ย้อนกลับตอนที่วางแผนว่าควรจะไปใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองไหนในออสเตรเลียดี เอาตรงๆ ว่าออสเตรเลียไม่เคยที่จะเป็นประเทศที่อยู่ในหัวเลยว่าอยากมาอยู่ที่นี้ ข้อมูลในหัวเลยว่างเปล่ามากๆ ตัดสินใจเลือกเมืองด้วยการเข้า google เสิร์ช "เมืองที่น่าอยู่ที่สุดในประเทศออสเตรเลีย" ผลลัพธ์ที่ได้คือ "เมลเบิร์นติดอันดับเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลก" และอีกมากมายที่ยกย่องให้เมลเบิร์นเป็นเมืองที่เราควรตั้งหลักปักฐานเป็นจุดหมายแรก
บอกก่อนเลยว่าเราไม่ได้เป็นคนที่จินตนาการไว้ว่าไปอยู่เมืองนอกแล้วชีวิตจะสบาย คือเราเตรียมตัวที่จะไปรับมือกับเรื่องไม่คาดฝันที่จะเกิดขึ้น งานที่คงไม่ได้นั่งทำในออฟฟิศอีกต่อไป เราเลยคิดว่าถ้าเมืองดียังไงมันก็คงสบายแหละ อย่างน้อยทำงานเหนื่อยๆ แล้วได้รับคุณภาพชีวิตดีๆ โอ๊ยรับได้
จัดการจองตั๋วขึ้นเครื่องไปเมลเบิร์น ความรู้สึกแรกที่ถึงเลยคือ แม่งพูดภาษาอังกฤษกันหรอวะ ไหนบอกผู้คนชิวเป็นมิตร หลังลงจากเครื่องบินเราต้องการซื้อตั๋วรถเข้าไปในเมืองพูดตรงๆ ว่าคุยกับคนขายตั๋วไม่รู้เรื่องเลย สุดท้ายรอดมาได้เพราะกู้เกิลแปลภาษา ความมั่นใจเราคือตกลงไปเลย เรามั่นใจมาตลอดว่าภาษาอังกฤษเราอยู่ในระดับที่สื่อสารได้ ไม่ได้เก่งแต่พูดรู้เรื่องเข้าใจ เพื่อนชมมาตลอดชีวิต พอมาถึงเหยียบแดนจิงโจ้ ถึงได้โดนตบหน้าเข้าอย่างจังว่า study harder
เมลเบิร์นสวยอย่างที่ใครๆ เค้าบอก ในความคิดเราคือมีเสน่ห์และอิสระ อาคารบ้านช่องก็เป็นตึกเก่าบ้างใหม่บ้าง มีความยุโรปบ้างไม่ยุโรปบ้าง แต่ทุกอย่างก็ดูถูกจัดสรรมาดี วางล้อคอย่างลงตัว ที่เราชอบมากๆ เลยก็คือเทรมหรือรถรางที่วิ่งรอบเมือง ในตัวเมืองหลักเราสามารถนั่งรถเทรมได้ฟรี ตรงเวลา สะอาด โคตรคุ้มสำหรับมือใหม่ที่ไม่รู้จะไปไหนหรือเที่ยวไหนก็มีรถเทรมสำหรับส่งสถานที่ท่องเที่ยวฟรี เห้ยเราว่ามันดีมากๆ ตื่นเต้นมากๆ เพราะมันคือเรื่องคุณภาพชีวิตที่เราเข้าถึงได้
เราหาบ้านเช่าในเว็บไซด์ที่มีคนไทยค่อนข้างเยอะ เราตกใจมากตอนที่มาถึงคือ เห้ยแม่งเมืองฝรั่งแต่เอเชียคือเต็มไปหมด ออสเตรเลียขึ้นชื่อเรื่องความหลากหลายทางวัฒนธรรมมาก เราเลยสามารถที่จะหาอพาร์ตเมนต์นสวยหรูได้ในราคาที่ไม่สูงมากเพราะว่า คนมีตัวเลือกสูงและนักเรียนอาศัยอยู่ที่เมลเบิร์นเยอะ พอมีตัวเลือกเยอะผู้ใช้เช่าก็ต้องตัดราคาลง เพื่อที่จะได้ผู้เช่ามากขึ้น แต่ก็ไม่รับประกันว่าบ้านที่อยู่ด้วยกันนั้นมีกี่คน
อพาร์ตเมนต์ที่เราอยู่คือเป็นวิวแม่น้ำบนตึกสูง 40 ชั้น มีสระว่ายน้ำและเครื่องอำนวยความสะดวกครบครั้น แต่ในห้องเล็กๆ ที่เราจ่ายในราคากลางๆ ต้องอยู่ด้วยกันทั้งหมด 4 คน เท่านั้นยังไม่พอมีสองห้องนอน รวมคนที่อยู่ในอพาร์ตเมนต์ขนาดกลางทั้งหมด 8 คน เราช็อคไปเลยพอได้รู้ แต่กลับลำไม่ทันแล้ว เลือกแล้วก็ต้องอยู่ ในอพาร์ตเมนต์ประกอบไปด้วยห้าสัญชาติ ไทย อังกฤษ เยอรมัน ญี่ปุ่นและ อินเดีย ห้องที่เราอยู่ มีเราและบิวสองคนที่เป็นคนไทย ญี่ปุ่นหนึ่งและอินเดียหนึ่ง เราค่อนข้างไม่ชินกับการอยู่กับคนเยอะๆ เนื่องจากเราอยู่กับแฟนมาตลอด ตอนอยู่มหาลัยก็อยู่กับเพื่อนแค่สองคนในห้อง พอมาอยู่กับคนหมู่มากมันทำให้เรากลายเป็นคนเงียบไปเลย เราเริ่มทำความรู้จักกับน้องคนไทย บิว ซึ่งนางมีประสบการณ์อยู่ที่ออสมาปีกว่าๆ เป็นคนเปรี้ยว มีความมั่นใจในตัวเองสูง และการพูดในสิ่งที่คิด แถมเป็นคนสวย เราเลยเกาะติดน้องไว้
และหลังจากผ่านมาได้หนึ่งอาทิตย์ก็เริ่มหางาน พอมาถึงเรื่องการหางานเป็นอะไรที่ทำปั่นประสาทเรามากเว้ย คือแบบไม่เคยคิดมาก่อนว่างานมันจะหายากขนาดนี้พูดตรงๆเลยว่าเริ่มได้งานตั้งแต่ยังเรียนไม่จบด้วยซ้ำ ด้วยการส่งเรซูเม่แค่ครั้งเดียวที่เดียว แถมจ่ายเงินดี งานดี ตอนนั้นเราโคตรโชคดี ตัดมาที่เมลเบิร์น ยืนถือเรซูเม่อยู่หน้าร้านอาหาร ทะเลาะกับตัวเองว่าจะเข้าไปดีไม่เข้าไปดี นั่งร้องไห้อยู่ข้างซอยลึกๆ เพราะรู้สึกหมดหนทาง อันนี้คือความรู้สึกแรกที่เราไม่เคยรู้สึกเลยว่าถ้าอยู่ไทยแล้วเราจะมารู้สึกกับอะไรแบบนี้ การหางานในประเทศที่เราไม่คุ้นเคยในตอนแรกเรารู้สึกตื่นเต้นนะ ที่จะได้ลองร่อนเรซูเม่เดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้ แต่พอเราทำแบบนี้ไปสักสามอาทิตย์อ่ะ มันไม่สนุกตั้งแต่สองวันแรกที่ได้ทำจบลงแล้วอ่ะ เพราะอย่างแรกเลยเรากลัวการที่จะเดินเข้าไปแล้วถามเข้าว่ารับพนักงานไหม หน้าบางเนอะ แล้วก็เป็นความรู้สึกที่ทะเลาะกับตัวเองว่าทำไมต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วย การหางานทำให้กำลังใจในการใช้ชีวิตเราลดลงไปเลย
ผ่านไปทุกวันเราก็ยังหางานไม่ได้ วันที่หาไม่ได้เราก็เลยไปเที่ยวรอบๆ ตัวเมืองด้วยรถเทรมฟรี เราชอบสวนสาธารณะที่เมลเบิร์นมาก มันทั้งน่ารัก กว้างขวางและได้มองผู้คนออกมาทำกิจกรรม แตกต่างจากสวนสาธารณะที่ไทยโดยสิ้นเชิง นอกจากสวนที่เราชอบไปบ่อยๆ แล้วเราก็ไปทะเลบ้างซึ่งทะเลนี้คือแพ้ไทยไปราบคาบแบบไม่ต้องสืบ เราว่าสวยยังไงก็ไม่เท่าไทยอยู่ดีจากคนที่เคยอยู่เกาะแห่งหนึ่งที่มีทะเลที่สวยมากๆ กลายไปเที่ยวทำให้เราได้เพิ่มพลังขึ้นมาและทำให้เราได้ไปต่อในแต่ละวัน ส่วนใหญ่เราไปเที่ยวคนเดียวเพราะส่วนใหญ่เวลาของเพื่อนที่ห้องไม่ตรงกับเรา ทุกคนมีเรียน มีงาน มีเพื่อนให้ออกไปสังสรรค์ส่วนเราก็มีแต่เรา แต่ก็ยังดีที่เพื่อนในห้องก็เฟรนลี่ส่วนใหญ่ ก็ยังพอมีคุยกันบ้างว่าวันหลังไปด้วยกันนะ อ้ะเป็นเรื่องดีๆ ในแต่ละวันไป
กลับมาที่การหางานเราเริ่มกระวนกระวายเพราะเงินที่พกมาเริ่มจะไม่เหลือแล้วต้องใช้ชีวิตยังไงในประเทศที่ค่าครองชีพสูงหลิบ แต่ไม่มีรายได้ เราเลยลองหางานโดยถามจากเพื่อนที่เคยอยู่ที่เมลเบิร์นซึ่งก็เป็นเพื่อนสมัยมัธยม ที่ไม่ได้คุยกันนานมากแล้วลองทักไปหา และสุดท้ายก็ได้งานจากการมีคนรู้จัก เรารู้สึกดีนะที่ได้กลับไปคุยกับเพื่อนเราว่าเพื่อนยังไงก็คือเพื่อนเวลาไปผ่านไปไม่คุยกันสิบปีแต่เราก็ยังรู้จักกันเหมือนเดิม แถมยังไม่มีความเกรงใจเอาความหวังไปฝากเพื่อนไว้อีก
งานที่เราได้คือร้านอาหารญี่ปุ่นในห้องใจกลางเมืองเมลเบิร์น ดูดีใช่ไหมล่ะ มันก็คือร้านอาหารเร่งด่วนที่คนชอบมากินแบบด่วนๆ ไปแบบด่วนๆ ประมาณนั้น แถมค่าแรงที่ได้คือ 13 ดอลต่อชม. ตอนนั้นเราไม่รู้เลยว่า 13 ดอลต่อชม. มันเป็นการจ่ายที่ไม่ถูกกฎหมาย ตามกฎหมายออสเตรเลียค่าแรงงานขั้นต่ำคือ 20 ดอลต่อชั่วโมงโดยประมาณ ถึงตอนนั้นรู้เราก็ไม่สนใจแค่ได้งานก็พอ เราดีใจมากที่ได้งานและประหม่ามากเช่นกัน เพราะเราไม่เคยทำงานแบบนี้มาก่อน เราอาจจะเคยทำงานเด็กเสิร์ฟพาสทามมาบ้างตอนเรียนมหาลัย แต่อันนั้นเป็นภาษาไทย อันนี้คือเป็นภาษาอังกฤษ ผู้จัดการร้านเป็นคนเวียดนามที่ดูมั่นใจในตัวเองสูงและดูเก่ง
หน้าที่ของเราพูดง่ายๆ เลยคือสากเบือยันเรือรบในราคา 13 ดอลต่อชม. เราทำทุกอย่างในร้านยกเว้นหน้าที่ในครัว แต่เราต้องจำว่าอาหารในแต่ละชนิดตกแต่งหน้าตายังไง เสิร์ฟ ทำความสะอาด และคิดเงิน เราทำทุกอย่างแบบทุลักทุเลสุดๆ แถมยังไม่มีความมั่นใจในตัวเอง และขี้เกรงใจไม่กล้าพูด ไม่กล้าทำอะไรหลายๆ อย่าง จนผู้จัดการต้องคอยบอกทุกวันว่าอย่างหงอ อยากทำอะไรก็ทำไปเลยไม่ต้องกลัวผิด แต่ด้วยความที่ยังใหม่ก็ยังทำอะไรหลายๆ อย่างผิด อยู่ดี
ชีวิตดำเนินไปเรื่อยๆ ด้วยค่าแรงขั้นต่ำ ยังดีที่เรายังคุยกับแฟนที่ไทยทุกวัน มันก็เหงาแหละแต่วันไหนเหงามากๆ ก็แค่ไปพ่นๆ ใส่แฟนก็พอให้หายเหงาไปได้บ้าง เราเริ่มสนิทกับบิวมากขึ้นและไปเที่ยวด้วยกันบ่อยๆ เมลเบิร์นเป็นเมืองที่หาของกินง่ายมาก แถมไม่มีการคิดถึงอาหารเอเชียเลยเพราะทุกซอกมุม คือรวมความเอเชีย ไทย เกาหลี จีน ญี่ปุ่น แล้วแต่จะเลือก และเงินจะอำนวย
มีคืนหนึ่งที่บิวชวนไปเที่ยวเว้ยอะ ผับไทยในต่างแดนครั้งแรก โคตรตื่นเต้นเลยที่จะได้ไป เพราะเล่นดนตรีสด ร้องเพลงไทยทั้งร้านมีแต่คนไทย ตอนเราเข้าไปคือแบบเจ๋งวะ รู้สึกหายเหงา ไม่รู้สึกเลยว่าอยู่ต่างประเทศ แถมบังเอิญได้เจอกับน้องที่เคยเจอกันในเชียงใหม่ แบบโคตรบังเอิญและเพิ่งรู้ว่ามาเมลเบิร์นก็ตอนเจอกันเป็นไรที่งงดีอ่ะ ค่ำคืนนั้นดำเนินไปอย่างราบรื่นมั้ง จนกระทั่งถึงเวลาจะกลับ ซึ่งบิวนางก็มีคนคุยด้วยนู่นนี่นั้นตามประสาคนเหงาในเมลเบิร์นอะนะ คนกำลังจีบกันใหม่ๆ เมาแล้วก็อยากอยู่ด้วยกันตาม นางก็ถ่วงเวลาไปเรื่อย พี่ขออีกนิดน่า สักเที่ยงคืนเดี๋ยวกลับเลย มันผัดมาจนตีสามถึงจะได้เดินออกจากร้านและเรียกอูเบอร์กลับอย่างจริงจัง ซึ่งระหว่างที่เรารออูเบอร์อยู่นั้นน้องผู้ชายที่คุยกับนางก็เดินมาคุยกับเราบอกว่า "พี่เนี้ยไม่ต้องกลัวเลยอูเบอร์เนี้ยเราตามได้หมด ผมมีแผนที่ผมจะรู้เลยว่าพี่อยู่ตรงไหน ถึงบ้านแล้วหรือยังไม่อัตรายเลยพี่" นี่ก็แบบเออแล้วมึงมาบอกกูทำไมวะงง พออูเบอร์มาถึงเราขึ้นรถนั่งในรถ เห็นบิวยืนอยู่ข้างนอกเลยตะโกนเรียกมัน "บิวขึ้นมาสิมึงยืนทำไรเนี้ยเค้ารอ" น้องผู้ชายเดินมาลากบิวออกไปแล้วบอกเราว่า "ผมจ่ายตังเรียบร้อยแล้วพี่ลงจากรถแล้วขึ้นบ้านนอนได้เลยผมดูแลบิวเองคืนนี้" พร้อมปิดประตูใส่ รถออกเข็มขัดยังคาดไม่เสร็จความรู้สึกยังไม่หายอึ้ง ทั้งตกในทั้งงง เราเป็นคนที่มีอาการอแพนิคอยู่แล้ว สาเหตุที่น้องผู้ชายเดินมาพูดกับเราก่อนรถจะมาถึงเพราะทุกคนในกลุ่มรู้ว่าเรากลัวการนั่งอูเบอร์คนเดียว แล้วนี่มันปล่อยเรานั่งอูเบอร์คนเดียว ตอนตีสาม ในประเทศที่กูรู้จักแค่ สี่อาทิตย์ เราเริ่มหายใจไม่เป็นจังหวะ และกระวนกระวาย คนขับเริ่มพยายามชวนคุยและมองผ่านกระจกมาหลายครั้ง
โชคดีที่ตอนนั้นเราคุยกับเจ้านายเก่าอยู่ เที่ยงคืนเจ้านายเรายังทำงานอยู่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกเลยสำหรับการทำงานในโรงแรม ยิ่งตำแหน่งสูงความรับผิดชอบก็สูงตาม คืนนั้นเราโทรคุยกับเจ้านายตลอดทางกลับบ้าน เป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่ดีเหมือนได้คุยกับพ่อ ทำให้เรารู้สึกคลายความกลัวลงได้ไปบ้าง ซึ่งจริงๆ อูเบอร์มันก็ไม่มีอะไรเลยเว้ยมันแค่เราที่รู้สึกไปเอง แต่ด้วยความที่เราใหม่กับทุกอย่างและทุกอย่างในเมืองใหม่กลายมาเป็นปัญหาสำหรับเราทุกเรื่องมันเลยกลายเป็นว่าวิตกกังวลมากกว่าเก่า
หลังจากเราถึงบ้านอาบน้ำเตรียมตัวเข้านอนเกือบตีสี่ เรานอนไม่หลับทั้งคืน ใจยังคงเต้นแรง และตาค้างเราหลับไม่ได้เลยจริงๆ แล้วก็คุยกับใครไม่ได้ น้ำตาไหลแหมะ ช่างเป็นคืนที่หว่องมาก โคตรสับสนในความรู้สึก เช้าวันนั้นเราต้องไปทำงานตอน 10 โมงด้วยสภาพร่างกายที่อ่อนแรงและสภาพจิตใจที่ไม่ค่อยโอเค และวันนั้นเป็นวันแรกที่เราได้เทรนการใช้เครื่องคิดเงิน และรับออเดอร์จากลูกค้า take away เราคิดเงินผิดบ้างนิดหน่อย และลูกค้ามีปัญหากับการสั่งกับเราหลายครั้ง เราโดนกดดันจากผู้จัดการร้านที่มองมาตลอดเวลา เย็นวันนั้นเราเลิกงานด้วยไข้ขึ้นสูง
ต้องบอกก่อนว่าช่วงที่เราไปอยู่เมลเบิร์นช่วงแรกๆ คือเดือนมิถุนายน เป็นช่วงฤดูหนาว ซึ่งไม่ใช่แค่หนาวอย่างเดียวแต่ทั้งครึ้มฝน ทั้งลมแรง อากาศมืดครึ้มทั้งวัน แสงแดดแทบจะไม่มีให้เห็น อากาศแบบนี้จะไม่ให้เหงาได้ไง และด้วยอากาศแบบนี้เลยทำให้เราป่วย หลังจากเลิกงานในวันที่กดดันเราป่วยไข้ขึ้นสูงมาก และต้องมาเจอกับข้อความจากผู้จัดการร้านว่า เราคงไม่เหมาะกับการทำงานที่นี่ ให้มารับเงินค่าแรงทั้งหมด ซึ่งก็คือการโดนไล่ออกนั้นเองจ้า มันก็ดูเป็นประสบการณ์ที่พอจะเล่าขำๆ กับเพื่อนได้นะว่าเห้ยแม่งโดนไล่ออกจากเด็กเสิร์ฟวะ แต่ตอนนั้นคือไม่ขำเลยจะบ้า ตกงาน ป่วย ตังไม่มี หนาวและเหงา
เราจำได้เลยว่าเราแอบไปนั่งร้องไห้ที่ริมแม่น้ำข้างห้อง ดร่ามามากตอนนั้น และด้วยความที่เราป่วยหนักแบบลุกไปไหนไม่ได้เลย แบบทรมานมาก ยังจำความรู้สึกได้ดีว่าจะตายเป็นยังไง แฟนเราแบบจะจองตั๋วให้กลับไทยตอนนั้นซึ่งเป็นเวลาเที่ยงคืน บอกกลับไทยมาเลย ไม่ต้องอะไรแล้วช่างมันค่อยไปใหม่ แล้วร้องไห้กันอยู่สองคนทางโทรศัพท์ เช้าวันต่อมานางเลยจัดแจงจองโรงพยาบาลผ่านทางประกันที่ไทยให้เรียบร้อย ยังดีมากที่เรามีประกันการอยู่เมืองนอกประกันสำคัญมากจริงๆ หลังจากเราต้องหอบร่างตัวเองไปหาหมอ นั่งคุยกับหมอเกือบชั่วโมง คุยไปจะตายไป ไม่เข้าใจว่าหมอจะคุยอะไรเยอะแยะ พอคุยเสร็จแล้วถึงได้รู้ว่าเค้าคุยเพื่อที่จะดูว่าอาการเราแย่ขั้นไหน จะได้วินิจฉัยถูก เรากลับบ้านไปด้วยพานาดอล 1 แผงถ้วน หมอบอกไม่ได้เป็นอะไรมากเป็นหวัดธรรมดา
กลับบ้านไปรักษาตัวเพื่อนๆ ก็ช่วยดูแลดีมาก เพื่อนเยอรมันไปซื้อขิงมาชงชาให้ เพื่อนญี่ปุ่นทำซุปให้เอายาญี่ปุ่นมาให้ ทุกคนพยายามเอาใจใส่เราทำให้เราดีขึ้นเยอะเลย เราร้องไห้ตอนป่วยบ่อยมากเวลาใครถามว่าโอเคไหมก็คือร้องแล้ว ลืมเล่าถึงบิวหลังจากวีรกรรมที่นางทำ เราก็ไม่ได้คุยกับนางเลย และนางก็ไม่คุยกับเรา แต่หลังจากนั้นนางก็มาขอโทษบอกไม่รู้ว่าพี่มีอาการจะไม่ทำอีกแล้ว เลยหายโกรธไม่รู้จะโกรธทำไมเรื่องมันผ่านไปแล้วโกรธมามากพอแล้วด้วย
หลังจากหนึ่งอาทิตย์ผ่านไปเราก็หายป่วยและเริ่มกลับไปหางานใหม่ ตอนแรกเราตั้งใจกับตัวเองว่าจะไม่ทำงานร้านไทยเด็ดขาด แต่สุดท้ายตัวเลือกมันก็ไม่ได้มีมากนัก เราได้งานร้านไทยที่ต้องนั่งรถไฟไปจากตัวเมืองเกือบชั่วโมงและจ่ายค่าแรงเท่ากับร้านแรก ซึ่งเราก็ต้องทำเพราะไม่มีตัวเลือก การนั่งรถไปกลับทุกวันเกือบชั่วโมงเป็นอะไรที่โคตรเหนื่อยล้า แต่ก็เพื่อเงินเล็กน้อยก็ทำ ร้านไทยก็ตามสไตล์ ใจดี จ่ายน้อยตามคอนเซปพอทุกอย่างมันเริ่มจะดีขึ้นมา เราเลยออกไปเที่ยวกับบิวอีกครั้ง ครั้งนี้ไปผับกับเพื่อนเกาหลีของนาง ตอนที่บิวบอกให้เราไปด้วยเพราะเกร็งอยู่คนเดียวกลัวงานกร่อย เราเลยโอเคไปด้วยซึ่งตอนนั้นเราอยู่ในตัวเมืองฝนตกและแบตกำลังจะหมด เราเดินตากฝนมากเรื่อยๆ วิ่งมาจนตัวเปียกไปหมด อากาศก็หนาว ทั้งตัวคือไม่มีอะไรแห้งเลยมือเย็นเฉียบแล้วก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไปทำไมวะเนี้ย เลยตัดสินใจจะกลับ กำลังจะเปิดดูสายรถว่ากลับทางไหนได้บ้างจากตรงนี้ ด้วยความโชคดีของดิฉัน แบตหมดจ้า เราเลยอ่ะมันคงใกล้ๆ ร้านแล้วเดินๆ ไปอีกหน่อยแล้วกัน แต่เนื่องจากเราไม่มี map สิ่งที่เราทำก็คือวิ่งเข้าร้าน บาร์ข้างทางด้วยสภาพที่เปียกเป็นเขียดไปถามเค้าว่าร้านปูซานมันอยู่ตรงไหน เราจำได้ว่าวิ่งเข้าวิ่งออกไปประมาณสามร้าน ซึ่งยังดีที่ทุกร้านให้ความช่วยเหลืออย่างดีมาก บอกทางเขียนแผนที่ให้ สุดท้ายเราก็มาถึงร้านด้วยสภาพที่เจ้าของร้านเกือบไม่ให้เข้าโชคดีที่เรามีเสื้อใส่ไว้ในกระเป๋าผ้า ซึ่งมีทำไมก็ไม่รู้ แต่ก็ดียังได้เอามาเปลี่ยน แล้วกลับมาทำหน้าที่ของเราคือการสร้างบรรยากาศ คือ ทำให้ทุกคนสนุก พอถึงเวลากลับครั้งนี้บิวไปด้วยกันเพราะนางบอกแล้วว่ายังไงก็จะไม่ทิ้งอีกแล้ว
เรากลับมาป่วยอีกรอบหลังจากคืนนั้นผ่านไปคงเพราะตากฝนมาทั้งคืน การป่วยครั้งนี้ทำให้อะไรในชีวิตช่วงนั้นเราเปลี่ยนไปเลย รูมเมทอินเดียที่คุยเก่งฉิบหายไม่รู้จะคุยอะไรนัก เชื่อไหมว่าตลอดเวลาที่เราอยู่ที่ห้องนั้นทุกครั้งที่นางอยู่บ้านจะต้องคุยโทรศัพท์ทุกคืน เราแบบจะบ้าหรอคุยทั้งคืนตื่นมาตอนตีสองคือพี่ก็จะคุยกูงง ไม่มีความเกรงใจบ้างเลยเอาจริงด้วยความที่เราไม่กล้าพูดเลยไปบอกเจ้าของห้องให้ช่วยพูด เลยดีขึ้นมาเป็นช่วงๆ แล้วช่วงที่เราป่วยรอบที่สอง เราต้องการนอน อยากพักเที่ยงคืนนางกลับบ้านมา แล้วคุยโทรศัทพ์ กูแบบไม่ไหวแล้วร้องโชว์เลยน้ำตาไหลเป็นสายธาร นางตกใจมากเลยแบบร้องทำไม ไม่ต้องร้องปวดหัวหรอเดี๋ยวเอายาให้ ได้แต่พยักหน้าบอกไป จะบอกว่าร้องเพราะมึงนั้นแหละ แต่ก็ไม่อยากทำลายน้ำใจ แถมการป่วยรอบนี้ก็ดูเหมือนเพื่อนเยอรมันนางจะแอบโกรธ เราเปิดฮีทเตอร์เนื่องจากอากาศมันหนาวมาก แล้วเราก็ป่วย ปกติเราจะไม่เปิดฮีทเตอร์เลย เพราะเกรงใจค่าไฟ แต่ครั้งนี้เราหนาวมากจริงๆ แล้วมันก็ไม่ไหว นางเดินออกมาจากห้องเปิดฮีทเตอร์เปิดหน้าต่าง แล้วพูดว่า "ต้องเปิดหน้าต่างให้เชื้อโรคมันออกไป ไม่งั้นทุกคนก็จะติดไข้จากเธอกันหมด" บอกตรงๆว่าตอนนั้นคือโกรธฉิบหาย ป่วยก็ป่วย แล้วยังต้องมาเจอเพื่อนร่วมห้องทำตัวแบบนี้อีก กลายเป็นว่าตอนนี้เราเหมือนกลายเป็นตัวปัญหา
เราตัดสินใจติดต่อพี่ที่ทำฟาร์มอยู่ที่เมืองแคทเธอรีน ทางเหนือของออสเตรเลียบอกว่าไม่ไหวแล้ว อยากออกไปจากตรงนี้ จริงๆ พี่เค้าอยากให้เราไปทำงานฟาร์มตั้งนานแล้วแต่ด้วยความดื้อ อยากลองใช้ชีวิตตรงนี้ก่อนไม่อยากมาถึงแล้วไปทำฟาร์มเลยแต่สองเดือนมันก็มาพอสำหรับความบอบช้ำที่ได้จากเมลเบิร์นแล้ว เราเลยลาละจ้า หลังจากเราติดต่อพี่ไปคำตอบที่ได้คือ "มีเวลาสามวันในการมาที่นี่ ถ้ามาไม่ถึงในสามวันนี้ก็ไม่ต้องมาอีกเลย" ฉิบหายตัดสินใจอะไรไม่ได้เลยตอนนั้นเราเลยตอบตกลงไปเลยว่า ได้สามวันก็สามวัน จัดการจองตั๋วที่โคตรจะแพง ทุ่มเงินทั้งหมดที่มี ทิ้งค่ามัดจำห้อง ลาออกจากงานและแพคของไป northern territory เป็นอีกความรู้สึกแรกที่ต้องตัดสินใจอะไรเร็วแบบนั้น หลังจากทุกคนก็รู้ก็แอบตกใจเพราะมันปุบปั้บมาก
เพื่อนญี่ปุ่นสองคนเป็นคนที่เราสนิทด้วยที่สุดในห้อง คือ มิซากิกับซากิ เราไปเที่ยวกับสองคนนี้เป็นบางครั้งแต่สองคนนี้ไม่เคยมีปัญหาอะไรกับเราเลย ชอบมากเวลาที่ได้คุยกับสองคนนี้คุยกันถูกคอและคุยกันได้ทุกเรื่อง คืนที่เราเก็บของทั้งสองคนมาช่วยเราจัดกระเป๋า ช่วยยัดของทั้งหมดเท่าที่จะทำได้ และคืนนั้นก็เป็นอีกคืนที่เรานอนไม่หลับเราจองไฟล์ตอน 6 โมงเช้า ต้องออกจากบ้านตั้งแต่ตีห้า แล้วมิซากิคึกอะไรไม่รู้จ้าเพิ่งได้อูคูเลเล่มาใหม่นางเล่นทั้งคืนจนถึงตีห้า คือนางก็เล่นในห้องนั่งเล่นแหละแต่มันได้ยินมาถึงในห้อง ส่งข้อความบอกนางแล้วแต่นางไม่ได้เปิดโทรศัทพ์กลายเป็นว่านางรอไปส่งเราขึ้นอูเบอร์ตอนตีห้า เป็นเรื่องดีๆ ก่อนจากเมลเบิร์น เรารู้สึกว่าเออเหี้ยมาขนาดนี้แหละคงไม่เหี้ยไปกว่านี้และ เราเลยไม่ค่อยตื่นเต้นกับการไปครั้งนี้เท่าไหร แต่รู้สึกอุ่นใจมากกว่า
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in