี่อ๋อยก็ลงไปข้างล่าง ไปหาแฟนเขา แต่ก็มีน้ำใจแบบขนาดเราไปรบกวนพี่เขาหลายวัน ก็มาเรียกเราลงไปทานข้าวด้วย แต่พอทานเสร็จก็บอกให้เราขึ้นห้องไป เพราะเขาอยู่กับแฟนเขา แต่เราไม่กล้าขึ้น เพราะกลัวผีขึ้นมา เพราะจากลิฟต์จะเดินไปถึงห้องพี่เขามันไกล ปกติเราจะออกมาเดินแค่กลางวัน พอดึกๆ ค่ำๆ ก็อยู่ในห้องไม่ไปไหน จนพี่เขาต้องขึ้นไปส่ง ก็ดูพี่เขาอารมณ์เสียนิดนึงเพราะต้องเสียเวลาขึ้นไปส่งเราที่ห้อง เราก็เกรงใจ พอตอนเช้าก็รีบตื่นแต่เช้า ออกไปเดินซื้อขนม ผลไม้มาขอบคุณพี่อ๋อย และกลับบ้านไป หลังจากนั้นเราก็ไม่เคยติดต่อกับพี่หมู พี่แมวหรือพี่อ๋อยอีกเลยจนถึงทุกวันนี้
แดนมหามงคล รอบที่ 2
การเดินทางไปแดนมหามงคลรอบที่ 2 ของเราเป็นช่วงที่เราตกงาน หางานทำไม่ได้ เราจึงตัดสินใจเดินทางไปปฏิบัติธรรมเผื่อว่าอะไรจะดีขึ้น ถ้าไม่ใช่ชีวิตก็จิตใจ เหมือนหลบไปพัก การเดินทางก็เดินทางโดยรถไฟตั้งแต่เช้า ออกจากบ้านตั้งแต่ตีห้า นั่งเรือไปราชดำเนิน เพื่อหารถต่อไปที่สถานีรถไฟธนบุรี แต่ตอนรอรถหรือหามอเตอร์ไซด์ไปสถานีรถไฟธนบุรีที่ราชดำเนิน เราพบคุณลุงคนหนึ่งที่ไม่รู้ไปคุยกันได้ยังไง เหมือนเขาทักเราก่อนและเราไปบอกเขาว่าตกงาน กำลังหางานและเขาให้นามบัตรมาว่าเป็นครูที่โรงเรียนหนึ่งแถวราชดำเนิน อาจมีตำแหน่งว่างเล็กๆ ให้ลองติดต่อไป เราก็รับมาไว้ และขอบคุณ (แต่ไม่เคยติดต่อไปเพราะว่าราชดำเนินคือไกลจากบ้านเรามาก) ก่อนเราจะต่อมอเตอร์ไซด์ไปสถานีรถไฟ ตอนนั้นจำได้ว่ายังเป็นตั๋วฟรี รถไฟออกเจ็ดโมงเศษ ก็เลือกที่นั่งตามใจชอบ เราก็นั่งฝั่งซ้ายติดหน้าต่างเหมือนเดิม แล้วก็ทำเหมือนเดิมคือ ถ้าที่นั่งข้างๆ เราไม่มีคนนั่ง เราก็จะนอนยาวเท่าที่นอนได้ แม้ความจริงคืองอขา คือไม่มีอะไรทำ และก็ไม่ได้นอนจริงแค่หลับตาคิดนั่นคิดนี่
รถไฟแล่นไปเรื่อยๆ ก็จะถึงที่หมายประมาณเที่ยง ผ่านสะพานข้ามแม่น้ำแควก็ยังแล่นต่อไปอีกไกลพอสมควร แต่วิวก็ยังสวยอยู่เหมือนเดิม เสียดายมากที่ตอนนั้นเราก็ยังจน ไม่มีเงินซื้อมือถือที่สามารถถ่ายภาพดีดีได้ เลยไม่ได้เก็บวิวตอนนั้น
ตอนมาถึงแดนมหามงคล สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือลงชื่อ, ระบุจำนวนวันปฏิบัติธรรม, อาบน้ำเปลี่ยนชุดขาวแล้วไปขอบวชที่ตึกศาลาหนึ่งที่อยู่ลึกเข้าไปในพื้นที่ เราก็เอาหนังสือสวดมนตร์ แบกเป้ที่หอบหิ้วมาไปขอบวชตามปกติ ตอนขึ้นไปบนศาลาไม่มีใคร แต่พอเราไหว้เสร็จ หันไปข้างหลังก็เจอผู้หญิงสาวผิวคล้ำคนหนึ่งที่มาพร้อมกับผู้หญิงสูงอายุอวบๆ ที่นั่งข้างๆ ที่กำลังไหว้พระอยู่ และถัดไปคือผู้หญิงมีอายุมากคนหนึ่ง ผิวคล้ำ ร่างผอมแกรนนั่งอยู่ห่างเราไปข้างหลังอีก ซึ่งเราก็ไม่ได้สนใจอะไร ไหว้พระเสร็จก็ลงไปเก็บของจองที่นอนที่ศาลาริมน้ำของแดนมหามงคล เลือกที่นอนริมๆ ด้านในไม่ไกลจากแม่น้ำเหมือนเดิม แต่ตอนดึกๆ ก็มีคนบางคนไปกางมุ้งนอนติดกับระเบียงริมน้ำเหมือนกัน เย็นๆ ดี บรรยากาศสงบอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ แต่กลางวันร้อนมาก
บางทีเราก็แอบคิดว่าการที่เรามารู้จักใครสักคนที่นี่อาจเพราะมีกรรมติดกันมาเลยทำให้มาพบกัน ช่วงนี้เวลานี้ คือถ้ามาเวลาอื่นก็ไม่เจอกัน การมาแดนมหามงคลรอบนี้เราได้รู้จักกับเมย์ เมย์เป็นผู้หญิงผิวคล้ำ ผอม ที่แก่กว่าเรา 2 ปี ตอนที่เจอกันครั้งแรกคือเราอายุ 24 ปี และเมย์อายุ 26 ปี
เราจำไม่ได้ว่าไปคุยกับเมย์ได้ไง ตอนไหน ทำไมเราถึงไปคุยกันได้ในเมื่อไม่มีอะไรเกี่ยวข้องหรือรู้จักกัน คนก็ตั้งเยอะแยะ ยิ่งช่วงสงกรานต์ คนมาปฏิบัติธรรมเยอะมาก แต่จำได้แค่เพียงว่าตอนที่อยู่ที่ศาลาริมน้ำที่ใช้นอน เราเลือกนอนริมสุดที่เกือบติดกับระเบียงริมน้ำใช่ไหมเพราะเราชอบลมโกรกๆ อากาศเย็นๆ แต่เมย์ที่นอนแถวเดียวกันแต่ถัดไปตรงกลางๆ บอกเราให้ย้ายที่นอนไปนอนด้วยกัน เราก็ย้ายไปนอนข้างๆ รู้สึกดีที่มีเพื่อนคุยและจำได้ว่าพวกเราเจอกันที่ศาลาที่ไปขอบวช เมย์คือผู้หญิงผิวคล้ำที่มากับผู้หญิงอวบๆ ที่เราหันไปเจอ และที่แปลกกว่านั้นคือผู้หญิงชราที่เราเห็นบนศาลาขอบวชเช่นเดียวกันกลับนอนใกล้ๆ เมย์ เราเลยบอกเมย์ว่าพรหมลิขิตมั้ง ผู้หญิง 3 คนที่เจอกันครั้งแรกบนศาลาขอบวชที่แปลว่ามาเวลาใกล้เคียงกันและต่างคนต่างมา กลับมานอนเรียงกัน 3 คนแบบนี้ แต่เราแค่ยิ้มให้ผู้หญิงชรา ไม่ได้คุยอะไรกัน เราคุยและอยู่กับเมย์แค่ 2 คน
เราอยู่ที่แดนมหามงคล 4 วันคือช่วงตลอดเทศกาลสงกรานต์เลย คนมาเยอะมากเพราะหน้าเทศกาล ปกติที่นี่จะมีผู้หญิงมาปฏิบัติธรรมเป็นส่วนใหญ่ แต่รอบนี้ที่ไปมีผู้ชายด้วยซึ่งจะแยกจากผู้หญิง แถวก็แยกจากกันและพักด้านนอก แต่ถึงคนเยอะแค่ไหน เราก็ตัดติดกับเมย์ตลอดเพราะรู้จักกัน 2 คน แต่ก็มีบางช่วงแยกๆ อย่างเราออกไปเดินรอบๆ คนเดียว ความจริงเขาห้ามพกมือถือ แต่เราแอบใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ แต่สัญญาณไม่ค่อยมีหรอก ส่วนที่พกไว้เผื่อใครโทรมา คือเรากำลังหางานอยู่ด้วยไง ก็มีแต่เพื่อนที่รู้จักโทรมาแค่คนเดียว เราก็ไปแอบๆ คุยแถวต้นไม้ริมทาง แต่คนก็เห็นแหละ ไม่ได้ทึบขนาดนั้นและดูแปลกๆ ด้วยว่าแอบทำอะไร คุยไรไม่ค่อยได้เท่าไหร่เพราะสัญญาณไม่ค่อยมี หรือบางทีเราก็ไปนั่งสมาธิตามริมต้นไม้ คนก็เดินผ่านไปมาก็มี แต่เขาก็รู้ว่าไม่ควรเสียงดัง เราก็ไปนั่งจนเมย์มาทักให้ไปสวดมนตร์ที่ศาลารวม
ในการปฏิบัติธรรมอยู่ที่นี่ เราก็ยอมรับนิสัยไม่ดีหลายครั้ง อย่างตอนไปรอห้องอาบน้ำที่เรือนแรกรับ (เรือนใกล้จุดลงทะเบียนนั่นแหละ) เราก็รออยู่กับเมย์และคนอื่นๆ แต่เพราะรอนานมาก แบบอยากรีบอาบน้ำแล้วเข้านอนแล้ว คือที่นี่ก็มีเวลาให้เข้านอนเหมือนกัน ไม่ใช่ไม่มีอะไรแล้วเดินร่อนไปมา อีกอย่างคือมืดแล้ว มีไฟเปิดเป็นจุดๆ ถึงให้มีไฟฉาย ก็ไม่อยากเป็นคนท้ายๆ ที่เดินเข้าศาลานอนรวม (แก้ตัวไหม? ความจริงอยากรีบอาบน้ำเข้านอนให้จบๆ ไปนั่นแหละ) เราเลยนิสัยไม่ดีไปเคาะประตูห้องอาบน้ำแบบไม่สนใจใครเพราะหงุดหงิดจริงๆ คนอื่นก็มอง เมย์ก็มอง แต่คนที่อาบน้ำอยู่ก็ไม่ได้รีบออกมาอะไรนะ เมย์ก็บอกมันบาป
เรื่องนิสัยไม่ดีอื่นๆ ที่ดูเห็นแก่ตัว ก็อย่างตอนหลังสวดมนตร์เสร็จตอนตอนกลางคืน เราก็รีบเดินเร็วๆ กับเมย์ 2 คน ไปห้องอาบน้ำที่ศาลานอนรวมที่เขาไม่ให้อาบน้ำตอนค่ำๆ เพราะคนเยอะ แต่เราเข้าไปอาบกับเมย์ 2 คนแบบเร็วๆ เพราะไม่อยากรอคนอื่น พอเปิดประตูห้องน้ำออกมาคนยืนรอเต็ม รู้สึกผิดเหมือนกันแต่ทำไปแล้ว แต่การมีเมย์ทำให้เรามีความสุขขึ้นเพราะมีเพื่อน เราพึ่งพาเมย์ในตอนไปสวดมนตร์กลางคืนที่ต้องไปอีกศาลาเลยต้องใช้ไฟฉาย หรือตอนตื่นไปสวดมนตร์เช้าที่เราไม่ยอมตื่น เมย์ก็พยายามปลุก จนคนคุมศาลาต้องพูดให้ไปสวดมนต์ บอกว่าถ้าจะนอนก็นอนที่บ้านได้ (ตอนรอบที่แล้ว พี่หมูพี่แมวก็นอน แต่ไม่รู้คนดูแลศาลานอนว่าอะไรหรือเปล่า แต่เราสวดมนตร์เสร็จกลับมาก็เจอพวกพี่เขานอนอยู่)
เรื่องอาบน้ำนี้ พอวันหลังๆ เพราะคนเยอะมาก ก็มีส่วนหนึ่งไปอาบที่ห้องน้ำเยอะๆ ที่ต้องเดินเข้าไปอีก ที่เดียวกับที่เราเคยตามพี่หมูพี่แมวไปครั้งที่แล้วก็อาศัยไฟฉายของเมย์นี่แหละนำทางตามคนอื่นๆ ไป
ตอนเราปฏิบัติธรรมรอบนี้ ช่วงนั้นเป็นช่วงสงกรานต์ใช่ไหม ตอนสวดมนตร์รวมที่ศาลาวันหนึ่ง คนนำสวดมนตร์ก็แจ้งแก่พวกเราว่ามีสารจากแม่ชีเจ้าของแดนมหามงคลนี้ว่าจะมีภัยพิบัติตอนปลายปี น้ำท่วมไรสักอย่าง ให้ช่วยกันสวดมนตร์ให้พ้นภัย ตอนนั้นเราก็ไม่เชื่อไรเท่าไหร่ แต่ก็ไปสวด (*มาคิดดู ตอนนั้นเราอายุ 24 ปีใช่ไหม ก็น่าจะปีพ.ศ.2554 นั่นแหละที่ปลายปีเกิดน้ำท่วมใหญ่ แต่ตอนนั้นเราไม่รู้ไง)
สวดจนดึกจนเมย์ลาไปนอนเราก็ยังสวด แต่พอวันต่อมา คนน้อยลง เรากับเมย์เดินผ่านอาคารสวด ก็ได้ยินเสียงคนนำสวดมนตร์ที่คอยดูแลที่นี่บอกให้คนไปสวดมนตร์มากขึ้นเพราะคนน้อยลง แต่เรากับเมย์ก็ไม่ไป เรากับเมย์เดินขึ้นเขาไปสักการะพระบรมสารีริกธาตุด้วยกัน การขึ้นเขาต้องไปเป็นกลุ่ม เรากับเมย์ก็ไปกับคนอีกสองคนเพราะเขากำหนดให้ไปเป็นกลุ่ม พกน้ำขึ้นไปคนละ 1 ขวด บอกตรงๆ คนที่มาที่นี่จะมีสักกี่คนที่จะมีความสุขมา ส่วนมากต้องมีความทุกข์อะไรมากันสักอย่าง คนที่ไปกับเราสองคน คนหนึ่งเราจำไม่ได้ แต่อีกคนหนึ่ง ตอนแรกๆ ที่เราเห็นเขาตอนที่ปฏิบัติธรรมรวมกันข้างล่าง รู้สึกไม่ชอบ แต่พอเดินขึ้นเขาไปด้วยกันเลยรู้สึกดีมากขึ้น อาจเพราะเราเดินไปด้วยกัน พักด้วยกัน คุยกันทำให้เข้าใจและรู้สึกดีต่อกันมากขึ้นก็ได้ พี่เขาคนนี้ขายของอยู่แถวราชดำเนินและเคยทำงานเป็นแม่บ้านด้วยมั้ง เราเลยขอเบอร์ติดต่อกันตอนที่พวกเราลงเขามาถึงข้างล่างแล้ว
ตอนเดินขึ้นเขา พวกเราเดินเท้าเปล่าขึ้นเขากันไป ดูเป็นภาพสวยงามนะ ใส่ชุดขาวและเดินเท้าเปล่าขึ้นเขา แบบเดินเรียงกันขึ้นไป ก็มีคนทั่วไปที่เดินขึ้นเขาไปกราบขอพรพระบรมสารีริกธาตุด้วย เราก็ไปไหว้ขอพรพระบรมสารีริกธาตุและเดินจงกรมรอบๆ อุโบสถ 3 รอบ ถ้าคนเคยอ่านเรื่องราวของสถานที่นี้จะรู้เรื่องเกี่ยวกับแม่ชีท่านหนึ่งที่มานั่งสมาธิที่นี่และนั่งนานมากๆ เราก็ไม่ทราบว่าเรื่องจริงไม่จริง แต่ตรงที่เราไหว้ขอพรพระบรมสารีริกธาตุ จะเห็นมีบันไดขึ้นไปอีกชั้นหนึ่งแต่ปิดห้ามขึ้น
การมาขอพรของเราครั้งนี้ เรามาขอเรื่องงานและเรื่องเรียน ซึ่งเรื่องเรียนเราขอให้สอบติดปริญญาโท ม.ศิลปากร แต่ก็สอบไม่ติด แม้ตอนเราลงจากเขามาแล้ว เราต้องเดินผ่านต้นโพธิ์ต้นเล็กๆ เราก็บอกให้เมย์รอแล้วเราก็ไปเดินจงกรมรอบต้นโพธิ์ 3 รอบ อธิษฐานจิต แต่พอไปสอบก็ไม่ติด แต่เรื่องงาน นี่ไม่แน่ใจ แต่เราล้มลุกคลุกคลาน ผิดหวังเรื่องงานมาตลอด (อาจเพราะตัวเองหลายส่วน) แต่หลังจากนั้น 2 เดือนเราได้งานที่บริษัทเอเจนซี่หนึ่ง คือห่วยๆ อย่างเราได้ทำงานที่นี่ แบบดวงและโอกาสสุดๆ แต่เราเรียกเงินเดือนต่ำด้วย 12,000 บาท แต่เป็นบริษัทดี คือชีวิตทำงานเราจริงๆ หลังจากเรียนจบมาเกือบปีคือเรียนรู้จากที่นี่ แม้ยากและกดดันมาก คือนอกจากพี่ที่รับเราเข้าทำงาน ที่เรามารู้ทีหลังว่าเขาจะออกอีกเดือนหนึ่ง เขารับเราทั้งที่เราทำอะไรไม่ได้แบบเขาเลย ส่วนพี่คนอื่นในบริษัทก็ดีแต่เราก็รู้ว่าอาจไม่อยากได้เราเพราะเหมือนภาระ แต่เราก็ได้งานที่บริษัทนี้แหละ
เราอยู่แดนมหามงคลหลายวัน จนวันก่อนที่เราจะกลับ เรานอนคู่กับเมย์และบอกเมย์ว่า มีความสุขจัง เหมือนน้ำที่เต็มแก้ว เต็มจนล้น และน้ำที่เต็มก็คือความสุขที่เรามี เรามีความสุขจริงๆ พอวันต่อมาที่เราจะเดินทางกลับ เมย์ก็ชวนให้เราติดรถป้าของเมย์กลับด้วยกัน เราก็ตกลง ก็ถวายเงินให้พี่ชุดขาวที่ดูแลศาลาที่พักเป็นค่าน้ำ-ค่าไฟที่เรามาอยู่และกรวดน้ำอุทิศบุญกุศลที่หวังว่าคงจะมีจากการปฏิบัติธรรมให้เจ้ากรรมนายเวรของเรา แล้วออกเดินทางไปกับเมย์
ป้าเมย์ก็คือคนที่มาส่งเมย์และอยู่กับเมย์ที่ศาลาขอบวช ที่เราเจอวันแรก พวกเราแวะทานข้าวแล้วไปที่บ้านป้าเมย์ก่อนเพื่ออาบน้ำ ก่อนลุงเมย์จะพาเราสองคนไปส่งที่ท่ารถเพื่อแยกย้ายกันกลับคนละทาง ตอนหลังเรามารู้เพราะเมย์เล่าให้ฟังว่า ตอนนั่งรถตู้กลับ เมย์เอาหนังสือสวดมนตร์มาสวดออกเสียงเบาๆ ในรถแบบไม่เกรงใจใคร พยายามอ่าน เราก็โห และเราก็รู้ว่าเมย์มีลูก 2 คนอยู่กับญาติไม่ก็สามีที่ต่างจังหวัดนี่แหละ ตัวเขาเองทำงานโรงงาน เราขอเบอร์เมย์เพื่อจะได้ติดต่อกันเอาไว้และหวังว่าจะเป็นเพื่อนกันต่อได้อีกนานๆ (*ส่วนตัวคือเราชอบเมย์นะ แม้ตอนนี้ไม่ได้เจอกันอีกแล้วเพราะเมย์เปลี่ยนเบอร์ไปนานแล้ว เราเลยไม่รู้จะติดต่อที่ไหน แต่ก็ยังคิดถึงอยู่เป็นพักๆ รู้สึกสบายใจไม่เครียดตอนคุยกัน)
หลังจากกลับมาถึงกรุงเทพฯ เราก็ยังหางานทำไม่ได้ เงินก็ไม่มี วันหนึ่งเราไปห้องสมุดนั่งอ่านหนังสือ จะโทรหาใครก็ไม่มีเพื่อน ไม่มีคนรับ จนโทรหาเมย์ และเมย์บอกให้ไปเจอเขาที่รังสิต ซึ่งเราไปแถวนั้นตั้งแต่เกิดมานับครั้งได้ แต่ก็ไป เพราะไม่มีเพื่อนจริงๆ พอไปถึงก็ไปนั่งรอจนเมย์มาที่ฟิวเจอร์ รังสิต เราก็เดินไปรอบๆ และไปนั่งคุยกันตรงลานกว้างๆ หน้าห้าง ก่อนเมย์จะชวนเราไปห้องเขาที่ต้องเดินทางต่อไป เราก็ตามเขาไป นั่งสองแถวกันไป เมย์ขอให้เราค้างด้วย เราก็ตกลง ตอนดึกๆ เมย์ก็พาเราออกมาร้านแถวหน้าซอยที่มีผู้ชายสองคนนั่งทานเหล้าคุยกันอยู่ เมย์พาเราไปนั่ง เราก็นั่ง คุยกันไป ผู้ชายสองคนนั่นเรียกเมย์ว่า "ปุ้ย" หลายครั้ง จนเราถามเมย์ว่า ตกลงชื่ออะไรกันแน่ เมย์หรือปุ้ย เมย์เลยบอกว่าชื่อปุ้ย เราก็ถามว่าทำไมบอกเราว่าเมย์ เมย์ก็บอกว่าเหมือนเมรีไง เราก็หัวเราะ เมรีเมาเหล้า เมรีจากเรื่องพระรถเมรี นางสิบสอง ตอนนั่งอยู่ตอนนั้น ดึกๆ เราก็อยากกลับ แต่เพราะไม่มีรถ เราเลยต้องค้าง จริงๆ เราก็บอกกับทุกคนที่ถามในวง ว่าเราอ่ะตกงาน ไม่มีเงิน เมย์ก็ชวนเราว่าไปสมัครงานโรงงานไหม ที่เขาทำอยู่รับพนักงานใหม่ แต่ต้องไปแต่เช้ามีรถรับแต่ตีห้า และก็ชวนเราไปร้านคาราโอเกะซอยถัดไป ที่เขาเคยเป็นเด็กต้อนรับแขกในร้าน เราก็ตกลง เพราะหางานไม่ได้ ไม่มีเงิน อยากลองอะไรใหม่ๆ ด้วย เมย์ก็ชวนไปเป็นเด็กนั่งคุยกับแขกไหม เราก็ขำๆ เพราะเราไม่ได้สวย น่ารัก หุ่นดีไร ก็ใส่เสื้อยืด กางเกงขาสั้นแต่ก็ถือว่าไปหาเพื่อนคุยเพราะไงก็กลับบ้านไม่ได้อยู่แล้ว ไม่มีรถกลับ เมย์เลยพาเราเดินไปซอยถัดไป ไปร้านคาราโอเกะร้านหนึ่งที่มีผู้หญิงนั่งอยู่หน้าร้านประมาณสองสามคน เราก็ไปนั่งคุยกับเขา กินนู้นนี่กับเขา ก็พวกส้มตำง่ายๆ
พอดึกๆ ก็เริ่มมีลูกค้าเข้าร้าน คนที่นั่งอยู่กับเราก็ลุกขึ้นไปต้อนรับลูกค้าและพาเข้าไปในร้าน เราก็นั่งมองจากหน้าร้านไปเรื่อยๆ คุยกับเมย์บ้าง จนดึกๆ ก็มีผู้ชายผอมๆ คนนึงเข้ามา เมย์ก็ไปต้อนรับแล้วพาผู้ชายคนนั้นเข้าไปในร้าน และก็มาลากเราเข้าไปด้วย ความจริงก็คุยก่อนหน้านั้นแล้วแหละ แบบขำๆ ว่าเผื่อได้เงินไร เราก็เออๆ แต่ก็ไม่คิดไร เพราะเราไม่ใช่แนวนี้อยู่แล้ว แต่เมย์ลากเข้าไปก็ไปนั่งตรงข้ามผู้ชายคนนั้นซึ่งดูเหมือนเมามาก เมย์ก็มานั่งด้วย เราก็นั่งดูรอบๆ ร้านไป ฟังเมย์คุยไป แต่เราก็ไม่ได้พูดไรเท่าไหร่ จนร้านจะเลิก ผู้ชายคนนั้นก็ให้เงินเมย์ และให้เรามา 100 นึง เราก็งง คือเมามากเลยอ่ะผู้ชายคนนี้ แต่เมย์บอกให้รับไว้ เราก็รับ แต่ก็พยายามช่วยเขาเก็บร้านที่เลิก เพราะไม่อยากยืนรอเฉยๆ เพราะคนที่ร้านก็เคยนั่งคุยกันมาเมื่อกี้หน้าร้าน จนร้านปิด เราก็ไปยืนรอเมย์หน้าร้าน ผู้ชายคนนั้นที่เมาๆ ก็เหมือนตามเมย์ จะไปห้องเมย์ให้ได้ แต่ห้องเมย์คืนนี้เรานอนอยู่ด้วย แล้วก็มีผู้ชายท้วมๆ คนนึงขับรถสีแดงมาจอดหน้าร้านคุยกับเมย์ เราก็ยืนงงๆ จะทำอะไรยังไงกันแบบเซ็งๆ ว่าตกลงจะได้กลับไปนอนห้องแบบมีแค่เรากับเมย์ไหม เพราะเราไม่มีที่พักที่อื่น แต่ผู้ชายคนนั้นที่เมามากๆ ก็ยืนยันจะไปห้องเมย์คืนนี้ให้ได้ แล้วเมย์ก็ผลักเราเข้ารถผู้ชายท้วมๆ คนนั้นและรีบเอาตัวเข้ามาเบียด หัวเราะ แล้วปิดประตูรถ เมย์บอกให้ผู้ชายคนนั้นพาไปส่งห้องที่อยู่ซอยถัดไป เราก็มองไปด้านหลังก็เห็นผู้ชายคนนั้นยืนอยู่ เราก็รู้เลาๆ แหละว่าเมย์คงเคยมีอะไรกับคนนั้น (หรืออาจไม่มีก็ได้มั้ง) แต่ตอนนี้ดูเมย์ขำๆ หัวเราะสนุกสนานนะ
พอมาถึงห้อง เราก็เข้าไปอาบน้ำก่อน พอออกมา เราไม่รู้ผู้ชายคนนั้นตามมาตอนไหน เมย์อาจเปิดประตูรับเข้ามา แต่ตอนนี้ที่รู้คือมานอนริมที่นอนเมย์แล้ว เราก็บอกเมย์ไม่ได้นะ เรานอนที่นี่ เราไม่อยากให้ผู้ชายคนไหนยิ่งเป็นคนนี้มานอนในห้องด้วย เมย์เลยบอกให้ช่วยกันลากออกไปนอนนอกห้อง เราเลยเดินไปเปิดประตูห้องแล้วช่วยเมย์ลากผู้ชายคนนั้นออกไปนอนนอกห้อง ตอนลากก็กลัวตื่นขึ้นมาเหมือนกัน เพราะดูแล้วเมามาก แล้วเราก็ปิดประตูล็อค เมย์ก็บอกรีบนอนจะได้รีบตื่นไปสมัครงานโรงงานแต่เช้า เราก็ตกลง แต่ก็ยอมรับว่ากลัวผู้ชายคนนั้นเข้ามาเหมือนกัน เราก็นอนๆ ไป แต่ตอนเช้าพวกเราตื่นสายกัน ดังนั้นแผนที่จะไปสมัครงานโรงงานเลยยกเลิก เราก็ออกไปทานข้าวกับเมย์แล้วกลับบ้าน บอกตรงๆ เราคุยกับเมย์แล้วก็สบายใจดี ไม่เครียด แต่หลังจากนั้นมีโทรคุยกันอีกครั้งสองครั้ง เราก็ติดต่อเมย์ไม่ได้อีก คิดว่าเมย์เปลี่ยนเบอร์ไปแล้ว และเราไม่รู้เบอร์ป้าเมย์ด้วย ตอนนี้จริงๆ ก็ยังนึกถึงอยู่บ้าง เพราะเป็นเพื่อนที่เราคุยแล้วสบายใจจริงๆ และดีใจที่ได้มาเจอและรู้จักกัน
แดนมหามงคล รอบที่ 3
การเดินทางไปแดนมหามงคลรอบที่ 3 คือเป็นการตัดสินใจและออกเดินทางเลย (รอบที่ 3 นี้น่าจะช่วงปีเดียวกับรอบที่ 2 แต่คนละเดือน) ปกติ 2 ครั้งแรกเราจะออกเดินทางแต่เช้าเพื่อไปขึ้นรถไฟขบวนเช้าจะได้ไปถึงแดนมหามงคลตอนบ่ายๆ แต่ครั้งนี้เราออกเดินทางประมาณบ่ายๆ ก็เลยจะไปถึงแดนมหามงคลตอนมืด แต่เป็นการตัดสินใจกระทันหัน เพราะมีเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นที่เราย้อนไปสมัครฝึกงานที่บริษัทหนึ่ง และรู้สึกแย่ที่ไปที่นั่น หลังจากเดินตามถนนไปเรื่อยๆ แล้วกลับบ้าน วันต่อมาก็โยนมือถือใส่ลิ้นชักหัวเตียงแล้วออกเดินทาง
ตอนอยู่บนรถไฟ เราก็ทำเหมือนเดิมๆ คือถ้าข้างๆ ที่เรานั่งไม่มีใคร เราก็นอนยาวเท่าที่นอนได้แบบหดขา อากาศก็ร้อนเหมือนเดิม นอนๆ หลับตาไปเรื่อยๆ เพราะไม่มีอะไรทำแต่ก็ไม่ได้หลับจริง พอลืมตาที่หลับอยู่มองไปยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามที่มีคนนั่งเปลี่ยนหน้าไปจากชายแก่สูงอายุที่นั่งกับเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ กลายเป็นคุณป้าแก่ๆ คนหนึ่งที่นั่งอยู่กับพร้อมเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ อีกสองคนที่นั่งไม่ค่อยอยู่นิ่ง เราก็หลับตาลงอีกครั้งอย่างไม่สนใจ แสงแดดมันจะร้อนแรง แต่เพราะหันหัวไปด้านในตัวรถไฟ แสงแดดเลยทำอะไรมากไม่ได้นัก
รถไฟก็แล่นไปเรื่อยๆ ความร้อนก็ร้อนคงที่แม้เวลาจะเริ่มคล้อยเป็นบ่ายแก่ ตั้งแต่ก้าวขึ้นรถไฟมาตอนบ่ายโมงกว่า ก็นอนลืมตาเป็นพักๆ จนมาครั้งหนึ่งที่ลืมตาและมองไปข้างหน้าและมองเลยไปทางหัวนอนอยู่ที่เป็นเก้าอี้อีกฝั่งในแถวเดียวกัน ก็เห็นผู้ชายสูงอายุกลางคนคนหนึ่งมองดูเราอยู่ เมื่อหันไปมองฝั่งตรงข้าม ป้าคนนั้นกับเด็กผู้ชายสองคนก็ยังนั่งอยู่ เมื่อเราเห็นว่านอนต่อไปก็ไม่ได้ไรกับแดดร้อนที่ส่องเข้ามาเสมอต้นเสมอปลาย เลยลุกขึ้นชันตัวด้วยความมึนงงเล็กๆ เพราะเอนตัวลงนอนไปเป็นระยะเวลานาน มองไปนอกหน้าต่าง ก็ยังไม่เข้าถึงกาญจนบุรีเลยด้วยซ้ำ การเดินทางไม่ใช่แค่ไปถึงแค่กาญจนบุรีแล้วลง ยังต้องเดินทางเลยไปอีกกว่าสองสามชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ ผ่านป่าไปจนเกือบจะสุดปลายสถานีที่สถานีน้ำตก มองดูข้างทางไปเรื่อยๆ ก็หันมาสบตาป้าที่นั่งฝั่งตรงข้ามบ้าง ดูเด็กผู้ชายเล็กสองคนนั่งขยุกขยิกไม่อยู่นิ่งกัน มองไปก็มีรอยยิ้ม และยิ้มมากขึ้นเมื่อป้าที่นั่งตรงข้ามเธอยิ้มให้ ป้าที่นั่งตรงข้ามเราก็ถามเราว่าจะไปที่ไหน
เราก็บอกว่า “แดนมหามงคลค่ะ” ความจริงก็คิดว่าคุณป้าคนนี้น่าจะเป็นคนพื้นที่แถวนี้และน่าจะรู้จัก แต่คุณป้ากลับส่ายหัวและถามกลับมาว่ามันอยู่ที่ไหน คุณลุงตรงข้ามที่นั่งมองเรานอนจึงเข้ามาผสมโรงแนะนำสถานที่อธิบายคุณป้าว่ามันอยู่ที่ไหน คุณลุงคนนี้คงเคยไปบวชที่นั่นมั้ง ตอนแรกแอบคิดแบบนั้นนะ เพราะดูแล้ว ตัวเองรู้สึกเองว่าคุณลุงคนนี้ไม่น่าใช่คนพื้นที่แถวนี้ด้วยซ้ำ
สุดท้ายคุณลุงคนนั้นก็เลยกลายเป็นคุยกับคุณป้าคนนั้นและหยอกล้อกับเด็กผู้ชายสองคนที่คงเป็นหลานคุณป้าไป ด้วยการถามคำถามทั่วไปที่ผู้ใหญ่มักถามเด็กว่า เรียนที่ไหน, เรียนเป็นยังไง, ที่โรงเรียนเป็นไง เรานั่งฟังไปก็มีส่วนร่วมด้วยบางครั้งถ้าเกิดมีการถามคำถามเราขึ้นมา แต่ส่วนใหญ่คือการนั่งฟัง แต่บางทีด้วยคำพูดของคุณลุงคนนี้ ก็ทำให้เราคิดว่า ผู้ชายคนนี้เป็นใคร ดูเหมือนจะแนะนำตัวว่าเค้าดูมีตำแหน่งใหญ่จังในหน้าที่ทางราชการ เขาบอกคุณป้าคนนั้นและเราว่าเขาเดินทางมาเอาเอกสารที่จังหวัดนี้และจะเดินทางกลับทันทีในรถไฟขบวนแรกตอนตีห้า รถไฟที่แล่นไปมาระหว่างกรุงเทพและกาญจนบุรีจะมีสองเที่ยวเท่านั้น คือตอนเช้าและตอนบ่าย เราก็นั่งฟังบทสนทนาไปเรื่อยๆ ท่ามกลางแดดที่ส่องเข้ามาตรงด้านที่เรานั่งนั่นแหละ เลยขยับตัวไปนั่งชิดกับขอบเก้าอี้เพื่อหลบแดด คุณลุงคนนั้นหันมาว่าทำไมไม่ปิดหน้าต่าง เราก็ทำหน้างง ปิดหน้าต่างอะไร รถไฟมีที่ปิดหน้าต่างด้วยเหรอ? (ปกตินานๆ ทีนั่งรถไฟ ก็ไม่รู้อะไรทั้งนั้น) เมื่อคุณลุงเห็นเราทำหน้างง คุณลุงจึงชี้ไปที่แผ่นเหล็กสีเทาที่อยู่ด้านบนหน้าต่าง คุณป้าและหลานๆ ก็มองตาม และเอ็ดเราว่าไม่รู้เรื่อง เราจึงลุกขึ้นเลื่อนแผ่นเหล็กลงมาปิดหน้าต่างนิดนึงพอกั้นแดดแต่ไม่กั้นเราจากความเขียวขจีของบรรยากาศภายนอกและสายลมที่แม้ร้อนแต่ก็ยังดีกว่าไม่มีลมเลยซะทีเดียว เรารู้สึกมีส่วนร่วมกับวงสนทนามากขึ้น แม้จะผู้รับฟังเสียมากกว่า แต่ก็ทำให้เรารู้สึกดีขึ้น เพราะปกติเราจะเดินทางมาทางรถไฟคนเดียว นั่งเงียบๆ ดูทิวทัศน์ข้างนอกไปเรื่อยๆ ไม่มีใครคุยหรือสนทนาด้วย
รถไฟก็วิ่งไปเรื่อยๆ จนมาถึงสถานีที่คุณป้าและหลานๆ ต้องลง เด็กผู้ชายโบกมือให้คุณลุงคนนั้นพร้อมคุณป้าที่เดินลงจากรถไฟไป เหลือเพียงแค่เรากับคุณลุง (คือในโบกี้ก็มีคนอื่นๆ นั่งอยู่แหละ แต่จากวงสนทนาเมื่อกี้ตอนนี้เหลือแค่เรากับคุณลุง) เมื่อปราศจากเด็กและคุณป้าแล้วก็ไม่รู้จะสนทนาอะไรกัน เพราะเราก็ไม่ใช่คนช่างคุยอะไร ก็มีถามตอบกันบ้างและเงียบไป จนคุณลุงถามเราว่าจะไปที่แดนมหามงคลทำไม ความจริงแล้วที่สนทนากันมาเนี้ยเราก็ไม่เคยเอ่ยเรียกสรรพนามคุณลุงคนนั้น ความจริงคิดๆ ดูแล้ว ผู้ชายวัยกลางคนคนนี้ถ้าเอาอายุไปเทียบกับพ่อเราก็ไม่น่าจะแก่กว่าอ่ะนะ สามสิบกว่าจนไปถึงสี่สิบนี่แหละมั้ง ไม่ก็สี่สิบกว่า ความจริงอายุคนเราคาดเดายาก บางคนก็หน้าแก่ บางคนก็หน้าเด็ก จะไปคาดอายุจริงๆ คงไม่ได้ ดังนั้นความจริงอาจเป็นเรื่องลำบากของเราในการหาสรรพนามมาเรียกชายวัยกลางคนนี้ว่าควรจะเรียก พี่, อา หรือลุง แม้ใจอยากจะเรียกลุงก็ตามแต่ด้วยความที่เราคิดว่า การเรียกว่าพี่ คือการรักษาน้ำใจคน เพราะคงไม่มีใครอยากแก่กว่าที่เป็นก็ได้ เราจึงเรียกผู้ชายคนนี้ว่า "พี่" ด้วยการถามย้อนว่าเคยไปบวชที่แดนนั้นเหรอ คุณลุงก็เอ่ยตอบ และแทนตัวเองว่า "อา" ว่าไม่เคยไปบวชที่นั่น เราก็ “อ้อ” เป็นการรับรู้ แต่ในใจตอนที่คุณลุงแทนตัวเองว่า "อา" เหมือนเป็นการตัดบทที่เราหาคำสรรพนามจะเรียกแต่เกิดคำถามขึ้นแทนในใจแทนว่า คุณลุงคนนี้คิดว่าเราอายุเท่าไหร่กันแน่ถึงแทนตัวเองว่า “อา” เราเอ่ยตอบคุณอาคนนั้นไปว่าก็ไม่ทราบเหมือนกัน อยากนั่งรถไฟไปเรื่อยๆ แม้ในใจก็คือไม่รู้จะไปไหนอ่ะดิ แค่นึกถึงที่นี่ขึ้นมาได้ก็มา เพราะไม่รู้จะไปที่ไหนจริงๆ
คุณอา: “มันไม่น่าจะใช่ฟิล (feel) นี้นะ”
เราทำหน้างง ตอนนี้ย้ายก้นมานั่งฝั่งตรงข้ามแล้วโดยเอาขาพาดไปที่เก้าอี้อีกฝั่งที่ตัวเองเคยนอนเมื่อกี้ จะได้คุยสะดวกหน่อย ตอนนั้นคิดว่าไม่เกินสองสามชั่วโมงก็น่าจะถึงที่หมาย อย่างน้อยมีคนคุยด้วยก็คงดีแหละ แต่ไม่เข้าใจที่คุณอาคนนั้นพูด (เปลี่ยนจาก "คุณลุง" เป็น "คุณอา" แหละ)
เรา: “ไม่ใช่ฟิล (feel) ยังไงค่ะ ?????”
คุณอามองเรา
คุณอา: “ก็แบบเดินทางคนเดียวโดยรถไฟ แต่ไปไหนไม่รู้ ไม่มีจุดหมาย”
งงเข้าไปใหญ่คือที่คิดในใจ
เรา: ” แปลกตรงไหนค่ะ N (นามสมมติ) ว่าใครๆ ก็ทำกัน แบบเดินทางแบบนี้”
คุณอา: “แต่ไม่ใช่คนเดียว”
เรา: “แล้วแบบไหนถึงจะได้ฟิลแบบนี้ละคะ”
คุณอา: "ก็มันไม่ใช่อังกฤษ แบบเด็กอายุ 16 เดินทางคนเดียวบนรถไฟ ไม่รู้จะไปไหนหน่ะสิ”
เรา: ” อ้อ เคยไปอังกฤษมาด้วยรึค่ะ”
เราเจตนาเลี่ยงคำสรรพนามเรียก ไม่ว่าจะเป็น คุณลุง, คุณอา หรือพี่ไป และไม่ได้สนใจที่ว่าฟิล (feel) ไหนถึงจะใช่สำหร้บการเดินทางของเราด้วย ที่เราสนใจคือ คุณอาคนนี้เคยไปอังกฤษมาด้วย นี่แหละที่เราสนใจ เพราะเป็นความใฝ่ฝันของตัวเองนี่แหละที่อยากจะได้เดินทางไปยังที่ต่างๆ และนึกอิจฉามากที่คุณอาคนนี้ได้ไปหลายๆ ที่นอกจากเมืองไทยเหมือนตัวเอง แม้จะเคยไปอเมริกา แต่นั่นเพราะเงินคุณป้า เงินญาติส่งให้ ไม่ใช่เงินของตัวเองเลย
คุณอา: “ใช่ เดินทางบ่อย เดี๋ยวก็ต้องไปใต้อีกอาทิตย์หน้า”
เรา: “โห เดินทางเยอะมาก อยากไปบ้างเหมือนกันแต่ไม่มีโอกาส”
เรามองหน้าคุณอาคนนั้นแบบอยากรู้ตกลงทำงานอะไรกันแน่ แต่สุดท้ายก็ถามออกไป
เรา: “ตกลงทำงานอะไรกันแน่”
คือความจริงคำพูดอาจดูห้วนๆ แบบขาดสรรพนาม แต่ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรอยู่ดีแหละ ก็ไม่ต้องเรียกซะเลยดีกว่า อาจจะดีกว่า
คุณอา: “หลายอย่าง”
เราก็พยักหน้ารับรู้ บางทีคำว่าทำหลายอย่างก็ทำเรานึกถึงคนบางคนเหมือนกันที่เราก็ไม่รู้เขาทำอะไรกันแน่ แต่เหมือนทำหลายอย่างเหมือนกัน
เรา: "เดินทางบ่อยเนอะ”
คุณอาคนนั้นพยักหน้าตอบแค่ “อื้อ”
เรา: "แต่ก็ไม่เห็นแปลกอยู่ดี ที่ผู้หญิงเดินทางคนเดียวบนรถไฟ โดยไม่รู้จะไปไหน”
เราวกมาเรื่องเดิมและพูดออกไปอย่างใจคิด เพราะเราเองก็ไม่เห็นแปลกตรงไหน และนี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่เราเดินทางมาคนเดียวไม่มีใคร คนอื่นก็เป็นเหมือนกัน อีกอย่างตั๋วรถไฟมันฟรีด้วย ใครจะไปไหนก็ได้ถ้าจะไป รึคุณลุงไม่เคยเจอแบบนี้ที่เมืองไทย เราเห็นคุณลุงคนนั้นเหลือบมองไปยังที่ที่เรานอนเหมือนกี้ เป้ของเราวางอยู่ไม่ได้เคลื่อนย้ายไปไหน
คุณอา: “แต่ไม่ใช่คนเดียว และนี่รู้เปล่าว่ามันอันตรายที่นอนแบบนั้น”
เราพยักหน้า
คุณอา: “ฉันเห็นเธอตั้งแต่ขึ้นมาแล้ว คนไรนอนไม่กลัวไร ”
มันก็อาจจะจริงอย่างที่คุณอาคนนี้บอก เพราะเราเลือกนอนตามสบายใจตัวเอง ไม่สนใจอะไร ไม่กลัวอะไรจะเกิดขึ้น แต่ที่คนอื่นไม่รู้ที่ว่าเหมือนเราอ่ะนอนหลับสนิทตัวพาดยาวไปแบบนั้น ความจริงไม่ได้หลับจริงๆ เลยด้วยซ้ำ หรือเพราะเราไม่เคยเจอไรร้ายแรงเลยไม่กลัวก็ได้
คุณอา: “ไม่ค่อยได้ไปไหนหล่ะสิ”
เราพยักหน้า เพราะก็ไม่ค่อยได้ไปไหนจริงๆอ่ะแหละ
คุณอา: ” แล้วไปที่แดนนั่นทำไม ชอบปฏิบัติธรรมเหรอ”
เรา: “ตกงานมาสามสี่เดือนแล้ว ไม่มีเงิน”
เราเลือกจะพูดออกไปกลางๆ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด
คุณอา: “แปลกตรงไหน อาเองเคยตกงานมานู้นเจ็ดแปดเดือน เงินไม่มี ต้องขอแม่วันละร้อยสองร้อย”
เรา: “มันทรมานใจมาก เงินก็ไม่มี”
เราก็ไม่รู้เหมือนกันทำไมพูดออกไปแบบนั้นกับคนแปลกหน้า แต่ก็ไม่เห็นเป็นไร คนคนนี้ไม่น่าจะมีอะไรและเราก็ไม่เห็นว่าสำคัญตรงไหนที่ต้องมานั่งกังวลใจไรในการพูดอะไรกับคนแปลกหน้า
คุณอา: “เลือกงานรึเปล่า งานมีเยอะแยะ”
ความจริงเราเกลียดคำพวกนี้มากที่ว่าเลือกงานหรือเปล่า
เรา: “แค่อยากทำในสิ่งที่จบมา”
คุณอา: “จบไรมา”
เรา: ” Sri คณะ D ” (ความจริงบอกทั้งชื่อเต็มคณะและชื่อมหาวิทยาลัยนั่นแหละ)
คุณอาทำหน้าสงสัย เราจึงขยายความต่อ
เรา: “พวกคอม พวกกราฟฟิค”
ไม่มีประโยชน์ไรมาอธิบายมากมาย เพราะเราก็ไม่รู้เหมือนกันที่เราเรียนมา ถ้าพูดไปตามรายวิชาก็เยอะเปล่าๆ ใครถามก็บอกไป พวกทำกราฟฟิคอ่ะแหละ
คุณอา: “ก็ไม่น่าจะหางานยากนี่”
เรา: “ยากมาก หามาสามสี่เดือนแล้ว หาไม่ได้ มีแต่คนปฏิเสธ งานหายากมาก เคยอยากตายด้วยซ้ำ มันแย่มาก”
รถไฟแล่นมาจนเกือบใกล้สะพานข้ามแม่น้ำแคว ความจริงก็รู้แหละ เพราะเคยมา 2 ครั้งก่อนหน้านี้แล้ว แต่เหมือนคุณอาคนนี้จะคิดว่าเธอมาที่นี่ครั้งแรก เราก็ทำเป็นไม่รู้ไป
คุณอา: "วันนี้จะเป็นไกด์ให้สักวัน”
คุณอาลุกขึ้นมาฝั่งแถวที่เรานั่ง ตรงไปที่หน้าต่าง เราก็ลุกตาม คุณอาชี้ให้เราดูพวกร้านอาหารที่อยู่ก่อนทางขึ้นสะพานข้ามแม่น้ำแคว
คุณอา: “นั่นร้านคนรู้จัก เคยพาคนมาทาน อาหารอร่อยมาก”
เรามองร้านอาหารริมฝั่งแม่น้ำก่อนที่รถไฟจะแล่นข้ามสะพานข้ามแม่น้ำแคว
เรา: ”สะพานข้ามแม่น้ำแคว”
คุณอา: ” ไม่ใช่ ยังไม่ถึง”
สะพานที่ข้ามแม่น้ำสายใหญ่ที่เราคิดว่าเป็นสะพานข้ามแม่น้ำแควมาตลอดเวลา มันไม่ใช่สะพานข้ามแม่น้ำแควที่ญี่ปุ่นมาสร้าง เมื่อข้ามสะพานมาถึงฝั่งตรงข้าม เรามองจากหน้าต่างรถไฟลงไป เห็นพวกเรือรับจ้างและป้ายปักบอกสถานที่ไปต่างๆ มากมายเรียงในแถวเดียวกัน เป็นพวกสถานที่ที่เราไม่เคยไปมาก่อนหรือแม้แต่รู้จัก แต่จะได้เจอแค่ล่องตามแม่น้ำสายนี้ไป เราเห็นคุณอามองแม่น้ำสายนั้นด้วย
เรา: “มีที่เที่ยวเยอะที่ไม่เคยไป”
คุณอา: “อื้อ กำลังมองน้ำในแม่น้ำอยู่ น้ำค่อนข้างสูงกว่าปกตินะ”
เรามองคุณอาคนนั้นอย่างแปลกใจ เพราะบางทีคุณอาคนนี้ก็มีไรแปลกๆ และเราก็ยังไม่รู้คุณอาคนนี้ทำอะไร คงเป็นข้าราชการคนหนึ่งมั้ง บางทีก็เห็นทักเจ้าหน้าที่รถไฟขบวนข้างๆ แต่อยู่ๆ คุณอาคนนั้นก็หันมาทางเรา
คุณอา: “ หัดคิดอะไรนอกกรอบซะบ้าง เธออ่ะเหมือนกบในกะลาครอบ ”
คุณอามองเราและเอามือชี้ที่หัว
คุณอา: “ รู้จักมั้ย คำว่า คิดนอกกรอบ คิดอะไรอยู่แต่ในกรอบอยู่ได้ ”
ความจริงเราก็ไม่รู้อะไรหรอกนะ แต่รู้สึกดีกับการมามองเห็นสิ่งต่างๆ รอบๆ รถไฟเหมือนอย่างตอนนี้รู้สึกสบายใจขึ้นกับคำว่าโลกกว้างที่เราไม่เคยสัมผัสถึงเลยด้วยซ้ำ
คุณอาชี้ชวนให้เรามองดูสิ่งต่างๆ ข้างทาง พลางอธิบาย ฟ้าเริ่มมืดลงเมื่อรถไฟแล่นมาถึงรีสอร์ตข้างทาง บ้านพักริมน้ำ ผู้คนที่มาพักอาศัยเดินไปตามทาง บางคนก็ทำกิจกรรม บางคนก็มีกล้องถ่ายภาพอยู่ในมือ บางทีเราก็นึกอิจฉาลึกๆ เพราะเราเองก็ไม่มีเพื่อนที่จะมาทำแบบนี้ด้วย แบบไปเที่ยวด้วยกันแบบนี้
รถไฟพาเรามาจนถึงสะพานไม้
คุณอา: “นี่แหละสะพานข้ามแม่น้ำแคว ที่ญี่ปุ่นมาสร้าง คนตายมากมาย ตรงนี้แหละ”
เรามองลงไปถึงข้างล่าง มองเสาเหล็กที่ยกขึ้นมารองรับแผ่นไม้ (*เสียดายตอนนั้นไม่มีกล้องถ่ายภาพไว้) พลางนึกถึงช่วงเวลาแต่ก่อนตอนที่สร้างทางรถไฟว่าแถวนี้เป็นอย่างไร ตรงนี้คงเป็นป่าทึบ ในหัวเราเกิดภาพป่าทึบ มีแต่ต้นไม้สูงใหญ่ และคนงานที่ทำงานค่อยๆ ลากไม้มาเรียงเป็นสะพาน ท่ามกลางความเหนื่อยยาก และไข้มาลาเรีย ผู้คนที่ล้มตายลงไป รถไฟแล่นมาถึงทางโค้งที่สวยงามที่เราจะเห็นรถไฟโบกี้ข้างหน้าเลี้ยวโค้ง ถ้าเรานั่งอยู่ตรงโบกี้ข้างหน้าเมื่อมองกลับมาก็จะเห็นรถไฟโบกี้ข้างหลังเลี้ยวโค้ง ตรงนี้มักมีคนยื่นกล้องออกมาถ่ายรูปมากมาย เป็นภาพที่สวยงามแม้ตอนนี้ฟ้าจะเริ่มมืดลงแล้วก็ตาม คือมากี่ครั้งเราก็อดตื่นเต้นไม่ได้อยู่ดี ทุกครั้งที่ผ่านมาเจอ
ช่วงระหว่างนั้น เราก็ไม่รู้เหมือนกันจะไปถึงยังที่หมายกี่โมง สักสองทุ่มสามทุ่มละมั้ง สักพักคุณอาก็ย้ายตัวไปฝั่งตรงข้ามและเรียกเราไปดูซอกถ้ำที่ตัดลงไปเห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เรายกมือไหว้ คือเคยผ่านจุดนี้มาแล้วแต่ไม่เคยสังเกตเห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตรงนี้
คุณอา: "มีอะไรอีกมากมายที่เธอยังไม่เคยเจอ”
แล้วคุณอาก็กลับไปนั่งที่เดิม เราจึงนั่งที่เดิมของตัวเองบ้าง ขายังพาดไปยังเก้าอี้ที่นั่งตรงข้ามอย่างสบายใจ ผู้คนบนรถไฟเริ่มน้อยลง จนโบกี้ที่นั่งแทบไม่เหลือคน เราเพิ่งสังเกตเห็นท้องฟ้าจากข้างหลังรถไฟและรางรถไฟ เป็นภาพที่สวยงามมาก และเราอาจเพิ่งรู้ตัวว่า โบกี้ที่เรานั่งเป็นโบกี้รถไฟอันสุดท้ายนะ เพราะตอนเดินหาที่นั่งว่างๆ เราก็เดินมาเรื่อยๆ บางทีถ้าตอนนั้นมีกล้อง เราก็อยากออกไปถ่ายภาพเหมือนกัน แต่เราตอนนั้นไม่มีแม้แต่กล้องหรือมือถือ รถไฟก็แล่นผ่านไปตามทางเรื่อยๆ สายลมเย็นๆ พัดเข้ามาสบายๆ ฟ้ายังมีแสงรำไร เราอยากหยุดเวลาแห่งช่วงความสบายใจนี้เอาไว้จริงๆ ก่อนจะไปพบเจออะไรที่ทำให้ทุกข์ใจอีกครั้ง เรานั่งคิดถึงเรื่องราวต่างๆ ขณะที่คุณอาคนนั้นนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ เราคิดถึงเหตุผลที่หนีมากระทันหันและคิดว่าตัวเองควรพูดออกไปดีไหมเพื่อระบายสิ่งที่อยู่ในใจให้ใครบางคนรับฟัง เพราะไม่มีใครจะสามารถรับฟังหรือเข้าใจเราได้ สุดท้ายเราก็ตัดสินใจจะพูดกับคุณอาคนนี้แหละ
เรา: “รับฟังอะไรหน่อยได้มั้ย”
เราพูดกับคุณอาคนนั้น อย่างตัดสินใจว่าต้องพูดอะไรออกไป เผื่อว่าอะไรจะดีขึ้น
คุณอามองเรา
คุณอา: “อะไรหล่ะ ก็ฟังได้”
คือตอนนั้นคิดว่าคงไม่เป็นไร ก็ไม่รู้จักกันนิ พอแยกย้ายลงรถไฟขบวนนี้ก็คงไม่เจอกันอีก อีกอย่างการพูดอะไรที่เราไม่สามารถบอกอะไรใครได้หรือไม่มีใครรับฟังเราได้ และพูดกับคนแปลกหน้าคือการไม่ต้องมีอะไรที่ต้องกังวลด้วยซ้ำ ไม่ว่าเราจะพูดอะไรออกไป ไม่มีความหมายหรือความทรงจำใดใดเพราะเราไม่รู้จักกัน ความในใจของเรา เรื่องที่เราทุกข์ใจ, กังวลและบอกใครไม่ได้เลย
เรา: “ความจริงที่ต้องออกมาแบบนี้ มันมีอย่างอื่น แต่พูดกับใครไม่ได้เลย”
คุณอามองเรา เหมือนจะพูดไรก็พูดสิ เราคิดว่าช่วงนั้นเป็นโอกาสที่เราจะพูดอะไรออกไปก่อนที่จะไม่มีโอกาสที่จะได้พูดเรื่องนี้อีกแล้ว และเราจะไม่พูดอีกกับสิ่งแย่ๆ ที่เราทำและรู้สึกแย่มากที่ทำไป จนเราไม่อาจจะอยู่ได้
เรา: ” เมื่อวาน N (นามสมมติ) ไปสมัครฝึกงานอีกครั้งกับที่บริษัทเดิมที่เคยไปฝึก รู้สึกแย่มาก ไม่น่าทำเลย”
คุณอา : "ทำไมอ่ะ”
เรา: “แบบรู้อยู่แล้วว่าเขาต้องปฏิเสธ และเขาคิดว่า ตัวเองเก่งหล่ะสิ ซึ่งมันไม่ใช่เลย”
คุณอา: “เล่าให้มันรู้เรื่องหน่อยสิ อะไรมันเป็นไง”
เรา: “ก็เคยฝึกงานที่นั่น แต่ทำไรไม่ดีไว้ และก็กลับไปอีก แบบไม่น่าทำเลย บ้ามากอ่ะ รู้อยู่แล้วเขาไม่เอา”
คุณอา: “ไปทำอะไรไว้อ่ะ เขาถึงไม่ชอบ อีโก้”
เรา: “เปล่าไม่ใช่ แต่คนที่นั่นเขาไม่ชอบ N (นามสมมติ) อยู่แล้วแหละ แบบคิดว่าตัวเองเก่งหล่ะสิ เขาทำท่าแบบรังเกียจมากอ่ะ”
(ตอนนั้นพูดไปตามอารมณ์ แต่ความจริงไม่ควรไปใส่ร้ายใคร ความจริงตัวเลือกเยอะ และเราทำไม่ดีจริงตอนฝึกงาน)
คุณอา: “เธอไปทำอะไรไว้เขาถึงรังเกียจหล่ะ”
เรา: ” หลายอย่างแต่ที่นี่เขาไม่ต้องการ N (นามสมมติ) อยู่แล้ว ถึงขนาดไปบอกให้คนอื่นมาบอก N (นามสมมติ) ด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่คนอื่นก็ไม่เกี่ยว ตอน N (นามสมมติ) ใกล้จะจบเหลืออีกวันจะพรีเซ้นไฟนอลโปรเจค เพื่อน N (นามสมมติ) มาบอก N (นามสมมติ) ว่า ที่ฝึกงานเก่า N (นามสมมติ) เขาไม่รับ บอกว่า N (นามสมมติ) อ่ะ ตอนหาที่ฝึกงานไปขอร้องเขา เขาเห็นไม่มีที่ไป และประมาณว่าอาจารย์ที่คณะรู้จักคนที่นั่น เขาไม่เอา แต่แค่มีชื่อบริษัทนี้ในใบว่าเคยฝึกที่ไหนก็คงอ้าแขนรับ ปัญญาอ่อนว่ามั้ย ยิ่งใหญ่ขนาดชาวบ้านจะดูแค่ชื่อบริษัทนี่แต่ไม่ดูความสามารถ ความจริงน่าจะละอาย ย้ำมาบอกมากกว่านะว่า อย่าใช้ชื่อบริษัทที่เคยฝึกงานไปใช้เลยนะ เดี๋ยวจะนำความเสื่อมเสียมาถึงพวกเขา เพราะดันรับเด็กฝึกงานห่วยแตกเข้าไปอ่ะ แบบไปขอร้องเขาไม่มีที่ไป”
คุณอา: “…………….”
เรา: “ถึงว่าไม่น่าไปเลย รู้สึกโครตแย่มาก แบบเขาจำได้และไม่ชอบ เพราะเราดันไปเทียบรัศมีความสูงส่งของพวกเขา แต่เรื่องของเรื่องอ่ะ มันไปเกี่ยวไรกับคนอื่นขนาดต้องมาบอก มันเป็นเรื่องของ N (นามสมมติ) กับที่บริษัทไหน และตลอดมาไม่มีการเอ่ยถึงว่า N (นามสมมติ) จะไปสมัครหรือไร แม้กับพวกพี่ที่นั่น เพราะ N (นามสมมติ) เองก็รู้อยู่แล้วว่าเขาไม่เอา เพราะตอนที่ N (นามสมมติ) ฝึกมาจบไปสองสามเดือน N (นามสมมติ) กลับไปที่นั่นอีก เอาใบสอบถามไปถามเพราะ N (นามสมมติ) ทำโปรเจค N (นามสมมติ) มีพี่คนหนึ่งทักว่า มีพี่คนหนึ่งออกมาสมัครที่นี่ดิ แบบเล่นๆ พี่ที่เป็นหัวหน้าครีเอทีฟเขารีบมาว่า อย่า ไม่เอา เดี๋ยวเป็นภาระเราอีก แต่ปัญหาคือ มันเกี่ยวไรกับคนอื่นแค่นั้นแหละ ให้คนอื่นมาบอกทำอะไร มาทับถมหรือมีไร คนอื่นถึงต้องรับรู้ไรด้วย ตอนที่ฝึกงานอยู่ พี่เขาก็พูดเรื่องความสามารถนี่แหละ คิดว่าตัวเองเก่งรึไง ไม่ใช่พี่เขาไม่ดีหรอก ก็ดี แต่มันเกี่ยวไรกับคนอื่นด้วย ทำไมต้องให้คนอื่นมาพูดไรด้วย”
เรา: "เลยรู้สึกแย่ เลยต้องหนีมาแบบนี้แหละ กลับบ้านไปรู้สึกแย่มาก แบบอยู่ไม่ได้ ความจริงว่าจะออกมาตอนเช้าเลย แต่ไม่อยากตอบคำถามแม่ เลยต้องมาตอนบ่ายแทนนี่แหละ”
คุณอา: “แล้วบอกแม่รึยัง”
เราส่ายหัว สีหน้ากังวล
เรา: “ยัง ออกมาเลย มีเรื่องทะเลาะกับแม่เมื่อคืนด้วย แบบแค่นี้ก็แย่จะตายอยู่แหละ ยังจะมีอะไรอีก ไม่รู้ทำไงถึงหนีออกมาเลย”
คุณอา: “โทรไปบอกแม่เขาซะ เขาจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”
รถไฟแล่นเข้าสู่ดงไม้ เป็นสัญญาณว่าอีกไม่ไกลก็คงถึง เพราะสถานที่ที่จะไปมันอยู่ในป่า อยู่บนเขา?
เรา: “ไม่ได้เอามา พอเกิดเรื่องนี้ โยนโทรศัพท์เข้าตู้หัวเตียงเลย”
คุณอาหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาและยื่นให้
คุณอา: “โทรไปหาเขาซะ ให้ยืม”
คุณอาคนนั้นยื่นโทรศัพท์ให้เรา ที่รับมากุมไว้ แต่ไม่โทรเพียงแค่กดเบอร์ไว้และนั่งมองโทรศัพท์ คุณอา มองเรา แล้วลุกขึ้น
คุณอา: “เดี๋ยวจะไปห้องน้ำ โทรไปซะ”
เราวมองตามคุณอาที่เดินไปยังห้องน้ำที่อยู่ในโบกี้ถัดไป ตามองโทรศัพท์แต่ไม่กล้าโทรอยู่ดี แต่ไงๆ ก็ต้องโทรไปและโทรไปก่อนที่คุณอาคนนั้นจะกลับมา เราลังเลอยู่นาน ไม่รู้จะพูดอะไรเหมือนกัน แม้ในใจจะรู้ว่าควรโทร แต่พรุ่งนี้เราก็คงกลับแล้วแหละ หายไปวันเดียว ตอนนี้ก็ไม่อยากมารับรู้หรือคิดอะไรด้วย แบบอากาศกำลังดี นั่งสบายๆ ชิลๆ ไม่อยากมาคิดมากหรือไรอีก จนคุณอาเดินกลับมา
คุณอา: “โทรไปยังหล่ะ”
เรา: ” ยัง แต่กำลังจะ”
คุณอา: “นี่ไปตั้งนานนะ ก็โทรไปซะ เขาจะได้ไม่เป็นห่วง”
เรามองเบอร์ในโทรศัพท์อีกครั้งแล้วตัดสินใจโทรเข้าบ้านไม่ใช่โทรเข้าเบอร์มือถือแม่ เพราะกลัวแม่โทรกลับมาเข้าเครื่องคุณอาคนนี้ ป้องกันไว้ก่อนก็ดี ” ตื๊อ ตื๊อ ตื๊อ” ไม่มีคนรับ เรารอสาย “ฮัลโหล” เสียงแม่กรอกเข้ามาตามสายโทรศัพท์ เสียงไม่ดีหนัก บ่งบอกว่าอารมณ์เสีย
เรา: “แม่ นี่ N (นามสมมติ) นะ N (นามสมมติ) อยู่กาญตอนนี้ มาบวชที่เดิมคงกลับพรุ่งนี้”
“อื้อ”และแม่ก็วางสายไปก่อนเราพูดจบด้วยซ้ำ
เรา: “กระแทกหูใส่”
เราบอกขณะคืนโทรศัพท์ให้คุณอาคนนั้น ซึ่งรับไปดู
คุณอา: ” พรุ่งนี้กลับบ้านไปขอโทษแม่ซะ เขาเป็นห่วง”
รถไฟแล่นไปเรื่อยๆ ตามทางที่แม้ฟ้าจะมืดแต่เราก็คุ้นเคยเพราะก็เคยมาก่อนแล้ว ตามที่รู้ คุณอาต้องลงก่อน พอใกล้จะถึงจุดหมายที่คุณอาจะลง ขณะนั้นก็มีเจ้าหน้าที่สามคนเดินเข้ามานั่งตอนท้ายขบวน
คุณอา: “เดี๋ยวจะลงแหละ เดี๋ยวไปบอกเจ้าหน้าที่เขาให้ว่าเราจะลงไหนเขาจะได้บอก”
เรา: “ขอบคุณค่ะ”
เรากล่าวขอบคุณออกไปในความมีน้ำใจของคุณอาคนนั้น ความจริงเราอ่ะก็เคยมาแล้ว 2 ครั้งก่อนหน้าก็พอรู้อยู่หรอกว่าต้องลงตรงไหนแต่แค่ไม่เคยมามืดค่ำแบบนี้ ที่เรากลัวคือไม่มีคนลงเป็นเพื่อนมากกว่าเพราะต้องเดินเข้าไปอีก
คุณอาก็เดินไปบอกเจ้าหน้าที่ที่เดินเข้ามาประมาณว่าฝากน้องเขาด้วย เขาไม่เคยมา บอกเขาว่าลงที่ไหนแล้วเดินกลับมานั่งที่เดิม
คุณอา: “พรุ่งนี้กลับตอนตีห้าขบวนเช้า ถ้ากลับตอนนั้นอาจเจอกัน”
เราก็พยักหน้ารับ
คุณอา: “ถ้าไม่รู้จะไปไหน ก็ไปหาคนชื่อ "ตุ้ย" เขามีร้านขายของเล็กๆ ใกล้ๆ สถานีที่อาจะลงนี่แหละ บอกว่ารู้จักอา ไปขอเขานอน อาจะมาเอาเอกสารและจะกลับแต่เช้า ถ้าไม่รู้จะไปไหนนะ”
เราพยักหน้าและขอเบอร์คุณอาเอาไว้ เผื่อมีอะไร คุณอาก็จะให้มา เรารื้อหากระดาษในกระเป๋าแต่ไม่มี คุณอาส่ายหน้า และฉีกกระดาษเอาจากสมุดบันทึกที่คุณอาวางอยู่บนตักก่อนเขียนและยื่นมาให้ เราขอบคุณและรับมาใส่กระเป๋า พอถึงสถานีที่ต้องลง คุณอาก็เดินลงไป เรามองตามออกทางหน้าต่างรถไฟเห็นหลังคุณอาคนนั้นเดินห่างออกไป และหันมาโบกมือให้เรา เราก็เลยโบกมือกลับอย่างขอบคุณ คุณอาคนนั้นก็หันหลังเดินจากไป
รถไฟเริ่มเคลื่อนออก ตอนนี้ในรถไฟเหลือแค่เราและเจ้าหน้าที่สามคน ไฟในรถไฟเปิดสว่าง ฟ้ามืดสนิท แต่ไฟในรถไฟสว่างมาก เรานั่งมองสองข้างทางพร้อมสายลมที่พัดเข้ามา พยายามไม่คิดไร เวลานี้จะไม่มีเรื่องอะไรที่เราต้องทุกข์ใจหรือคิดไร เราก้าวออกมาจากทุกเรื่องราวทุกอย่าง พอใกล้จะถึงจุดหมาย เราก็เห็นผู้หญิงท้วมคนหนึ่งใส่ชุดขาวเหมือนคนกำลังจะไปปฏิบัติธรรมเดินเข้ามาหาเจ้าหน้าที่สถานีที่นั่งโบกี้เดียวกับเรา แล้วถามว่าที่ที่เธอต้องการจะลง ถึงรึยัง
“แดนมหามงคล” เรามองผู้หญิงที่เข้ามาใหม่คนนั้น เจ้าหน้าที่ชี้มาที่เรา คือลงสถานีเดียวกันนั่นเอง และบอกว่าใกล้ถึงแล้ว ผู้หญิงที่เดินเข้ามาใหม่มองเราก่อนเดินกลับไปทีี่โบกี้เดิม ตอนนั้นคิดในใจเลยว่าเดี๋ยวคงต้องรู้จักผู้หญิงคนนี้ ตอนนั้นอาจมโนไปเองแบบคิดว่าตัวเองมีคนหรืออะไรคุ้มครองเสมอ เมื่อเดือดร้อน ฟ้าต้องส่งคนมาไม่ให้เราแย่เกินไปนัก และอาจเป็นผู้หญิงคนนี้ก็ได้ที่ฟ้าส่งมาให้ลงที่เดียวกับเราและอยู่กับเเรา ก็แอบเชื่อไปแบบนั้นตอนนั้น
เมื่อถึงสถานี เราก็ลงพร้อมคนอื่นอีกสี่ห้าคน เจ้าหน้าที่รถไฟตะโกนบอกจากบนรถไฟมาทางเราและคนอื่นๆ ที่มาลงสถานีเดียวกัน ว่าอย่ามามืดแบบนี้อีกให้มาแต่เช้า มันอันตราย เราทุกคนรับคำและโบกมือพร้อมรอยยิ้มให้เจ้าหน้าที่คนนั้น ก่อนที่รถไฟจะเคลื่อนออกไป เราหันไปยิ้มทำความรู้จักกับผู้หญิงที่เข้ามาในโบกี้ที่เรานั่งเมื่อกี้ทันทีเพื่อทำความรู้จัก ซึ่งก็ได้รับรอยยิ้มกลับมา เราก็รู้สึกดีนะที่ได้มาเจอใครสักคนที่จะอยู่เป็นเพื่อน ไม่ต้องอยู่คนเดียว ก่อนพวกเราทุกคนจะเดินไปในความมืดท่ามกลางต้นไม้สู่จุดมุ่งหมาย คือ “แดนมหามงคล”
เรา 2 คนเดินตามคนที่ลงสถานีเดียวกันไปข้ามสะพานเพื่อลงชื่อ ลงเวลาที่จะอยู่และอาบน้ำเปลี่ยนชุด ครั้งก่อนๆ ที่เรามาอ่ะจะได้นอนที่ศาลาริมน้ำ แต่ตอนนี้ต้องเดินลึกเข้าไปอีกศาลาหนึ่ง ซึ่งเราก็นอนกับเพื่อนใหม่ที่เพิ่งรู้จักกันนี่แหละ แม้อายุห่างกันแค่ 3 ปี แต่เราอ่ะโดนเรียกว่า "หนู" หรือ "ตัวเล็ก" ในใจก็ขำๆ แบบคิดว่าอาจเพราะเพื่อนใหม่คนนี้ไม่รู้ว่าอายุห่างกันแค่ 3 ปี คือเราอ่อนกว่า 3 ปีเอง ตอนแรกเราลังเลว่าจะกลับตอนตีห้าหรือตอนเที่ยง เพราะรถไฟมีสองเวลา แต่ไหนๆ ก็มาแล้วและเพื่อนใหม่ก็บอกว่าอยากจะกลับตอนเที่ยง ก็อยู่สวดมนตร์เช้าและทำความสะอาดสถานที่เสียก่อน โดยเราพยายามให้ได้ทำความสะอาดสะพานทางเข้าเพราะเชื่อว่าจะได้ข้ามทุกข์ข้ามโศกไป
ตอนเที่ยงของวันต่อมา พวกเรา 2 คนก็เก็บของไปรอรถไฟที่สถานีรถไฟ ซึ่งมีคนนั่งรออยู่ก่อนแล้วทั้งชาย-หญิง 4 - 5 คน และเพราะรถไฟมาช้ามาก พวกเราเลยได้คุยและทักทายกัน ความจริงการเดินทางครั้งนี้ เราคิดว่าเป็นช่วงเวลาดีดีที่ได้รู้จักคนดีดี และมีความสุขช่วงสั้นๆ เพราะตอนกลับตอนช่วงบ่ายคนที่รอรถไฟที่เดียวกัน ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักกันมาก่อนแต่เขากลับห่วงว่าเราจะกลับไง จะลงสถานีไหน
ขบวนรถไฟจากแดนมหามงคลจะไปสุดทางที่สถานีน้ำตก ซึ่งทุกคนที่รอรถไฟก็จะขึ้นไปพร้อมกัน พอถึงสถานีน้ำตก พี่คนหนึ่งก็ลงไปเอาตั๋ว ซึ่งเป็นตั๋วฟรีมาแจกทุกคนทั้งที่ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน เราก็นั่งกินไก่ย่างข้าวเหนียวและมองออกนอกหน้าต่างชมวิวข้างๆ ที่มีต้นหญ้าเขียวขจี ลมพัดเย็นๆ มีความสุขมาก พอถึงสถานีรถไฟกาญจนบุรี พี่ผู้หญิงสองคนที่เราเจอขณะรอรถไฟก็ลงไปและเหมือนมองหาอะไรอยู่ เพราะตอนที่อยู่สถานี พี่ผู้หญิงสองคนนี้บอกให้เราลงพร้อมเขาแล้วค่อยต่อรถตู้ไปกรุงเทพฯ แต่ตอนขึ้นรถไฟเรานั่งแยกกัน ไม่แน่ใจว่าพี่สองคนนี้มองหาเราที่ไม่ลงมาพร้อมกันหรือเปล่า (พอดีเราตกลงตามพี่ที่เราเจอบนรถไฟขามาให้ไปลงนครปฐม (มั้ง) ที่เป็นจังหวัดบ้านพี่เขาแล้วให้เราต่อรถตู้เข้ากรุงเทพฯ) แต่ตอนรถไฟเคลื่อนที่ออก เราก็โบกมือให้พี่สองคนนั้น ซึ่งเขาก็หันมาเห็นและยิ้มให้ เป็นความประทับใจช่วงหนึ่งที่มีความสุขแม้เป็นช่วงเวลาแค่แป๊ปเดียว กับการเดินทางเล็กๆ ในช่วงระยะเวลาหนึ่งที่ทุกข์ใจที่สุดช่วงนั้น ขอบคุณที่ได้เจอคนดีดีและมิตรภาพ แม้เป็นช่วงสั้นๆ
***สำหรับบทสนทนากับคุณอา ที่พอจำได้เพราะหลังจากกลับมา เราบันทึกเอาไว้บล็อคส่วนตัวถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น และเอามาเขียนเป็นเรื่องสั้นอีกรอบในเว็บนิยายเว็บหนึ่ง แต่แม้จะเขียนเป็นเรื่องสั้นแต่ก็คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้น
การนำมาเขียนใหม่ อาจเพราะเราทุกข์ใจ เครียดเรื่องตกงาน และอยากปฏิบัติธรรมแต่ทำไม่ได้ เลยขอย้อนเรื่องเก่าๆ ที่เรานึกถึงมาเขียน และทำให้เราได้ย้อนถึงเรื่องราวต่างๆ อย่างช่วงบทสนทนาบนรถไฟที่ช่วยให้เราย้อนนึกถึงบางเรื่องที่เราอาจมองข้ามหรือลืมไป
ในการปฏิบัติธรรมที่เหมือนเราทำไม่ดีในครั้ง 1 หรือ 2 พี่ชุดขาวระดับคนดูแลก็เคยพูดลอยๆ ว่าถ้าจะนั่งสมาธิ สวดมนตร์ให้ทำที่บ้านก็ได้
การปฏิบัติธรรม ถ้าไม่มีใจจริงๆ หรือใจยังห่วงกังวลอะไรอยู่ ก็คือการได้แค่อยากหนีปัญญา หาที่สงบ สวดมนตร์ นั่งสมาธิ ส่วนการมุ่งขอพร ทำสิ่งต่างๆ เพื่อขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือผลบุญดลให้ได้ตามสิ่งที่ต้องการก็คือที่พึ่งทางใจ แต่ใจก็ไม่ได้สงบจิตตามหลักสำคัญของคนปฏิบัติธรรม แต่ก็เห็นหลายคนมาก ที่มาเพราะทุกข์ แต่ใช่จะดับทุกข์นั้นได้ แค่ที่พึ่งทางใจ***
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in