ก่อนจะไปถึงแคทเทอรีนขอบ่นความกว้างขว้างของออสเตรเลียก่อน เราต้องใช้เวลาในการเดินทางจากเมลเบิร์นไปแคทเทอรีน ทาง northern territory เมืองดาห์วินประมาณเกือบสามชั่วโมงโดยเครื่องบิน เราตื่นประมาณตีห้าขึ้นเครื่องตอน 6 โมงเช้าด้วยสานการบิน Qantas ซึ่งเป็นสายการบินที่ใหญ่มากของออสเตรเลียแล้วก็แพงมากเช่นกัน เสียค่าตั๋วรอบเดียว แค่ขาไปรอบเดียว 400 กว่าดอลประมาณ 9,600 บาท มีเกตเป็นของตัวเองอะไรต่างๆ ดีมากแต่เรื่องน้ำหนักคือแย่มากแพงสุด เลยต้องแบกขึ้นเครื่องเองเกือบ 10 โล
บรรยากาศโดยรอบของฟาร์มแตงโมที่เราทำงาน ทุกอย่างคือเป็นสีน้ำตาล ดินแดงฝุ่นคลุง
พอมาถึงสนามบินดาห์วินแล้วต้องนั่งรถบัสต่อเข้าไปในเมือง 30 นาที และต่อบัสเข้าแคทเทอรีนอีก 3 ชั่วโมง เป็นการเดินทางที่ยาวนานมากตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็น ตอนเรานั่งรถบัสเข้าเมืองเราได้บังเอิญเจอกับคนมาลาเซีย ตอนแรกกลัวมากแม่งจะเข้ามาจีบหรือทำไรปะวะ แต่เค้าก็เรียกซิสเตอร์ๆ แล้วก็ถึงได้รู้ว่าเค้ามาทำฟาร์มไข่ แล้วก็ไม่ใช่คนไม่ดีอะไรเค้าก็คือแรงงานคนนึงที่ทำมาหากินส่งลูกส่งเมียที่อยู่ต่างแดน เอาจริงเราไม่ได้อยู่ตรงจุดนั้นเลย แล้วเราก็ตัดสินเค้าตั้งแต่แรกที่เจอกันเพราะเค้ารูปร่างหน้าตาดูน่ากลัว โคตรไม่ชอบตัวเองที่ตัดสินคนจากภายนอก เอาจริงเค้าช่วยเหลือเราดีมากตั้งแต่การช่วยขนกระเป๋า บอกข้อมูลที่ควรระวัง เป็นเพื่อนรอรถ อันนี้จะบอกว่าเป็นเพื่อนก็ไม่ได้เพราะรอรถทางเดียวกัน ทำให้สองชั่วโมงในการรอรถของเราไม่น่าเบื่อจนเกินไป
หลังรถมาและเราขึ้นรถมาได้สักระยะข้างทางเริ่มเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จริงๆ เรามองเห็นทางเหนือของออสเตรเลียจากบนเครื่องบิน ทุกอย่างเป็นสีน้ำตาล ดูแห้งแล้งกันดาร ยิ่งกว่าดาวอังคาร คิดในใจกูอยู่ส่วนใหญ่ของโลกวะเนี้ย พอยิ่งมาเห็นใกล้ๆ ยิ่งแบบพื้นที่ตรงไหนคือเป็นสีเขียวมั้ง เดาไม่ถูกเลยว่าข้างหน้าจะเป็นยังไง เราเพลียมากหลับไปสิบตื่นก็ยังไม่ถึง แต่เอาจริงๆ ถึงว่าทางมันจะดูค่อยข้างแห้งแล้ง แต่เราแบบไม่รู้สึกเศร้าเลย รู้สึกตื้นเต้นเต้น ที่นี้มันจะเป็นยังไงนะ จะลำบากขนาดไหนนะ เราจะประสบการณ์ที่เคยคิดว่าอยากพบเจอไหมนะ
พระอาทิตย์ตกที่นี้สวยมาก
สามชั่วโมงผ่านไปรถมาจอดที่ woolie ซุปเปอร์นึงของออส พี่บอกว่าจะมารับหลังจากที่มาถึง คำพูดของนางก่อนจะมาคือ มาให้ถึงแคทเทอรีนก่อน ที่เหลือค่อยว่ากัน การจะมาถึงนี่คือไม่ง่ายจริงๆ พอเรามาถึงเราก็เข้าไปรอในซุปเปอร์ซื้อน้ำ ซื้อขนมมากินระหว่างนั่งรอ จริงๆ ทางเหนือของออสเตรเลียจะมีคนพื้นเมืองอยู่เยอะมากหรือที่นี้เค้าจะเรียกว่า อะบอริจิน ซึ่งมีผิวสีคล้ำและหน้าตาค่อยไปทางอินเดีย ซึ่งคนเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่ได้ทำงาน แต่จะอยู่ตามผับบาร์ดื่มเหล้าสังสรรค์ ความเข้าใจสำหรับเราในตอนแรกของคนเหล่านี้คือ น่ากลัวและขี้เกียจ เป็นคำที่เราได้ยินหลายคนพูดถึง และบอกให้เราระวังตัวจากอะบอริจิน เพราะบางทีเขาจะเดินเข้ามาขอเงิน ทั้งๆ ที่เป็นกลุ่มคนที่ได้เงินสนับสนุนจากรัฐบาลพอสมควร แต่เราว่ามันก็ควรเป็นสิทธิ์ของเขาที่ควรจะได้จากรัฐบาลเนื่องจากกลุ่มคนเหล่านี้เป็นกลุ่มที่ โดนไล่ที่ และโดนทำร้ายมากมายในอดีตช่วงที่อังกฤษเข้ามา
ข้อดีคือมีวัลลาบีออกมาเดินเล่นหน้าฟาร์มให้ดูทุกวัน ทางเข้าฟาร์มจริงไม่สารมารถขับรถเร็วมากได้เพราะน้องจะชอบกระโดดเข้ามา
เรารอพี่เกือบสองชั่วโมงเนื่องจากวันนี้นางบอกว่าเลิกงานดึก ในเมืองที่ไม่คุ้นเคยเราใส่เสื้อผ้าที่ใครเดินผ่านมาก็งงว่าแต่งตัวอะไรของมึง ก็ใครจะไปคิดว่าแคทเทอรีนมันจะร้อน เราไม่รู้เลยจริงๆ เวลาเตรียมตัวแค่สองวันในการตัดสินใจมาที่นี้ไม่มีข้อมูลในหัวด้วยซ้ำว่าต้องแต่งตัวยังไง เลยว่าด้วยชุดกันความหนาวจากเมลเบิร์น คนเดินผ่านไปก็มอง พนักงานคิดเงินในซุปเปอร์ก็ถาม ยูมาที่นี้ครั้งแรกหรอก ไม่ได้เป็นคนที่นี้ใช่ไหม คิดในใจ พี่ดูออกหรอคะ โคตรโป๊ะ เพราะที่นี้ร้อนมากถ้าเทียบกับเมลเบิร์นช่วงหน้าร้อน อากาศพุ่งไปประมาณ 45 องศา แต่ช่วงนี้ก็20 กว่าองศาเนื่องจากยังไม้พ้นหน้าหนาวดี
พอพี่มารับเดินทางระหว่างทางไปที่พักคือเราไม่เห็นข้างทางเลยว่าเป็นแบบไหน มืดไปหมดอย่างเดียวที่เห็นคือดาวบนฟ้า โคตรสวย สวยแบบลืมตายหายเหนื่อย หลังจากถึงที่พักคือช้อค ช้อคโลกไปเลย เป็นเหมือนแคมป์คนงานก่อสร้างที่ไทยถ้าจะให้บรรยายภาพ มีทั้งการตั้งเตนท์และอยู่แบบตู้คอนเทนเนอร์ยาว ห้องติดๆ กัน ตรงกลางเป็นครัวเปิดกับไฟสีเหลืองอร่ามแบบไม่เข้ากันแถมแมลงวันอีก 20 ล้านตัวที่บินขวักไขว่แบบชนคน อีเหี้ยไม่รู้จะพูดคำไหนออกมา ได้แต่ยิ้มแล้วบอกกับพี่ว่า ก็โอเคแหละ
ไฟที่เหลืองจนงงใจว่าอะไรเข้าดลใจให้เลือกสีนี้มา
เราอยู่ในห้องที่เป็นตู้คอนเทนเนอร์ เสียค่าห้อง 150 ดอล ดีอย่างคือได้อยู่คนเดียว 150 ดอลคือเท่าห้องหรูหราที่อยู่ในเมลเบิร์นแต่กลับกันคือห้องเท่าแมวดิ้นตายพื้นเป็นไม้กระดานแบบนอนลมเข้าได้ ดีอย่างที่มีแอร์ที่ถึงจะเป็นแอร์ที่ไม่รู้อยู่มากี่สิบปีแล้วก็ตามทุกอย่างดูแบบ ทำไมกูต้องมาอยู่ที่นี้วะเนี้ย คิดในใจคือนี้แม่งนอนไม่ได้แน่ๆ อะไรมันจะกันดารแร้นแค้น สกปรกขนาดนี้ การปิดประตูต้องมีความเร็วแข่งกับแมลงวันต้องเร็วดังสายลมเพื่อขับไล่อีแมลงวันที่ชอบเข้ามาในห้อง บ่นเยอะมากกับสถานที่อยู่เพราะแม่งเหี้ยมากจนไม่คิดว่าจะอยู่ได้ จริงๆ มันก็มีห้องดีๆ สำหรับให้ผู้หญิงอยู่แหละ แต่เรามาช้า เลยเต็มเร็ว เหลือห้องนี้และได้ห้องเดี่ยวพี่เลยจัดการไว้ให้ ก็ยังถือว่าไม่โชคร้ายไปซะหมดอะ
สุดท้ายหลังจากบ่นมาเยอะมากก็เริ่มเข้าห้องปูผ้าปูเตียง กินข้าวมื้อแรกแข่งกับแมลงวัน เข้านอน หลับทันที มึงอุ่นใจไปไหน หลับลงได้ยังไงไม่รู้สถานทีคือไม่น่าจะหลับลงได้ แต่เชื่อไหมว่าเราแม่งเป็นคนที่มีปัญหากับการนอนมาก แต่ตั้งแต่มาอยู่ที่นี้คือแทบจะไม่มีปัญหากับการนอนหลับเลย หลับง่ายจนงงตัวเอง
ข้างหลังห้องพัก ถ้ามีแตงโมงตกอยู่ตามพื้นจะมีนกให้ดูประมาณล้านชนิดเพลินมาก
อีกอย่างคือคนที่ทำงานที่นี่ส่วนใหญ่เป็นคนจาก ติมอร์ และ แบ้กแพ้คเกอร์ ที่เป็นวีซ่าเวิคกิ้งฮอลิเดย์แบบเรา เนื่องจากวีซ่าเราสามารถต่อได้เรื่อยๆ โดยจะต้องทำงานในพื้นที่ที่กำหนด สามเดือนหรือหกเดือน ซึ่งนอร์ทเทิร์นก็เป็นหนึ่งในพื้นที่นั้นมีแบ้กแพ้คเกอร์หลายคนเลยที่มาเก็บวีซ่าที่นี้ ที่นี้ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายทั้งหมดมีผู้หญิงที่เป็นแบ้กแพ้คเกอร์รวมเราแล้วสี่คน ตอนเรามาทุกคนออกมาตอนรับ บอกไอเลิฟยูกันตรึมทุกคนดูตื่นเต้นมากที่มีคนมาใหม่และ เป็นผู้หญิง เราก็ตื่นเต้นอยู่ดีๆ ก็ป้อบปูล่าจ้า และนั้นก็คือการต้อนรับแบบ northern territory สำหรับเรา
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in